ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สถาปัตยกรรมบารอก"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Mattis (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Mattis (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 65:
[[ภาพ:Vaux-le-Vicomte Panorama.jpg|thumb|250px|โวเลอวิคองเทใกล้ปารีสโดยหลุยส์ เลอ โว และ อันเดร เลอ โนเตรอ เมื่อ ค.ศ.1661]]
[[ภาพ:Invalides.jpg|thumb|150px|left|เลออินแวลีด (Les Invalides) ที่ปารีส โดยจุลส์ อาร์ดวง มองซาร์ ค.ศ. 1676]]
ศูนย์กลางของ[[สถาปัตยกรรมบาโรก]]สำหรับที่อยู่อาศัยก็เห็นจะต้องเป็น[[ประเทศฝรั่งเศส]] การออกแบบวังมักเป็นผังแบบสามปีกรูปเกือกม้าที่เริ่มทำกันมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 แต่สิ่งก่อสร้างที่มีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมบาโรกที่แท้จริงคือ วังลักเซมเบิร์กซึ่งออกแบบโดย [[ซาโลมอน เดอ โบรส]] (Salomon de Brosse) ที่เป็นลักษณะไปทางคลาสสิคซึ่งเป็นลักษณะบาโรกของฝรั่งเศส หลักการจัดองค์ประกอบของสิ่งก่อสร้างก็จะให้ความสำคัญกับบริเวณหลักเช่นห้องรับรอง เป็นบริเวณสำคัญที่สุด (“[[corps de logis|เอกมณฑล]]” (Corps de logis) หรือบริเวณสำคัญที่สุด การจัดลักษณะนี้เริ่มทำกันเป็นครั้งแรกในประเทศฝรั่งเศส ขณะที่ห้องทางปีกที่ใกลออกไปจากห้องหลักจะค่อยลดความสำคัญลงไปตามลำดับ หอแบบ[[ยุคกลาง]]มาแทนที่ด้วยมุขที่ยื่นออกมาตรงกลางสิ่งก่อสร้างซึ่งอาจจะเป็นประตูมหึมาสามชั้นเป็นต้น
 
งานของเดอ โบรสเป็นงานผสมระหว่างลักษณะแบบฝรั่งเศส (สูงลอย หลังคาแมนซารด์[http://commons.wikimedia.org/wiki/image:Mansard.jpg] (Mansard) และหลังคาที่ซับซ้อน) กับลักษณะแบบอิตาลีที่คล้ายกับ[[วังพิตติ]][http://commons.wikimedia.org/wiki/image:Palazzo_Pitti_Gartenfassade_Florenz.jpg]ที่[[ฟลอเรนซ์]]ทำให้กลายมาเป็นลักษณะที่เรียกว่า “ลักษณะหลุยส์ที่ 13” ผู้ที่ใช้ลักษณะนี้ได้ดีที่สุดก็เห็นจะเป็น[[ฟรองซัว มองซาร์|ฟรองซัวส์ มองซาร์]]ผู้ที่ถือกันว่าเป็นผู้นำสถาปัตยกรรมบาโรกเข้ามาในฝรั่งเศส เมื่อออกแบบวังไมซองส์ (Château de Maisons) เมื่อปี ค.ศ. 1642 มองซาร์สามารถนำทฤษฎีการก่อสร้างทั่วไปและแบบบาโรกมาปรับให้เข้ากับลักษณะกอธิคที่ยังหลงเหลือภายในการก่อสร้างแบบฝรั่งเศสได้เป็นอย่างดี
 
วังไมซองส์แสดงให้เราเห็นถึงการค่อยๆ แปลงจากสถาปัตยกรรมหลังยุคกลางของวังในคริสต์ศตวรรษที่ 16 มาเป็นลักษณะแบบคฤหาสน์ชนบทในคริสต์ศตวรรษที่ 18 โครงสร้างเป็นสัดส่วนแบบสมมาตรและใช้เสาตกแต่งทุกชั้นอย่างเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่จะเป็นเสาอิง ด้านหน้าตกแต่งด้วย[[ชายคา]]ที่ดูราวกับว่ามีความยืดหยุ่น ทำให้สิ่งก่อสร้างทั้งหมดดูเหมือนสามมิติ แต่โครงสร้างของมองซาร์จะ “ปอก” สิ่งตกแต่งที่ “รก” ที่มักจะใช้ในสถาปัตยกรรมบาโรกแบบโรมออก
บรรทัด 73:
ขั้นต่อไปในการวิวัฒนาการของสถาปัตยกรรมที่อยู่อาศัยคือการใช้สวนเป็นองค์ประกอบของสิ่งก่อสร้างเช่นที่โวเลอวิคองเท (Vaux-le-Vicomte) ซึ่งมีหลุยส์ เลอ โว (Louis Le Vau) เป็นคนออกแบบ ชาร์ล เลอ บรุนเป็นสถาปนิก และอันเดร เลอ โนเตรอ (André Le Nôtre) เป็นช่างออกแบบสวนซึ่งแต่ละองค์ประกอบผสมผสานกลมกลืนกัน ตัวอาคารตกแต่งด้วยลักษณะที่เรียกว่า “colossal order” ที่ทำให้สิ่งก่อสร้างมีความน่าประทับใจมากขึ้น ความร่วมมือระหว่างหลุยส์ เลอ โว และ เลอ โนเตรอ เป็นผลที่เรียกว่า “Magnificent Manner” ซึ่งทำให้เกิดสิ่งก่อสร้างนอกวังหลวงที่กลายมาเป็นสถาปัตยกรรมที่ไม่คำนึงถึงเฉพาะแต่สิ่งก่อสร้างเท่านั้นแต่ยังใช้ “[[ภูมิสถาปัตยกรรม]]” ในการเพิ่มความน่าดูของสิ่งก่อสร้างด้วย
 
สถาปนิกสามคนนี้ต่อมาก็เป็นผู้สร้าง[[พระราชวังแวร์ซาย]]ซึ่งก็คือโวเลอวิคองเทที่ขยายใหญ่ขึ้น และกลายมาเป็นวังที่มีผู้สร้างเลียนแบบกันมากในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เช่นที่[[มานไฮม์]] (Mannheim) นอร์ดเคิชเชนนอร์ดเคิร์ชเชน (Nordkirchen) และ โดรทนิงโฮลม (Drottningholm) ในประเทศเยอรมันี
 
การขยายครั้งสุดท้ายของพระราชวังแวร์ซายทำโดย [[จุลส์ อาร์ดวง มองซาร์]] (Jules Hardouin-Mansart) ผู้เป็นคนสำคัญในการออกแบบ โดมเดออินแวลีด (Les Invalides) ซึ่งถือกันว่าเป็นวัดที่สำคัญที่สุดในศตวรรษนั้นของฝรั่งเศส อาร์ดวง มองซาร์ ได้รับประโยชน์จากคำสอนของฟรองซัว มองซาร์ผู้เป็นลุง ซึ่งเป็นการสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อนในประเทศทางตอนเหนือของอิตาลี และการใช้โดมครึ่งวงกลมบนโครงสร้างที่มั่นคงที่ดูแล้วมิได้แสดงสัดส่วนที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งก่อสร้าง จุลส์ อาร์ดวงมิได้แต่ปรับปรุงทฤษฎีของลุงเท่านั้นแต่ยังวางรากฐานการก่อสร้างแบบบาโรกลักษณะฝรั่งเศสด้วย