ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ดาวฤกษ์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
PepeBonus (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
อ่านเอาเอง
ป้ายระบุ: การแก้ไขผิดปกติในบทความคัดสรร/คุณภาพ การแก้ไขแบบเห็นภาพ
บรรทัด 1:
{{บทความคัดสรร}}
[[ไฟล์:Starsinthesky.jpg|right|300px|thumb|ย่านก่อตัวของดาวฤกษ์ในดาราจักร[[เมฆแมเจลแลนใหญ่]] ภาพจาก [[NASA]]/[[ESA]]]]
''' ดาวฤกษ์''' คือ[[วัตถุท้องฟ้า]]โฮกปิ๊ปที่เป็นก้อน[[พลาสมา (สถานะของสสาร)|พลาสมา]]สว่างขนาดใหญ่ที่คงอยู่ได้ด้วย[[แรงโน้มถ่วง]] ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้[[โลก]]มากที่สุด คือ ดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นแหล่ง[[พลังงาน]]หลักของโลก เราสามารถมองเห็นดาวฤกษ์อื่น ๆ ได้บนท้องฟ้ายามราตรี หากไม่มีแสงจากดวงอาทิตย์บดบัง ในประวัติศาสตร์ ดาวฤกษ์ที่โดดเด่นที่สุดบน[[ทรงกลมท้องฟ้า]]จะถูกจัดเข้าด้วยกันเป็น[[กลุ่มดาว]] และดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดจะได้รับการตั้งชื่อโดยเฉพาะ นักดาราศาสตร์ได้จัดทำ[[บัญชีรายชื่อดาวฤกษ์]]เพิ่มเติมขึ้นมากมาย เพื่อใช้เป็นมาตรฐานใน[[การตั้งชื่อดาวฤกษ์]]
 
ตลอดอายุขัยส่วนใหญ่ของดาวฤกษ์ มันจะเปล่งแสงได้เนื่องจาก[[นิวเคลียร์ฟิวชั่น|ปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ฟิวชั่น]]ที่แกนของดาว ซึ่งจะปลดปล่อยพลังงานจากภายในของดาว จากนั้นจึง[[การแผ่รังสี|แผ่รังสี]]ออกไปสู่[[อวกาศ]] [[ธาตุเคมี]]เกือบทั้งหมดซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติและหนักกว่า[[ฮีเลียม]]มีกำเนิดมาจากดาวฤกษ์ทั้งสิ้น โดยอาจเกิดจาก[[การสังเคราะห์นิวเคลียสของดาวฤกษ์]]ระหว่างที่ดาวยังมีชีวิตอยู่ หรือเกิดจาก[[การสังเคราะห์นิวเคลียสของซูเปอร์โนวา]]หลังจากที่ดาวฤกษ์เกิดการระเบิดหลังสิ้นอายุขัย [[นักดาราศาสตร์]]สามารถระบุขนาดของ[[มวล]] อายุ [[ความเป็นโลหะ (ดาราศาสตร์)|ส่วนประกอบทางเคมี]] และคุณสมบัติของดาวฤกษ์อีกหลายประการได้จากการสังเกต[[สเปกตรัม]] ความสว่าง และการเคลื่อนที่ในอวกาศ มวลรวมของดาวฤกษ์เป็นตัวกำหนดหลักในลำดับ[[วิวัฒนาการของดาวฤกษ์|วิวัฒนาการ]]และชะตากรรมในบั้นปลายของดาว ส่วนคุณสมบัติอื่นของดาวฤกษ์ เช่น เส้นผ่านศูนย์กลาง การหมุน การเคลื่อนที่ และอุณหภูมิ ถูกกำหนดจากประวัติวิวัฒนาการของมัน แผนภาพคู่ลำดับระหว่างอุณหภูมิกับความสว่างของดาวฤกษ์จำนวนมาก ที่รู้จักกันในชื่อ [[ไดอะแกรมของแฮร์ทสชปรุง-รัสเซลล์]] (H-R ไดอะแกรม) ช่วยทำให้สามารถระบุอายุและรูปแบบวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ได้
บรรทัด 43:
| url = http://webexhibits.org/calendars/calendar-ancient.html
| title = Other ancient calendars | publisher = WebExhibits
| accessdate = 2006-12-10 }}</ref> [[ปฏิทินเกรกอเรียน]] ซึ่งใช้กันอยู่แพร่หลายในโลกปัจจุบัน จัดเป็น[[ปฏิทินสุริยคติ]]ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของมุมของแกนหมุนของโลกโดยเทียบกับดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ที่สุด คือ ดวงอาทิตย์อาทิตยบะลั่กๆอุกๆจุๆวู้ๆ
 
