ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จักรวรรดิบริติช"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: การแก้ไขแบบเห็นภาพ แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: การแก้ไขแบบเห็นภาพ แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ blanking
บรรทัด 1:
th.m.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9:%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99&returnto=%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C%3ASalvador+Sobral+RedCarpet+Kyiv+2017.jpg&returntoquery=welcome%3Dyes
 
{{กล่องข้อมูล ประเทศ
| name = จักรวรรดิบริติช
| native_name =
| image_flag = Flag of the United Kingdom.svg
| image_map = The British Empire.png
| map_caption = พื้นที่ต่าง ๆ ของโลกซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิบริติช ปัจจุบันดินแดนโพ้นทะเลอังกฤษถูกขีดเส้นใต้สีแดง
}}
{{ใช้ปีคศ|width=250px}}
'''จักรวรรดิบริติช''' ({{lang-en|British Empire}}) หรือ '''จักรวรรดิอังกฤษ''' ประกอบด้วย[[ประเทศในเครือจักรภพ]] [[คราวน์โคโลนี]] [[รัฐในอารักขา]] [[รัฐในอาณัติสันนิบาติชาติ|รัฐในอาณัติ]] และดินแดนอื่นซึ่ง[[สหราชอาณาจักร]]ปกครองหรือบริหาร จักรวรรดิกำเนิดจากดินแดนอาณานิคมโพ้นทะเลและ[[สถานีการค้า]]ที่[[ราชอาณาจักรอังกฤษ]]ก่อตั้งระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 ในช่วงที่เจริญถึงขีดสุด จักรวรรดิบริติชเป็น[[จักรวรรดิ]]ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็น[[มหาอำนาจ]]โลกชั้นแนวหน้านานกว่าหนึ่งศตวรรษ<ref name=":0">{{Cite book |last=Ferguson |first=Niall |year=2004 |title=Empire, The rise and demise of the British world order and the lessons for global power |publisher=Basic Books |isbn=0-465-02328-2}}</ref> ใน ค.ศ. 1922 จักรวรรดิบริติชปกครองประชากรประมาณ 458 ล้านคน หรือกว่าหนึ่งในห้าของประชากรโลกในเวลานั้น<ref>[[#refMaddison2001|Maddison 2001]], pp.&nbsp;98, 242.</ref> ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 33,000,000 ตารางกิโลเมตร เกือบหนึ่งในสี่ของพื้นดินทั้งหมดของโลก<ref>[[#refFerguson2004|Ferguson 2004]], p.&nbsp;15., saying: "At its maximum extent between the world wars the British Empire covered more than 13 million square miles, approximately 23 percent of the world's land surface."</ref><ref>[[#refElkins2005|Elkins2005]], p.&nbsp;5.saying: "The British Empire encompassed nearly 13 million square miles or roughly 25 percent of the world's total landmass"</ref> เป็นผลให้มรดกทางการเมือง [[คอมมอนลอว์|กฎหมาย]] [[ภาษาอังกฤษ|ภาษา]]และวัฒนธรรมของอังกฤษแผ่ขยาย ในยุคที่จักรวรรดิบริติชรุ่งเรืองที่สุด มักใช้คำวลี "ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดินในจักรวรรดิบริติช" เพราะดินแดนที่มีอยู่ทั่วโลกทำให้ดวงอาทิตย์ยังส่องแสงอยู่ในดินแดนใต้ปกครองอย่างน้อยที่สุดหนึ่งแห่งตลอดเวลา
 
