ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สิทธิสตรี"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
NT newthana (คุย | ส่วนร่วม)
NT newthana (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 78:
 
ในประเทศยูเครน กลุ่มรณรงค์สิทธิสตรีฟีเมน (FEMEN)มีขึ้นในปี ค.ศ. 2008 องค์กรนี้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติเนื่องจากการประท้วงโดยการเปลือยอกของสตรีในการต่อต้านนักท่องเที่ยวที่เน้นการมีเพศสัมพันธ์กับโสเภณี การแต่งงานระหว่างชาติ การแบ่งแยกเพศ และการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับสังคมระหว่างประเทศ การเจ็บป่วยในประเทศ การเจ็บป่วยทางสังคม กลุ่มฟีเมนมีกลุ่มผู้ให้ความสนับสนุนเห็นใจหลายกลุ่มในประเทศแถบยุโรปโดยผ่านทางสื่อสังคม
 
 
'''
'''Birth control and reproductive rights'''
'''สิทธิการควบคุมกำเนิดและสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ (reproductive rights)''''''
 
ในยุค 1870(1870-79) ผู้สนับสนุนสิทธิสตรีพัฒนาแนวคิดเรื่องความเป็นมารดาโดยความสมัครใจ ให้เป็นอย่างการวิจารณ์ทางการเมืองในเรื่องความเป็นมารดาโดยไม่สมัครใจ และการแสดงความต้องการในการปลดปลอยผูหญิง (women's emancipation) ผู้สนับสนุนความเป็นมารดาโดยสมัครใจไม่เห็นด้วยกับการคุมกำเนิด แย้งว่าผู้หญิงควรจะมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องเพศสัมพันธ์เมื่อมีความต้องการเป็นผู้ให้กำเนิดและได้ส่งเสริมการบังคับใจตนเองแบบถาวรหรือตามช่วงเวลา
 
ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 การคุมกำเนิดมีความก้าวหน้าเป็นอย่างทางเลือกหนึ่ง ในการจำกัดครอบครัวและการเป็นมารดาโดยสมัครใจ คำว่า “การคุมกำเนิด” เข้ามารวมอยู่ในภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1914 มาร์กาเรต แซนเกอร์ (Margaret Sanger)ได้ทำให้คำเฉพาะนี้เป็นที่แพร่หลาย มาร์กาเรตเป็นผู้ที่มีความตื่นตัวในสหรัฐอเมริกา มาร์กาเรตมีชื่อเสียงนานาชาติภายในยุค 1930(1930-39) Marie Stopes ซึ่งเป็นนักรณรงค์ในการคุมกำเนิดในประเทศอังกฤษ Marie ได้ทำให้การคุมกำเนิดเป็นที่ยอมรับในประเทศอังกฤษระหว่างปี ค.ศ. 1920 โดยนำคำเฉพาะนี้มาใช้ในทางวิทยาศาสตร์
Stopes มีส่วนช่วยเหลือในความเคลื่อนไหวในการคุมกำเนิดในประเทศอาณานิคมของชาวอังกฤษ การเคลื่อนไหวในการควบคุมกำเนิดสนับสนุนการควบคุมกำเนิดและการอนุญาตให้มีความสัมพันธ์ทางเพศตามที่ต้องการโดยไม่เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์
ในการเน้นเรื่องการควบคุมกำเนิด การเคลื่อนไหวในเรื่องการคุมกำเนิดได้มีข้อโต้แย้งว่าผู้หญิงควรจะมีการควบคุมการเจริญพันธุ์และการเคลื่อนไหวนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการเคลื่อนไหวของผู้สนับสนุนสิทธิสตรี สโลแกนเช่น “ควบคุมร่างกายของเรา” วิจารณ์เรื่องการครอบงำโดยผู้ชายและต้องการให้มีการปลดแอกสตรี ในยุค 1960 และยุค 1970 การเคลื่อนไหวในการคุมกำเนิดสนับสนุนการออกกฎหมายการทำแท้งและมีการรณรงค์การศึกษาการคุมกำเนิดโดยรัฐบาล ในยุค 1980 องค์กรเกี่ยวข้องกับการควบคุมประชากรและการคุมกำเนิดได้มีส่วนร่วมในความต้องการให้มีสิทธิในการคุมกำเนิดและการทำแท้ง
 
