ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ท้าววสวัตตี"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Xiengyod (คุย | ส่วนร่วม)
แจ้งควรปรับการใช้ภาษาด้วยสจห.
→‎อ้างอิง: หนังสือธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง
บรรทัด 19:
<references />หนังสือปฐมสมโพธิกถา
{{จบอ้างอิง}}
วสวัตตีมาราธิราช
 
พญาวสวัตตีมาราธิราช ซึ่งบัดนี้เป็นประธานาธิบดียิ่งใหญ่ในภาคหมู่มารแห่งปรนิมมิตวสวัตดีสวรรค์นี้ เป็นพระโพธิสัตว์ได้ทรงก่อสร้างพระบารมี เช่นทานศีล เป็นอาทิ มามากต่อมาก แต่กองพระบารมีกองหนึ่ง ซึ่งปรากฏยอดเยี่ยมกว่าพระบารมีทั้งหลายเรียกว่าปรมัตถบารมีควรที่จะยังพุทธสมบัติให้ สำเร็จก็คือพระบารมีที่สร้างแต่ครั้งอดีตกาลนับเป็นอสงไขย
 
การปรารถนาพุทธภูมิจะเป้นพระพุทธเจ้า
สมัยที่สมเด็จพระพุทธกัสสปะทศพลญาณเจ้าบรมโลกุตมาจารย์ ทรงอุบัติขึ้นในโลก พญามาราธิราชผู้นี เกิดเป็นมนุษย์มีนามว่า โพธิอำมาตย์ ดำรงตำแหน่งอรรคมหาเสนาบดีของพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช เป็นที่โปรดปรานไว้วางพระราชหฤทัยนักหนา กาลวันหนึ่ง พระเจ้ากิงกิสละมหาราช ผู้มีพระทัยเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาลนา ได้ทรงทราบว่า สมเด็จพระกัสสปะสัพพัญญูเจ้า ทรงเข้านิโรธสมาบัติเสวยวิมุตติสุขอยู่คำรบ ๗ วัน ณ ภายใต้ต้นไทรใหญ่และใกล้ จะออกจากนิโรธอยู่แล้ว จึงทรงพระราชดำริว่า "พระมหากรุณาธิคุณเจ้าเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ ถ้าผู้ใดได้ถวายทาน จักบังเกิดผลานิสงล์ผลบุญูมหาศาลล้ำเลิศ บัดนี้เราจักถวายทานแด่พระองค์' แล้วจึงทรงให้มีพระราชกฤษฎีกาประกาศแก่ชาวเมืองทั้งปวงว่า"ถ้าบุคคลผู้ได้ ลอบไปถวายทานแด่สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนเราแล้ว เราจักให้ลงอาญาแก่ผู้นั้น" แล้วตรัสสั่งให้ตั้งกองรักษาการณ์ที่ใกล้ต้นไทรใหญ่ บริเวณพระวิหารไว้อย่างกวดขัน หากผู้ใดล่วงละเมิดพระราชกฤษฎีกาแล้ว ก็ให้จับตัวไปประหารชีวิตเสีย
 
ท่านโพธิอำมาตย์ แม้ได้ทราบพระราชกฤษฎีกา ก็ยังมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะถวายทานแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้อาลัยในซีวิต พอรุ่งเช้าจึงถือเครื่องไทยทานของตนกับภรรยา รวมเป็น ๒ ห่อ ตรงไปยังวิหาร พวกรักษาการณ์เห็นเช่นนั้น จึงถามด้วยความคารวะว่า "ข้าแต่ท่านเสนาบดี! เหตุใดท่านจึงฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาที่ทรงห้ามไว้" ท่านอำมาตย์ใหญ่ชั้นเสนาบดีได้ ฟังแล้วดำริว่ถ้าเราจะบอกแก่เจ้าพวกนี้ ด้วยถ้อยคำเป็นเท็จว่า พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งใช้ให้อาราธนาพระพุทธเจ้าเข้าไปในวังก็จะได้อยู่ แต่ทว่าหาควรที่เราจะกล่าวคำมุสาวาทไม่ เมื่อเราตั้งใจจะถวายทานแด่องค์พระโลกนาถเจ้า แต่กล่าวคำมุสาวาทแล้วทานของเราก็จักมีผลไม่ยิ่งใหญ่ ควรที่เราจะบอกตามความเป็นจริงแม้จักตายก็ตามทีเถิด เราหาอาลัยชีวิตไม่" แล้วจึงบอกไปว่า "เราจะเข้าไปถวายทานแด่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า" พวกทหารจึงจับท่านเสนาบดีมัดมือไพล่หลัง นำไปถวายพระราชาเพื่อให้ทรงพิจารณาโทษ พระราชาทรงพระพิโรธเป็นอันมาก รับสั่งให้นำตัวไปตัดศีรษะประหารชีวิตเสียทันที สมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญูกัสสปะพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาแก่โพธิเสนาบดี จึงเนรมิตพระพุทธนิมิตให้สถิตอยู่แทนพระองค์ในพระวิหารใหญ่ ส่วนพระองค์เสด็จปาฏิหารย์ไปประดิษฐาน ณ สถานที่ประหารท่านเสนาบดี ไม่มีผู้ใดเห็น จะเห็นได้แต่เฉพาะเสนาบดีผู้เดียวแล้วมีพระพุทธฎีกาว่า ''ดูกรโพธิเสนาบดี ท่านจงมีศรัทธา อย่าได้อาลัยในชีวิต อันเครื่องไทยทานของท่านมีประการใด ท่านจงกระทำจิตให้เสื่อมใสในตถาคตเถิด " โพธิเสนาบดีได้สดับพระพุทธฎีกาแล้ว ก็บังเกิดความเลื่อมใสสุดหัวใจจึงนำห่อภัตตาหารของตนกับภรรยา อัญชลีน้อมเกล้าฯเข้าถวายแต่องค์พระกัสสปะสัพพัญญเจ้า โดยคารวะเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง แล้วจึงตั้งปณิธานว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง ชีวิตของข้าพระบาทก็ได้สละแล้วในครั้งนี้ ด้วยเดชะผลทานนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพระบาท ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระองค์ในอนาคตกาลโน้นด้วยเถิด
 