ระหว่าง[[ยุคแห่งการสำรวจ]]ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 และ 16 [[จักรวรรดิสเปน|สเปน]]และ[[จักรวรรดิโปรตุเกส|โปรตุเกส]]บุกเบิกการสำรวจโลกของชาวยุโรป และสร้างจักรวรรดิโพ้นทะเลขนาดใหญ่ไปพร้อมกัน จากความอิจฉาในความมั่งคั่งของจักรวรรดิทั้งสอง อังกฤษ [[จักรวรรดิอาณานิคมฝรั่งเศส|ฝรั่งเศส]] และ[[จักรวรรดิดัตช์|เนเธอร์แลนด์]]จึงเริ่มก่อตั้งอาณานิคมและเครือข่ายการค้าของตนใน[[ทวีปอเมริกา]]และเอเชีย<ref>[[#refFergusonEmpire2004|Ferguson 2004]], p.&nbsp;2.</ref> สงครามอย่างต่อเนื่องกับเนเธอร์แลนด์และฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 ทำให้อังกฤษ (หรือ[[ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่|บริเตนใหญ่]] หลัง[[พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1707|สหภาพระหว่างอังกฤษและสกอตแลนด์ใน ค.ศ. 1707]]) เป็นมหาอำนาจ[[ลัทธิล่าอาณานิคม|ด้านอาณานิคม]]ในทวีปอเมริกาเหนือและอินเดียอย่างเด็ดขาด
 
เอกราชของ[[สิบสามอาณานิคม]]ในทวีปอเมริกาเหนือให้หลัง[[สงครามประกาศอิสรภาพอเมริกา]]ใน ค.ศ. 1783 ทำให้บริเตนเสียอาณานิคมที่เก่าแก่ที่สุดและมีประชากรมากที่สุดไปหลายแห่ง ไม่นานบริเตนหันความสนใจไป[[ทวีปแอฟริกา]] [[ทวีปเอเชีย]] และ[[แปซิฟิก]]แทน หลัง[[จักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1|ฝรั่งเศสสมัยนโปเลียน]]ปราชัยใน ค.ศ. 1815 บริเตนก้าวเป็นมหาอำนาจทางทะเลและจักรวรรดิหลักในคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีกรุงลอนดอนเป็นนครใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1830<ref>Tellier, L.-N. (2009). ''Urban World History: an Economic and Geographical Perspective''. Quebec: PUQ. p. 463. ISBN 2-7605-1588-5.</ref> ภาวะครอบงำของบริเตนที่ไร้ผู้ต่อกรในทะเลภายหลังมีผู้อธิบายว่าเป็น[[สันติภาพบริเตน]] ระยะที่ค่อนข้างสันติในทวีปยุโรปและโลก (ค.ศ. 1815–1914) ซึ่งระหว่างนั้นจักรวรรดิบริติชเป็นผู้ครองความเป็นใหญ่ในโลกและรับบทบาทตำรวจโลก<ref>[[#refJohnston2008|Johnston]], pp.&nbsp;508-10.</ref><ref name="ReferenceB">[[#refOHBEv3|Porter]], p.&nbsp;332.</ref><ref>Sondhaus, L. (2004). ''Navies in Modern World History''. London: Reaktion Books. p. 9. ISBN 1-86189-202-0.</ref><ref>{{Cite book| first=Andrew| last=Porter| title=The Nineteenth Century, The Oxford History of the British Empire Volume III| publisher=Oxford University Press| year=1998| isbn=0-19-924678-5 |url=https://books.google.com/?id=oo3F2X8IDeEC| ref=refOHBEv3|page=332}}</ref> ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 [[การปฏิวัติอุตสาหกรรม]]เริ่มเปลี่ยนแปลงบริเตน ในขณะที่มี[[นิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่]]ใน ค.