งได้ก่อตั้งสถาบันวิจัย[[หอดูดาว]]ขนาดใหญ่แห่งแรก โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการจัดทำแ[[กระจุกดาวบรอกคี|รอกคี]]) และ[[ดาราจักร|ดารา]]ะสัมผัสกับดาวอีกดวงหนึ่ง และปรากฏให้เห็นเป็นภาพต่อเนื่องกันด้วยผลของการหักเหจากสารที่อยู่เหนือโลก เขาอ้างอิงจากหลักฐานการสังเกตจากปรากฏการณ์[[ดาวล้อมเดือน]]ของ[[ดาวพฤหัสบดี]]และ[[ดาวอังคาร]] เมื่อราว[[ฮิจญ์เราะหฺศักราช|ฮ.ศ.]] 500 (ค.ศ. 1106/1107) <ref name="Montada">{{cite web
[[แผนที่ดาว]]อันแม่นยำที่เก่าแก่ที่สุด ปรากฏขึ้นในสมัย[[อียิปต์โบราณ]] เมื่อราว 1,534 ปีก่อนคริสตกาล<ref>{{cite journal
| last = von Spaeth | first=Ove
| title = Dating the Oldest Egyptian Star Map
| journal = Centaurus International Magazine of the History of Mathematics, Science and Technology
| year = 2000 | volume=42 | issue=3 | pages=159–179
| url = http://www.moses-egypt.net/star-map/senmut1-mapdate_en.asp
| accessdate = 2007-10-21 }}</ref> นักดาราศาสตร์บาบิโลน แห่ง[[เมโสโปเตเมีย]]ได้รวบรวม[[บัญชีรายชื่อดาวฤกษ์บาบิโลน|บัญชีรายชื่อดาวฤกษ์ที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยรู้จัก]]ขึ้นในช่วงปลายคริสต์สหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ระหว่างสมัย[[คัสไซท์]] (ประมาณ 1531-1155 ปีก่อนคริสตกาล) <ref name="north 1995 30 31">{{cite book
| last = North | first=John | year=1995
| title = The Norton History of Astronomy and Cosmology
| location = New York and London | pages=30–31
| publisher = W.W. Norton & Company | isbn=0393036561 }}</ref> แผนที่ดาวฉบับแรกในดาราศาสตร์กรีกสร้างขึ้นโดย[[อริสทิลลัส]] เมื่อราว 300 ปีก่อนคริสตกาล ด้วยความช่วยเหลือของ[[ทิโมชาริส]]<ref>{{cite book
| last = Murdin | first=P. | year=2000 | month=November
| chapter = Aristillus (c. 200 BC)
| doi = 10.1888/0333750888/3440
| title = Encyclopedia of Astronomy and Astrophysics | chapterurl=http://adsabs.harvard.edu/abs/2000eaa..bookE3440
| accessdate = 2009-06-02 }}</ref> แผนที่ดาวของ[[ฮิปปาร์คัส]] (2 ศตวรรษก่อนคริสตกาล) ปรากฏดาวฤกษ์ 1,020 ดวง และใช้เพื่อรวบรวมแผนที่ดาวของ[[ปโตเลมี]]<ref>{{cite book
| first = Gerd | last=Grasshoff | year=1990
| title = The history of Ptolemy's star catalogue
| publisher = Springer | pages=1–5 | isbn=0387971815 }}</ref> ฮิปปาร์คัสเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ค้นพบ''[[โนวา]]'' (ดาวใหม่) คนแรกเท่าที่เคยมีการบันทึก<ref>{{cite web
| first = Antonios D. | last=Pinotsis
| title = Astronomy in Ancient Rhodes
| publisher = Section of Astrophysics, Astronomy and Mechanics, Department of Physics, University of Athens | url=http://conferences.phys.uoa.gr/jets2008/historical.html
| accessdate = 2009-06-02 }}</ref> ชื่อของกลุ่มดาวและดาวฤกษ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้โดยมากแล้วสืบมาจากดาราศาสตร์กรีก
 
ถึงแม้จะมีความเชื่อเก่าแก่อยู่ว่าสรวงสวรรค์นั้นไม่เปลี่ยนแปลง ทว่านักดาราศาสตร์ชาวจีนกลับพบว่ามีดวงดาวใหม่ปรากฏขึ้นได้<ref name="clark">{{cite conference
| author = Clark, D. H.; Stephenson, F. R.
| title = The Historical Supernovae
| booktitle = Supernovae: A survey of current research; Proceedings of the Advanced Study Institute
| pages = 355-370
| publisher = Dordrecht, D. Reidel Publishing Co
| date = 1981-06-29 | location = Cambridge, England
| url = http://adsabs.harvard.edu/abs/1982sscr.conf..355C
| accessdate = 2006-09-24 }}</ref> ในปี ค.ศ. 185 ชาวจีนเป็นพวกแรกที่สังเกตการณ์และบันทึกเกี่ยวกับ[[ซูเปอร์โนวา]] ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า [[SN 185]]<ref>{{cite journal
| author = Zhao, Fu-Yuan; Strom, R. G.; Jiang, Shi-Yang
| title = The Guest Star of AD185 Must Have Been a Supernova
| journal = Chinese Journal of Astronomy and Astrophysics
| year = 2006 | volume=6 | issue=5 | pages=635–640 | doi=10.1088/1009-9271/6/5/17 }}</ref> เหตุการณ์ของดวงดาวที่สว่างที่สุดเท่าที่เคยบันทึกในประวัติศาสตร์ คือ ซูเปอร์โนวา [[SN 1006]] ซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1006 สังเกตพบโดยนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ [[อาลี อิบนุ ริดวาน]] และนักดาราศาสตร์ชาวจีนอีกหลายคน<ref>{{cite web
| date = March 5, 2003
| url = http://www.noao.edu/outreach/press/pr03/pr0304.html
| title = Astronomers Peg Brightness of History’s Brightest Star
| publisher = NAOA News | accessdate=2006-06-08 }}</ref> ซูเปอร์โนวา [[SN 1054]] ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ[[เนบิวลาปู]] ถูกสังเกตพบโดยนักดาราศาสตร์ชาวจีนและชาวอิสลาม<ref name="SN1054">{{cite web
| author = Frommert, Hartmut; Kronberg, Christine
| date = August 30, 2006 | work=SEDS
| publisher = University of Arizona
| title = Supernova 1054 - Creation of the Crab Nebula
| url = http://www.seds.org/messier/more/m001_sn.html
}}</ref><ref name="PASP1942">{{cite journal
| last = Duyvendak | first=J. J. L.
| title = Further Data Bearing on the Identification of the Crab Nebula with the Supernova of 1054 A.D. Part I. The Ancient Oriental Chronicles
| journal = Publications of the Astronomical Society of the Pacific | volume=54 | issue=318 | pages=91–94
| month = April | year=1942 | bibcode=1942PASP...54...91D
| doi = 10.1086/125409 }}<br />
{{Cite journal
| last = Mayall | first=N. U. | last2=Oort |first2=Jan Hendrik
| title = Further Data Bearing on the Identification of the Crab Nebula with the Supernova of 1054 A.D. Part II. The Astronomical Aspects
| journal = Publications of the Astronomical Society of the Pacific | volume=54 | issue=318 | pages=95–104 | month=April
| year = 1942 | bibcode=1942PASP...54...95M
| doi = 10.1086/125410 }}</ref><ref>{{cite journal
| last = Brecher | first=K. | coauthors=''et al.'' | year=1983
| title = Ancient records and the Crab Nebula supernova
| journal = The Observatory | volume=103 | pages=106-113
| bibcode = 1983Obs...103..106B }}</ref>
 