การคุมกำเนิดกลายมาเป็นแนวคิดหลักในการเมืองสตรีนิยมซึ่งกล่าวว่าการเจริญพันธุ์เป็นอย่างความไร้อำนาจของสตรีในการใช้สิทธิ การได้รับการยอมรับทางสังคมในเรื่องการคุมกำเนิดจำเป็นต้องมีการแบ่งแยกเรื่องเพศออกจากการให้กำเนิด ทำให้การคุมกำเนิดเป็นประเด็นโต้แย้งในช่วงศตวรรษที่ 20 เมื่อกล่าวถึงการคุมกำเนิดในบริบทที่กว้างขึ้น การคุมกำเนิดได้กลายมาเป็นสาเหตุของความขัดแย้งระหว่างค่านิยมแบบอนุรักษ์นิยมและค่านิยมแบบเสรีนิยม ทำให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับครอบครัว อิสระส่วนตัว การเข้ามาแทรกแซงของรัฐ ศาสนาในการเมือง การถือพรหมจรรย์ และสวัสดิการสังคม สิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ (reproductive rights) เป็นสิทธิที่เกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ (sexual reproduction) และอนามัยการเจริญพันธุ์ (Reproductive Health) สิทธิอนามัยเจริญพันธ์เป็นอย่างหัวข้อย่อยของสิทธิมนุษยชนที่นำมาอภิปรายครั้งแรกในที่ประชุมนานาชาติของสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1968 ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน สิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ยังไม่เป็นที่ยอมรับในกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และเป็นศัพท์ครอบจักรวาลที่อาจจะนำมารวมในสิทธิบางอย่างหรือสิทธิทั้งหมด เช่น สิทธิในการทำแท้งตามกฎหมายหรือการทำแท้งที่ปลอดภัย สิทธิในการควบคุมการทำงานของระบบสืบพันธุ์ สิทธิในการได้รับการดูแลอนามัยการเจริญพันธุ์ที่มีคุณภาพ และสิทธิในการได้รับการศึกษาและการเข้าถึงข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินทางเลือกการเจริญพันธุ์ มีความอิสระจากการบีบบังคับ การแบ่งแยก และความรุนแรง
 
เพื่อความเข้าใจในเรื่องสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์จำเป็นต้องรวมเรื่องการศึกษาเกี่ยวกับการคุมกำเนิดและโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เรื่องความเป็นอิสระจากการทำหมันและการคุมกำเนิดเนื่องจากการบีบบังคับ การป้องกันจากการปฏิบัติต่างๆที่เน้นเพศภาวะเป็นพื้นฐาน เช่น การขลิบอวัยวะเพศสตรี (Female Genital Mutilation) และการขลิบอวัยวะเพศชาย (Male genital mutilation) สิทธิอนามัยเจริญพันธุ์เป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นสิทธิสำหรับชายและหญิงแต่มักจะเป็นสิทธิสำหรับสตรีมากที่สุด
 
ในประเทศส่วนใหญ่ในโลก กฎหมายได้จำกัดการมีสิทธิในการทำแท้งของสตรีตามกฎหมาย เมื่อต้องได้รับอนุญาตในการทำแท้งตามกฎหมาย ผู้หญิงก็จะมีการได้รับการบริการในการทำแท้งด้วยความปลอดภัยที่จำกัด ในประเทศจำนวนน้อยได้ห้ามการทำแท้งในทุกกรณี ในประเทศส่วนใหญ่และการตัดสินคดีส่วนใหญ่ การทำแท้งได้รับอนุญาตเพื่อช่วยชีวิตของสตรีมีครรภ์หรือเมื่อมีการตั้งครรภ์เนื่องมาจากการถูกข่มขืน
 
จากการติดตามองค์กรเฝ้าระวังสิทธิมนุษยชน “การทำแท้งเป็นเพียงแค่เรื่องอารมณ์และเป็นสิ่งหนึ่งที่กระตุ้นความคิดเห็นต่างๆอย่างลึกซึ้ง” แต่อย่างไรก็ตาม การได้รับการบริการในการทำแท้งด้วยความปลอดภัยเป็นอันดับแรกที่สำคัญในเรื่องสิทธิมนุษยชน ในสถานที่ที่มี การทำแท้งที่ปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีใครถูกบังคับให้ทำแท้ง ในสถานที่ที่การทำแท้งผิดกฎหมายและไม่ปลอดภัย ผู้หญิงถูกบังคับให้มีการตั้งครรภ์ที่ไม่ปรารถนาทำให้ทนทุกข์ทรมานจากสุขภาพที่ไม่ดีและนำไปสู่การเสียชีวิต มีการเสียชีวิตของมารดาคิดเป็นประมาณ 13% เนื่องมาจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย มีการเสียชีวิตประมาณ 68,000 และ 78,000 รายในแต่ละปี จากการติดตามรายงานขององค์กรเฝ้าระวังสิทธิมนุษยชน “การไม่ยอมรับสิทธิของสตรีในการตัดสินใจอย่างอิสระในเรื่องการทำแท้งเป็นการละเมิดหรือก่อให้เกิดภัยคุกคามสิทธิมนุษยชนในขอบเขตที่กว้าง” แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มอื่นๆ อย่างเช่น โบสถ์คาทอลิก สิทธิของคริสตชน และชาวยิวนิกายนิกายออร์ธอดอกซ์พิจารณาว่าการทำแท้งไม่ใช่สิทธิแต่เป็น “ความชั่วร้ายทางศีลธรรม”
 
== กฎหมายธรรมชาติและสิทธิสตรี ==