ศ. 1851 จักรวรรดิบริติชมีผู้อธิบายว่า "โรงซ่อมสร้างของโลก"<ref>{{cite web |url=http://www.bbc.co.uk/history/british/victorians/workshop_of_the_world_01.shtml |title=The Workshop of the World |publisher=BBC History |date= |accessdate=28 April 2013}}</ref> จักรวรรดิบริติชขยายไปรวมอินเดีย ส่วนใหญ่ของทวีปแอฟริกา และดินแดนอื่นอีกลหายดินแดนทั่วโลก นอกจากใช้การควบคุมอย่างเป็นทางการเหนืออาณานิคมของตนแล้ว ภาวะครอบงำของบริเตนเหนือการค้าโลกปริมาณมากหมายความว่า จักรวรรดิควบคุมเศรษฐกิจของหลายภูมิภาคได้ชะงัด เช่น [[ทวีปเอเชีย]]และ[[ละตินอเมริกา]]<ref>{{Cite book| first=Andrew| last=Porter| title=The Nineteenth Century, The Oxford History of the British Empire Volume III |publisher=Oxford University Press |year=1998 |isbn=0-19-924678-5 |url=https://books.google.com/?id=oo3F2X8IDeEC |ref=refOHBEv3 |page=8}}</ref><ref>{{Cite book |first=P.J. |last=Marshall |title=The Cambridge Illustrated History of the British Empire |publisher=Cambridge University Press |year=1996 |isbn=0-521-00254-0 |url=https://books.google.com/?id=S2EXN8JTwAEC |ref=refMarshall |pages=156–57}}</ref> ในประเทศ ทัศนะทางการเมืองนิยมการค้าเสรีและนโยบาย[[ปล่อยให้ทำไป]]และการค่อย ๆ ขยายสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ระหว่างศตวรรษนั้น ประชากรเพิ่มจำนวนในอัตราน่าตกใจ ร่วมกับการทำให้เป็นเมืองอย่างรวดเร็วทำให้เกิดความเครียดทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างสำคัญ<ref>{{cite book |url=https://books.google.com/?id=H5kcJqmXk2oC&pg=PA63 |title=Great Britain: a reference guide from the Renaissance to the present |page=63 |first=Richard S. |last=Tompson |year=2003 |isbn=978-0-8160-4474-0 |location=New York |publisher=Facts on File }}</ref> ในการแสวงตลาดและแหล่งวัตถุดิบใหม่ พรรคอนุรักษนิยมภายใต้การนำของ[[เบนจามิน ดิสราเอลี]]เริ่มสมัยการขยายจักรวรรดินิยมในอียิปต์ แอฟริกาใต้และที่อื่น แคนาดา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์กลายเป็นประเทศในเครือจักรภพที่ปกครองตนเอง<ref>{{cite book |title=World War I: People, Politics, and Power |series=America at War |page=21 |publisher=Britannica Educational Publishing |author=Hosch, William L. |year=2009 |isbn=978-1-61530-048-8 |location=New York}}</ref>
 
เมื่อเริ่มคริสต์ศตวรรษที่ 20 เยอรมนีและสหรัฐท้าทายความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของบริเตน ความตึงเครียดทางทหารและเศรษฐกิจต่อมาระหว่างบริเตนและเยอรมนีเป็นสาเหตุหลักของ[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]] ซึ่งระหว่างสงคราม บริเตนพึ่งพาจักรวรรดิของตนอย่างหนัก ความขัดแย้งดังกล่าวทำให้เกิดความเครียดต่อทรัพยากรทหาร การเงินและกำลังคนอย่างมโหฬารแก่บริเตน แม้จักรวรรดิมีดินแดนไพศาลที่สุดทันทีหลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่บริเตนก็มิใช่มหาอำนาจทางทหารหรืออุตสาหกรรมอันดับหนึ่งของโลกอีกต่อไป ใน[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] [[จักรวรรดิญี่ปุ่น|ญี่ปุ่น]]ยึดครองอาณานิคมของบริเตนใน[[เอเชียตะวันออกเฉียงใต้]] แม้บริเตนและพันธมิตรชนะในบั้นปลายก็ตาม ความเสียหายต่อเกียรติภูมิของบริเตนช่วยเร่งความเสื่อมของจักรวรรดิ อินเดีย การครอบครองที่มีมูลค่าที่สุดและมีประชากรมากที่สุดของบริเตน ได้รับเอกราชโดยเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการปลดปล่อยอาณานิคมซึ่งบริเตนให้เอกราชแก่ดินแดนส่วนใหญ่ของจักรวรรดิ หลายคนนับว่าการคืน[[ฮ่องกง]]ให้[[ประเทศจีน|จีน]]ใน ค.