นักดาราศาสตร์ชาวอิสลามในยุคกลางได้ตั้งชื่อ[[ภาษาอารบิก]]ให้แก่ดาวฤกษ์หลายดวง และยังคงมีการใช้ชื่อเหล่านั้นอยู่จนถึงปัจจุบัน พวกเขายังคิดค้นเครื่องมือวัดทางดาราศาสตร์มากมายซึ่งสามารถคำนวณตำแหน่งของดวงดาวได้ พวกเขายังได้ก่อตั้งสถาบันวิจัย[[หอดูดาว]]ขนาดใหญ่แห่งแรก โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการจัดทำแผนที่ดาว ''[[ซิจ]]''<ref>{{cite journal
| last = Kennedy |first=Edward S. |year=1962
| title = Review: ''The Observatory in Islam and Its Place in the General History of the Observatory'' by Aydin Sayili
| journal = Isis |volume=53
| issue = 2 |pages=237–239 |doi=10.1086/349558 }}</ref> ในหมู่นักดาราศาสตร์เหล่านี้ ''[[ตำราดาวฤกษ์]]'' (Book of Fixed Stars; ค.ศ. 964) ถูกเขียนขึ้นโดยนักดาราศาสตร์ชาว[[เปอร์เซีย]] [[อับดุลราฮ์มาน อัล-ซูฟี]] ผู้ซึ่งสามารถค้นพบดาวฤกษ์ รวมทั้ง[[กระจุกดาว]] (รวมทั้ง [[กระจุกดาวโอมิครอน เวโลรัม]] และ[[กระจุกดาวบรอกคี]]) และ[[ดาราจักร]] (รวมทั้ง [[ดาราจักรแอนโดรเมดา]]) เป็นจำนวนมาก<ref name=Jones>{{cite book
| title = Messier's nebulae and star clusters
| first = Kenneth Glyn | last=Jones
| publisher = Cambridge University Press
| year = 1991 | isbn=0521370795 | page=1 }}</ref> ในคริสต์ศตวรรษที่ 11 นักวิชาการ[[ผู้รู้รอบด้าน]]ชาวเปอร์เซีย [[อาบู รายัน อัล-บิรูนิ]] (Abū Rayhān al-Bīrūnī) ได้พรรณนาลักษณะของดาราจักร[[ทางช้างเผือก]]ว่าประกอบด้วยชิ้นส่วนดาวฤกษ์ซึ่งมีคุณสมบัติ[[เนบิวลา|เหมือนเมฆ]]จำนวนมาก และยังระบุ[[ละติจูด]]ของดาวฤกษ์หลายดวงได้ในระหว่างปรากฏการณ์[[จันทรุปราคา]]ในปี [[ค.ศ. 1019]]<ref>{{cite web
| last = Zahoor | first=A. | year=1997
| url = http://www.unhas.ac.id/~rhiza/saintis/biruni.html
| title = Al-Biruni | publisher=Hasanuddin University
| accessdate = 2007-10-21 }}</ref> นักดาราศาสตร์[[อัล-อันดะลุส|ชาวอันดะลุส]] [[อิบันบาจจาห์]] เสนอว่าทางช้างเผือกประกอบขึ้นจากดาวฤกษ์จำนวนมากจนดาวดวงหนึ่งเกือบจะสัมผัสกับดาวอีกดวงหนึ่ง และปรากฏให้เห็นเป็นภาพต่อเนื่องกันด้วยผลของการหักเหจากสารที่อยู่เหนือโลก เขาอ้างอิงจากหลักฐานการสังเกตจากปรากฏการณ์[[ดาวล้อมเดือน]]ของ[[ดาวพฤหัสบดี]]และ[[ดาวอังคาร]] เมื่อราว[[ฮิจญ์เราะหฺศักราช|ฮ.ศ.]] 500 (ค.ศ. 1106/1107) <ref name=Montada>{{cite web
| first = Josep Puig | last=Montada
| title = Ibn Bajja | publisher=[[Stanford Encyclopedia of Philosophy]]
| url = http://plato.stanford.edu/entries/ibn-bajja
| date = September 28, 2007 | accessdate=2008-07-11 }}</ref> โอเย้ๆ
 
นักดาราศาสตร์[[ยุโรป]]ในยุคต้น ๆ อาทิ [[ไทโค บราเฮ]] ได้ค้นพบดาวฤกษ์ใหม่ปรากฏบนท้องฟ้ากลางคืน (ต่อมาเรียกชื่อว่า ''โนวา'') และเสนอว่า แท้จริงแล้วสรวงสวรรค์ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงมิได้ ปี ค.ศ. 1584 [[จิออร์ดาโน บรูโน]] เสนอแนวคิดว่าดาวฤกษ์ต่าง ๆ ก็เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ดวงอื่น ๆ และอาจมีเส[[ดาวเคราะห์นอกระบบเอพิคุรุส|ดาวเคราะห์คุรุส]]ของมันเองโคจรอยู่รอบ ๆ ซึ่งดาวเคราะห์บางดวงอาจมีลักษณะเหมือนโลกก็เป็นได้<ref name="he history">{{cite web
| last = Drake | first = Stephen A.
| date = 2006-08-17
| url = http://heasarc.gsfc.nasa.gov/docs/heasarc/headates/heahistory.html
| title = A Brief History of High-Energy (X-ray & Gamma-Ray) Astronomy
| publisher = NASA HEASARC | accessdate = 2006-08-24
}}</ref> แนวคิดทำนองนี้เคยมีการนำเสนอมาก่อนแล้วตั้งแต่สมัย[[กรีกโบราณ]]โดยนักปรัชญาบางคนเช่น [[ดีโมครีตุส]]และ[[เอพิคุรุส]]<ref>{{cite web
| date = 2006-07-24
| url = http://www.eso.org/outreach/eduoff/edu-prog/catchastar/CAS2004/casreports-2004/rep-226/
เส้น 142 ⟶ 61:
| pages = 395–403 [402]
| doi = 10.1016/0083-6656 (95) 00033-X
| doi_brokendate = 2010-03-19 }}</ref> อย่างเช่น [[ฟาคีร์ อัลดิน อัลราซี]]<ref name="Setia">{{cite journal
| title = Fakhr Al-Din Al-Razi on Physics and the Nature of the Physical World: A Preliminary Survey
| first = Adi | last=Setia | journal=Islam & Science
เส้น 153 ⟶ 72:
| accessdate = 2006-08-24 }}</ref>
 
นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี [[เจมิเนียโน มอนทานารี]] ได้บันทึกผลสังเกตการเปลี่ยนแปลงความส่องสว่างของ[[ดาวอัลกอล]]ในปี ค.ศ. 1667 [[เอ็ดมันด์ ฮัลเลย์]] ตีพิมพ์ผลการวัด[[ความเร็วแนวเล็ง]]ของดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้เคียงกันคู่หนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของดาวนับจากช่วงเวลาที่[[ทอเลมี]]กับ[[ฮิปปาร์คัส]] นักดาราศาสตร์[[กรีกโบราณ]] เคยบันทึกเอาไว้ การวัดระยะทางระหว่างดาวโดยตรงครั้งแรกทำโดย [[ฟรีดดริค เบสเซล]] ในปี ค.ศ. 1838 โดยใช้วิธี[[พารัลแลกซ์]]กับดาว [[61 Cygni]] ซึ่งอยู่ห่างไป 11.4 ปีแสง การตรวจวัดด้วยวิธีพารัลแลกซ์นี้ช่วยให้มนุษย์ทราบระยะทางอันกว้างใหญ่ระหว่างดวงดาวต่าง ๆ บนสรวงสวรรค์<ref name="he history">{{cite web|last=Drake|first=Stephen A.|date=2006-08-17|url=http://heasarc.gsfc.nasa.gov/docs/heasarc/headates/heahistory.html|title=A Brief History of High-Energy (X-ray & Gamma-Ray) Astronomy|publisher=NASA HEASARC|accessdate=2006-08-24}}</ref>
 
[[วิลเลียม เฮอร์เชล]] เป็นนักดาราศาสตร์คนแรกที่พยายามตรวจหาการกระจายตัวของดาวฤกษ์บนท้องฟ้า ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1780 เขาได้ทำการตรวจวัดดวงดาวในทิศทางต่าง ๆ มากกว่า 600 แบบ และนับจำนวนดาวฤกษ์ที่มองเห็นในแต่ละทิศทางนั้น ด้วยวิธีนี้เขาพบว่า จำนวนของดาวฤกษ์เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอไปทางด้านหนึ่งของท้องฟ้า คือในทิศทางที่มุ่งเข้าสู่ใจกลางของ[[ทางช้างเผือก]] [[จอห์น เฮอร์เชล]] บุตรชายของเขาได้ทำการศึกษาซ้ำเช่นนี้อีกครั้งในเขตซีกโลกใต้ และพบผลลัพธ์ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน<ref>{{cite journal
เส้น 343 ⟶ 262:
[[ไฟล์:H-R diagram -edited-3.gif|thumb|300px|ตัวอย่างแสดงตำแหน่งของดาวฤกษ์ต่าง ๆ บน[[ไดอะแกรมของเฮิร์ตสปรัง-รัสเซลล์]] ดวงอาทิตย์อยู่บริเวณเกือบกึ่งกลางของแถบ (ดูเพิ่มใน [[การจัดประเภทดาวฤกษ์]])]]
 
ระยะเวลาที่ดาวฤกษ์จะอยู่บนแถบลำดับหลักขึ้นอยู่กับมวลเชื้อเพลิงตั้งต้นกับอัตราเผาผลาญเชื้อเพลิงของดาวฤกษ์นั้น ๆ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือมวลตั้งต้นและความส่องสว่างของดาวฤกษ์นั่นเอง สำหรับดวงอาทิตย์ ประมาณว่าจะอยู่บนแถบลำดับหลักประมาณ 10<sup>10</sup> ปี ดาวฤกษ์ขนาดใหญ่จะเผาผลาญเชื้อเพลิงในอัตราเร็วมากและมีอายุสั้น ขณะที่ดาวฤกษ์ขนาดเล็ก (คือดาวแคระระ) จะเผาผลาญเชื้อเพลิงในอัตราที่ช้ากว่าและสามารถอยู่บนแถบลำดับหลักได้นานหลายหมื่นหรือหลายแสนล้านปี ซึ่งในบั้นปลายของอายุ มันจะค่อย ๆ หรี่จางลงเรื่อย ๆ <ref name="late stages" /> อย่างไรก็ดี อายุของ[[เอกภพ]]ที่ประมาณการไว้ในปัจจุบันอยู่ที่ 13,700 ล้านปี ดังนั้นจึงไม่อาจค้นพบดาวฤกษ์ดังที่กล่าวมานี้ได้
 