สมเด็จพระกัสสปะพทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณายกพระหัตถ์ขึ้นลูบศีรษะท่านเสนาบดี แลัวยังทรงพยากรณ์ว่า "ท่านปรารถนาสิ่งใด ความปรารถนาของท่านจงพลันสำเร็จเถิด ดูกรท่านเสนาบดี ท่านจงตั้งมั่นไว้ในใจด้วยดีเถิดในอนาคตเบื้องหน้าโน้น ท่านจักได้อุบัติเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณพระองค์หนึ่ง เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารช้านานนักหนา มาในชาตินี้บังเกิดเป็นเจ้าแห่งหมู่มาร ในชั้นปรนิมมิตวสวัตตีด้วยอำนาจบุญนำกรรมแต่ง เพราะยังอยู่ในห้วงแห่งกิเลสเหตุยังเป็นปุถุชน จึงเกิดความเห็นสับสนวิปริต มีจิตคิดแข่งดีใคร่ ทดลองพระบารมีสมเด็จพระศรีศากมุนีสมณโคดมของเรา เฝ้าตามประจญ ด้วยประการต่างๆ แต่มิได้ ล่วงเกินทำบาปหนักประการใด สุดท้ายภายหลังมีความเศร้าเสียใจอย่างหนักถึงกับออกปากเอ่ยความปรารถนาพุทธภูมิซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
 
ทุกวันนี้ พญาวสวัตตีมาราธิราช ก็มีจิตอ่อนน้อมยินดีเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ในกาลอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนาน พญามารซึ่งสถิตเป็นสุขอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีขณะนี้ จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระพุทธธรรมสามี เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวในกัปนั้น (กัปที่เรากำลังอยู่นี้มีพระพุทธเจ้ามากที่สุดถึง ๕ พระองค์) มีไม้รังเป็นมหาโพธิ์สถานที่ตรัสรู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จักเป็นพระบรมศาสดาสั่งสอนให้เวไนยนิกรบรรลุอมตธรรมเป็นอันมาก ซึ่งในปัจจุบันนี้ เป็นเจ้าแห่งหมู่มารสถิตอยู่ ณ โลกสวรรค์ชั้นปรนิมมิตสวัตตีภูมิ
 
อายุ ทวยเทพที่ลถิตเสวยทิพยสมบัติ ณ สรวงสวรรค์ปรนิมมิตวสวัตตีภูมินี้ มีอายุยืนนานได้ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ นับได้ เก้าร้อยยี่สิบเอ็ดโกฏิหกล้านปี ดัวยการคำนวณปีแห่งมนุษยโลกเรา
มูลเหตุการขัดพระพุทธเจ้า
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเทศน์ไว้ดังนี้
เมื่อสมัยนั้น ท่านเป็นคนเลี้ยงม้าด้วยกันทั้งคู่(พระยามารและพระพุทธเจ้า) จะม้าแข่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ซี ท่านไปเกี่ยวหญ้าม้ากัน เกี่ยวไปก็แยกห่างกันไปที ทีนี้ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เสด็จจาก ภูเขาคันธมาส กุฏิของท่าน มันไม่ค่อยดี ท่านต้องการ ต้นหญ้านี่ ไปผสมกับดินทาฝา เพราะพระจะเกี่ยวหญ้าเองก็ไม่ควร เมื่อเห็นสองคนนี้เกี่ยวหญ้า ท่านก็เหาะลงมายืนเฉย พระพุทธเจ้าของเรา ก็นึกในใจว่า เราเอาของเราถวายท่าน ก็เป็นการสมควร อยากจะเอาของเพื่อนถวายบ้างสักก้อนหนึ่ง แต่ถ้าเพื่อนกลับมาแล้วแสดงความไม่พอใจ ก็จะมีโทษมาก เพราะพระพุทธเจ้า เป็นพระที่มีบุญหนัก ก็เลยไม่ได้ถวายไป พอตอนเย็นกลับมารวมกัน ขนหญ้าขึ้นเกวียน ท่านก็เล่าเรื่องให้ฟัง เท่านั้นแหละแก(พระยามาร)โกรธหาว่า กลัวจะดีเท่าเทียม เอาละ ท่านไปไหนก็ตาม เราจะตามไปขัดคอ แต่ทุกชาติไม่ได้ขัด มาขัดเอาชาติสุดท้าย
 
ที่มา http://board.palungjit.com/f23/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5-151789.html
หนังสือธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง