ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เจ้าหน้าที่การทูต"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Tiemianwusi (คุย | ส่วนร่วม)
ทางการทูต → ทางทูต
บรรทัด 1:
'''เจ้าหน้าที่การทูต''' หรือ '''นักการทูต''' ({{lang-en|diplomat}}) เป็นบุคคลที่[[รัฐ]]แต่งตั้งให้ดำเนินกิจการทาง[[การทูต]]กับรัฐอื่นหรือองค์การระหว่างประเทศ หน้าที่หลักของนักการทูต คือ การเป็นผู้แทนเจรจาและปกป้องผลกระโยชน์ ตลอดจนปกป้องประเทศนั้น ๆ เช่นเดียวกับการสนับสนุนข้อมูลและความสัมพันธ์ฉันท์มิตร นักการทูตส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาด้าน[[ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ]] [[รัฐศาสตร์]] [[เศรษฐศาสตร์]] หรือ[[กฎหมาย]]<ref>Stuart Seldowitz, "The Psychology of Diplomatic Conflict Resolution," in H. J. Langholtz and C. E.Stout, Eds. ''The Psychology of Diplomacy'' (Westport: Praeger, 2004), pp. 47–58.</ref>
 
การใช้ทูต หรือนักการทูต ถือเป็นรูปแบบที่เก่าแก่ที่สุดของสถาบันนโยบายต่างประเทศของรัฐ โดยเกิดขึ้นก่อนหน้าที่จะมีการจัดตั้งกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานรัฐบาลในรูปแบบของกระทรวงในสมัยปัจจุบันเป็นเวลาหลายศตวรรษ ในกรณีของประเทศไทย มีการใช้ทูตสื่อสารไปมาระหว่างกษัตริย์ต่อกษัตริย์มาแล้วอย่างน้อยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย หลายร้อยปีก่อนหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศจะได้มีการสถาปนาขึ้นตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จะทรงจัดตั้งระบบบริหารราชการแผ่นดินแบบกระทรวง ในปี พ.ศ. 2418
 
== ศัพทมูลวิทยา ==
ลำดับชั้นของนักการทูต มีอาทิ [[เอกอัครราชทูต]] ผู้แทนทางการทางทูต [[อัครราชทูต]] และ[[อุปทูต]] ล้วนกำหนดขึ้นโดย[[กฎหมายระหว่างประเทศ]] ชื่อว่า [[อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทางทูต]] ค.ศ. 1961
 
== ศัพทมูล ==
ลำดับชั้นของนักการทูต มีอาทิ [[เอกอัครราชทูต]] ผู้แทนทางทูต [[อัครราชทูต]] และ[[อุปทูต]] ล้วนกำหนดขึ้นโดย[[กฎหมายระหว่างประเทศ]] ชื่อว่า [[อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางทูต]] ค.ศ. 1961
 
ตามธรรมเนียมการทูตสากล ลำดับชั้นของนักการทูตเป็นดังนี้
- [[เอกอัครราชทูต]] (Ambassador)
- อัครราชทูต (Minister)*
- อัครราชทูตที่ปรึกษา (Minister-Counsellor)
- ที่ปรึกษา (Counsellor)*
- เลขานุการเอก (First Secretary)
- เลขานุการโท (Second Secretary)
- เลขานุการตรี (Third Secretary)
- นายเวร หรือผู้ช่วยเลขานุการ (Attache)
 
* '''หัวหน้าคณะผู้แทนทางทูต''' (head of diplomatic mission) แบ่งเป็นสามชั้น คือ
*พึงสังเกตว่า คำว่า Minister ในภาษาอังกฤษนั้นมีได้หลายความหมาย ความหมายที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคือ รัฐมนตรี แต่คำนี้ยังสามารถแปลว่านักบวชประเภทหนึ่งในศาสนาคริสต์บางนิกายก็ได้ หรือเป็นระดับตำแหน่งทางการทูตที่รองลงมาจากเอกอัครราชทูตก็ได้ด้วย ในกรณีหลังสุดนี้ ศัพท์บัญญัติภาษาไทยกำหนดให้เรียกว่า "อัครราชทูต" ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ มิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกคณะรัฐบาลแต่อย่างใด ตำแหน่งนี้ตามระบบราชการไทย เทียบได้กับรองอธิบดี
** ชั้น 1 ได้แก่ [[เอกอัครราชทูต]] (ambassador) หรือ [[เอกอัครสมณทูต]] (nuncio)
** ชั้น 2 ได้แก่ [[รัฐทูต]] (envoy), [[อัครราชทูต]] (minister) หรือ [[อัครสมณทูต]] (internuncio)
** ชั้น 3 ได้แก่ [[อุปทูต]] (chargé d’affaires)
* '''เจ้าหน้าที่ฝ่ายทูต''' (diplomatic staff) อื่น ๆ ประกอบด้วย
-** อัครราชทูตที่ปรึกษา (Ministerminister-counsellor)*
** [[ผู้ช่วยทูต]] (attaché)
-** ที่ปรึกษา (Counsellorcounsellor)*
** เลขานุการ (secretary) แบ่งเป็น เลขานุการเอก (first secretary), เลขานุการโท (second secretary) และ เลขานุการตรี (third secretary)
 