นอกเหนือจากมวล องค์ประกอบของธาตุหนักที่หนักกว่าฮีเลียมก็มีบทบาทสำคัญต่อวิวัฒนาการของดาวฤกษ์เช่นกัน ในทางดาราศาสตร์ ธาตุที่หนักกว่าฮีเลียมจะเรียกว่าเป็น "โลหะ" และความเข้มข้นทางเคมีของธาตุเหล่านี้จะเรียกว่า [[ค่าความเป็นโลหะ]] ค่านี้มีอิทธิพลต่อช่วงเวลาที่ดาวฤกษ์เผาผลาญเชื้อเพลิง รวมถึงควบคุมการกำเนิดสนามแม่เหล็กของดาวฤกษ์<ref>{{cite journal
เส้น 355 ⟶ 274:
| url = http://www.star.ucl.ac.uk/groups/hotstar/research_massloss.html
| title = Mass loss and Evolution | publisher = UCL Astrophysics Group
| accessdate = 2006-08-26 }}</ref> ดาวฤกษ์ชนิด[[ดารากร 2]] ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่าจะมีค่าความเป็นโลหะน้อยกว่าดาวฤกษ์รุ่นใหม่ หรือดาวฤกษ์แบบ[[ดารากร 3]] เนื่องมาจากองค์ประกอบที่มีอยู่ในเมฆโมเลกุลอันดาวฤกษ์ถือกำเนิดขึ้นมานั่นเอง ยิ่งเวลาผ่านไป เมฆเหล่านี้จะมีส่วนประกอบของธาตุหนักเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อดาวฤกษ์เก่าแก่สิ้นอายุขัยและส่งคืนสารประกอบภายในชั้นบรรยากาศของมันกลับไปในอวกาศ และระเบิดออกมา กลายเป็นโกโก้ครันซ์อ
 
=== หลังแถบลำดับหลัก ===
เส้น 388 ⟶ 307:
==== ดาวมวลมาก ====
{{บทความหลัก|ดาวยักษ์ใหญ่แดง}}
[[ไฟล์:Betelgeuse star (Hubble).jpg|thumb|left|[[ดาวบีเทลจุส]] เป็นดาวยักษ์ใหญ่แดง ซึ่งกำลังจะสิ้นอายุขัย|link=Special:FilePath/Betelgeuse_star_(Hubble).jpg]]
 
ระหว่างช่วงการเผาผลาญฮีเลียมของดาวฤกษ์เหล่านี้ ดาวมวลมากซึ่งมีมวลมากกว่า 9 เท่าของมวลดวงอาทิตย์จะพองตัวออกจนกระทั่งกลายเป็น[[ดาวยักษ์ใหญ่แดง]] เมื่อเชื้อเพลิงที่แกนกลางของดาวยักษ์ใหญ่แดงหมด พวกมันจะยังคงฟิวชั่นธาตุที่หนักกว่าฮีเลียม
เส้น 482 ⟶ 401:
| title=Astrophysics: Decoding the Cosmos
| publisher=John Wiley and Sons | isbn=0470013060
| page=78 }}</ref> กับสัดส่วนของธาตุหนักอีกเล็กน้อย โดยทั่วไปเราวัดปริมาณของธาตุหนักในรูปขององค์ประกอบเหล็กในชั้นบรรยากาศของดาวฤกษ์ขาวฤกษ์คือ เนื่องจาก[[เหล็ก]]เป็นธาตุพื้นฐานoccultation และโดยการตรวจวัดเส้นการดูดซับความส่องสว่างของมันก็ทำได้ง่าย ใน[[เมฆโมเลกุล]]อันเป็นต้นกำเนิดของดาวฤกษ์จะอุดมไปด้วยธาตุหนักมากมายดาวที่ได้ลดลงเนื่องมาจาก[[ซูเปอร์โนวา]]หรือการระเบิดความสว่างของดาวฤกษ์รุ่นแรกดวงจันทร์ ดังนั้นการตรวจวัดองค์ประกอบทางเคมี(หรือจากความส่องสว่างที่เพิ่มขึ้นเมื่อมันปรากฏขึ้นใหม่) แล้วจึงนำมาคำนวณขนาดเชิงมุมของดาวฤกษ์จึงสามารถใช้ประเมินอายุของมันได้นั้น<ref>{{cite webjournal
| date = 2006-09-12 | url = http://www.eso.org/outreach/press-rel/pr-2006/pr-34-06.html
| title = A "Genetic Study" of the Galaxy
| publisher = ESO | accessdate = 2006-10-10 }}</ref> เราอาจใช้องค์ประกอบธาตุหนักในการวินิจฉัยได้ด้วยว่าดาวฤกษ์ดวงนั้นน่าจะมี[[ระบบดาวเคราะห์]]ของตนเองหรือไม่<ref>{{cite journal | author= Fischer, D. A.; Valenti, J. | title=The Planet-Metallicity Correlation | journal=The Astrophysical Journal | year=2005 | volume=622 | issue=2 | pages=1102–1117 | url=http://adsabs.harvard.edu/abs/2005ApJ...622.1102F | doi = 10.1086/428383 <!--Retrieved from CrossRef by DOI bot-->}}</ref>
 
ดาวฤกษ์ที่มีองค์ประกอบธาตุเหล็กต่ำที่สุดเท่าที่เคยตรวจพบ คือดาวแคระ [[HE1327-2326]] โดยมีองค์ประกอบเหล็กเพียง 1 ใน 200,000 ส่วนของดวงอาทิตย์<ref>{{cite web
| date = 2005-04-17 | url = http://www.sciencedaily.com/releases/2005/04/050417162354.htm | title = Signatures Of The First Stars
| publisher = ScienceDaily | accessdate = 2006-10-10 }}</ref> ในด้านตรงข้าม ดาวฤกษ์ที่มีโลหะธาตุสูงมากคือ [[μ Leonis]] ซึ่งมีธาตุเหล็กสูงกว่าดวงอาทิตย์เกือบสองเท่า อีกดวงหนึ่งคือ [[14 Herculis]] ซึ่งมีดาวเคราะห์เป็นของตนเองด้วย มีธาตุเหล็กสูงกว่าดวงอาทิตย์เกือบสามเท่า<ref>{{cite journal
| last = Feltzing | first=S. | coauthors=Gonzalez, G.
| title = The nature of super-metal-rich stars: Detailed abundance analysis of 8 super-metal-rich star candidates
| journal = Astronomy & Astrophysics
| year = 2000 | volume=367 | pages=253–265
| url = http://adsabs.harvard.edu/abs/2001A&A...367..253F
| accessdate = 2007-11-27
| doi = 10.1051/0004-6361:20000477 }}</ref> นอกจากนี้ยังมีดาวฤกษ์ที่มีองค์ประกอบทางเคมีอันแปลกประหลาดอีกหลายดวงซึ่งสังเกตได้จากเส้น[[สเปกตรัม]]ของมัน โดยที่มีทั้ง[[โครเมียม]]กับ[[แรร์เอิร์ท|ธาตุหายาก]]บนโลก<ref>{{cite book
| first = David F. | last=Gray | year=1992
| title = The Observation and Analysis of Stellar Photospheres
| publisher = Cambridge University Press
| isbn = 0521408687 }}</ref>
 
=== เส้นผ่านศูนย์กลาง ===
[[ไฟล์:Star-sizes.jpg|thumb|250px|ขนาดเปรียบเทียบดาวฤกษ์]]
 
ดาวฤกษ์ต่าง ๆ อยู่ห่างจากโลกมาก ดังนั้นนอกจากดวงอาทิตย์แล้ว เราจึงมองเห็นดาวฤกษ์ต่าง ๆ เป็นเพียงจุดแสงเล็ก ๆ ในเวลากลางคืน ส่องแสงกะพริบวิบวับเนื่องมาจากผลจาก[[ชั้นบรรยากาศของโลก]] ดวงอาทิตย์ก็เป็นดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง แต่อยู่ใกล้กับโลกมากพอจะปรากฏเห็นเป็นรูปวงกลม และให้แสงสว่างในเวลากลางวัน นอกเหนือจากดวงอาทิตย์แล้ว ดาวฤกษ์ที่มีขนาดปรากฏใหญ่ที่สุดคือ [[R Doradus]] ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางเชิงมุมเพียง 0.057 [[พิลิปดา]]<ref>{{cite news
| title = The Biggest Star in the Sky | publisher=ESO
| date = 1997-03-11 | url=http://www.eso.org/outreach/press-rel/pr-1997/pr-05-97.html
| accessdate = 2006-07-10 }}</ref>
 