*พึงสังเกตว่า คำว่า Ministerminister ในภาษาอังกฤษนั้นมีได้หลายความหมาย ความหมายที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดคือ รัฐมนตรี แต่คำนี้ยังสามารถแปลว่านักบวชประเภทหนึ่งในศาสนาคริสต์บางนิกายก็ได้ หรือเป็นระดับตำแหน่งทางการทางทูตที่รองลงมาจากเอกอัครราชทูตก็ได้ด้วย ในกรณีหลังสุดนี้ ศัพท์บัญญัติภาษาไทยกำหนดให้เรียกว่า "อัครราชทูต" ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ มิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกคณะรัฐบาลแต่อย่างใด ตำแหน่งนี้ตามระบบราชการไทย เทียบได้กับรองอธิบดี
*ตำแหน่ง Counsellor ซึ่งศัพท์ทางการทูตภาษาไทยกำหนดให้เรียกว่า ที่ปรึกษา นั้น เป็นชื่อตำแหน่งทางการทูตที่เรียกเช่นนั้นเอง ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นข้าราชการประจำที่ทำงานปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา มิได้มีสถานะเป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำหรือเป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์หรือตำแหน่งลอยแต่ประการใด ตามระบบราชการไทยพอเทียบได้กับข้าราชการระดับ 7 เดิม หรือนักการทูตชำนาญการในปัจจุบันนี้ ซึ่งเทียบได้กับระดับรองผู้อำนวยการกอง
 
*ตำแหน่ง Counsellorcounsellor ซึ่งศัพท์ทางการทางทูตภาษาไทยกำหนดให้เรียกว่า ที่ปรึกษา นั้น เป็นชื่อตำแหน่งทางการทางทูตที่เรียกเช่นนั้นเอง ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นข้าราชการประจำที่ทำงานปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา มิได้มีสถานะเป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำหรือเป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์หรือตำแหน่งลอยแต่ประการใด ตามระบบราชการไทยพอเทียบได้กับข้าราชการระดับ 7 เดิม หรือนักการทูตชำนาญการในปัจจุบันนี้ ซึ่งเทียบได้กับระดับรองผู้อำนวยการกอง
 
นักการทูตสามารถเปรียบเทียบได้ว่ามีความแตกต่างจาก[[กงสุล]] หรือ [[ผู้ช่วยทูต]] ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐในด้านการบริหารหลายด้าน แต่ไม่มีหน้าที่ทางการเมืองเช่นเดียวกับนักการทูต
เส้น 25 ⟶ 30:
นักการทูตมีหน้าที่รวบรวมและรายงานข้อมูลซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งบ่อยครั้งมักเป็นการแนะนำเกี่ยวกับมาตรการรับมือให้แก่รัฐบาลของประเทศแม่ จากนั้น เมื่อมีนโยบายรับมือออกมาจากรัฐบาลแล้ว นักการทูตจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการนำนโยบายนั้นไปปฏิบัติ เจ้าหน้าที่การทูตยังมีหน้าที่ในการถ่ายทอด ด้วยวิธีการที่ชักจูงมากที่สุด มุมมองของรัฐบาลประเทศแม่ให้แก่รัฐบาลประเทศที่ประจำอยู่นั้น เพื่อพยายามโน้มน้าวให้รัฐบาลเหล่านั้นดำเนินการให้เหมาะสมกับผลประโยชน์ของประเทศแม่ ด้วยวิธีการดังนี้ นักการทูตจึงเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของวงจรในกระบวนการนโยบายต่างประเทศ
 
ในสมัยปัจจุบันนี้ เป็นการยากที่เจ้าหน้าที่การทูตจะดำเนินการเป็นอิสระได้เหมือนในสมัยก่อน ดังที่รัฐบุรุษอเมริกัน [[โทมัส เจฟเฟอร์สัน]] ได้เขียนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาในสมัยนั้นว่า "เราไม่ได้ข่าวจากเอกอัครราชทูต (ของสหรัฐฯ) ในสเปนกว่าสองปีแล้ว ถ้าเรายังไม่ทราบข่าวคราวจากเขาในปีนี้อีก ควรที่เราจะเขียนจดหมายหาเขา"<ref>Abba Eban, ''Diplomacy for the Next Century'' (New Haven, CT: Yale University Press, 1998) at 92.</ref>

ระบบการสื่อสารรักษาความปลอดภัย อีเมล และโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทำให้ต้นสังกัดสามารถติดต่อและสั่งการต่อหัวหน้าคณะผู้แทนทางการทางทูตของตนเองได้ไม่ว่าจะปลีกออกไปหลบซ่อนตัวถือสันโดษอยู่ที่ใดในโลกก็ตาม เทคโนโลยีเดียวกันนี้ ในทางกลับกัน ก็ทำให้นักการทูตในต่างประเทศสามารถที่จะให้ข้อมูลของตนป้อนกลับสู่กระบวนการจัดทำนโยบายในประเทศแม่ของตนได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน{{โปรดเรียบเรียงใหม่}}
 
== อ้างอิง ==