ภาพของดาวฤกษ์ส่วนมากที่มองเห็นและวัดได้ใน[[ขนาดเชิงมุม]]จะเล็กมากจนต้องอาศัยการสังเกตการณ์บนโลกด้วย[[กล้องโทรทรรศน์]] บางครั้งต้องใช้กล้องโทรทรรศน์ในเทคนิค interferometer เพื่อช่วยขยายภาพ เทคนิคอีกประการหนึ่งในการตรวจวัดขนาดเชิงมุมของดาวฤกษ์คือ occultation โดยการตรวจวัดความส่องสว่างของดาวที่ลดลงเนื่องมาจากความสว่างของดวงจันทร์ (หรือจากความส่องสว่างที่เพิ่มขึ้นเมื่อมันปรากฏขึ้นใหม่) แล้วจึงนำมาคำนวณขนาดเชิงมุมของดาวฤกษ์นั้น<ref>{{cite journal
| author = Ragland, S.; Chandrasekhar, T.; Ashok, N. M.
| title = Angular Diameter of Carbon Star Tx-Piscium from Lunar Occultation Observations in the Near Infrared
เส้น 533 ⟶ 424:
| doi=10.1134/S1063772906090058 | bibcode=2006ARep...50..714L }}</ref>]]
 
ลักษณะการเคลื่อนที่ของดาวฤกษ์เมื่อเปรียบเทียบกับดวงอาทิตย์ของเรา สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเรียนรู้ถึงจุดกำเนิดและอายุของดาว รวมไปถึงโครงสร้างและวิวัฒนาการของดาราจักรโดยรอบ องค์ประกอบการเคลื่อนที่ของดาวฤกษ์ประกอบด้วย [[ความเร็วแนวเล็ง]] ที่วิ่งเข้าหาหรือวิ่งออกจากดวงอาทิตย์ และการเคลื่อนที่เชิงมุมที่เรียกว่าดีสำหรับใช้ตรวจวัดพารัลแลกซ์ของดาวได้<ref>{{cite [[การเคลื่อนที่เฉพาะ]]web
 
การตรวจวัดความเร็วแนวเล็งทำได้โดยอาศัย[[การเคลื่อนดอปเปลอร์]]ของเส้นสเปกตรัมของดาว หน่วยที่วัดเป็นกิโลเมตรต่อวินาที การตรวจวัดการเคลื่อนที่เฉพาะของดาวฤกษ์ทำได้จากเครื่องมือตรวจวัดทางดาราศาสตร์ที่มีความแม่นยำสูง หน่วยที่วัดเป็นมิลลิ[[พิลิปดา]]ต่อปี เมื่ออาศัยการตรวจสอบ[[พารัลแลกซ์]]ของดาวฤกษ์ เราจึงสามารถแปลงการเคลื่อนที่เฉพาะให้ไปเป็นหน่วยของความเร็วได้ ดาวฤกษ์ที่มีค่าการเคลื่อนที่เฉพาะสูงมีแนวโน้มที่จะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าดาวดวงอื่น จึงเป็นตัวแทนที่ดีสำหรับใช้ตรวจวัดพารัลแลกซ์ของดาวได้<ref>{{cite web
| date = 1999-09-10 | url = http://www.rssd.esa.int/hipparcos/properm.html
| title = Hipparcos: High Proper Motion Stars
เส้น 906 ⟶ 795:
ในดาวฤกษ์มวลมาก ธาตุหนักจะถูกเผาผลาญไปในแกนกลางที่อัดแน่นโดยผ่าน[[กระบวนการเผาผลาญนีออน]] และ[[กระบวนการเผาผลาญออกซิเจน]] สภาวะสุดท้ายในกระบวนการสังเคราะห์นิวเคลียสของดาวฤกษ์คือ [[กระบวนการเผาผลาญซิลิกอน]] ซึ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นไอโซโทปเสถียร เหล็ก-56 กระบวนการฟิวชั่นไม่อาจดำเนินต่อไปได้อีก นอกเสียจากจะต้องผ่านกระบวนการดูดกลืนความร้อน (endothermic process) หลังจากนั้น พลังงานจะเกิดขึ้นได้จากการยุบตัวเนื่องจากแรงโน้มถ่วงเท่านั้น<ref name="synthesis" />
 
ตัวอย่างข้างล่างนี้ แสดงระยะเวลาที่ดาวฤกษ์ขนาด 20 เท่าของมวลดวงอาทิตย์จำเป็นต้องใช้ในการเผาผลาญพลังงานนิวเคลียร์ภายในตัวจนหมด ดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลักประเภท O จะมีรัศมี 8 เท่าของรัศมีดวงอาทิตย์ และมีความส่องสว่าง 62,000 เท่าของความส่องสว่างของดวงอาทิตย์<ref>{{cite journal | author= Woosley, S. E.; Heger, A.; Weaver, T. A. | title=The evolution and explosion of massive stars | journal=Reviews of Modern Physics | year=2002 | volume=74 | issue=4 | pages=1015–1071 | url=http://adsabs.harvard.edu/abs/2002RvMP...74.1015W | doi = 10.1103/RevModPhys.74.1015}}</ref> ที่เผยแพร่ไปเป็นจริงทั้งสิ้น
 
{{clear}}