ศ. 1997 เป็นการสิ้นสุดของจักรวรดิบริติช<ref name="Brendon-Empire-end"/><ref name="Prince-Charles-Empire-End"/><ref name="refohbev594"/><ref name="BBC-Empire-End"/> ดินแดน 14 แห่งยังอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของอังกฤษ หลังได้รับเอกราช อดีตอาณานิคมหลายแห่งเข้าร่วม[[เครือจักรภพแห่งชาติ]] เป็นสมาคมอิสระของรัฐเอกราช บัดนี้สหราชอาณาจักรเป็นหนึ่งใน 16 ชาติเครือจักรภพ โดยมีพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวกันคือ [[สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2]]
 
== จุดเริ่มต้น (1497–1583) ==
[[ไฟล์:Matthew-BristolHarbour-Aug2004.jpg|thumb|upright|รูปถอดแบบเรือ ''เดอะแมทธิว'' เรือของ[[จอห์น คาบ็อต]]ในการเดินเรือไป[[โลกใหม่]]เที่ยวที่สองของเขา]]
มีการวางรากฐานจักรวรรดิบริติชตั้งแต่[[ราชอาณาจักรอังกฤษ|อังกฤษ]]และ[[ราชอาณาจักรสกอตแลนด์|สกอตแลนด์]]ยังเป็นราชอาณาจักรแยกกัน ใน ค.ศ. 1496 หลัง[[จักรวรรดิโปรตุเกส|โปรตุเกส]]และ[[จักรวรรดิสเปน|สเปน]]ประสบความสำเร็จในการสำรวจโพ้นทะเล [[พระเจ้าเฮนรีที่ 7 แห่งอังกฤษ]]ทรงแต่งตั้งให้[[จอห์น คาบ็อต]]นำการเดินทางทางเรือเพื่อสำรวจหาเส้นทางไปทวีปเอเชียผ่านทาง[[มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ]]<ref name="ferguson3">[[#refFergusonEmpire2004|Ferguson 2004]], p.&nbsp;3.</ref> ต่อมาใน ค.ศ. 1497 ห้าปีหลังการค้นพบทวีปอเมริกา คาบ็อตแล่นเรือจากอังกฤษ และแม้เขาขึ้นฝั่ง[[เกาะนิวฟันด์แลนด์]]ได้สำเร็จ (ซึ่งเข้าใจผิดว่าเขาได้ถึงทวีปเอเชียแล้ว เช่นเดียวกับ[[คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส]]<ref>[[#refAndrews1985|Andrews 1985]], p.&nbsp;45.</ref>) แต่ไม่มีความพยายามตั้งอาณานิคม คาบ็อตนำการเดินทางด้วยเรือไปทวีปอเมริกาอีกครั้งในปีต่อมา แต่ไม่มีผู้ทราบข่าวจากเรือของเขาอีกเลย<ref>[[#refFergusonEmpire2004|Ferguson 2004]], p.&nbsp;4.</ref>
 
อังกฤษไม่พยายามก่อตั้งอาณานิคมอีกในทวีปอเมริกาเรื่อยมาจนรัชกาล[[พระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1]] ในช่วงทศวรรษสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ 16<ref>[[#refOHBEv1|Canny]], p.&nbsp;35.</ref> ขณะเดียวกัน[[การปฏิรูปอังกฤษ|การปฏิรูปโปรแตสแตนต์]]ทำให้อังกฤษกับสเปนที่นับถือนิกาย[[คาทอลิก]]เป็นศัตรูกัน<ref name="ferguson3"/> ใน ค.ศ. 1562 พระมหากษัตริย์อังกฤษทรงส่งเสริมให้นักเดินเรือส่วนตัว (prirateer) [[จอห์น ฮอว์กินส์]]และ[[ฟรานซิส เดรก]] โจมตีปล้นทาสตามเรือสเปนและโปรตุเกสซึ่งแล่นจากชายฝั่ง[[แอฟริกาตะวันตก]]<ref>[[#refThomas|Thomas]], pp.&nbsp;155–158</ref> มีเป้าหมายเพื่อทำลายระบบการค้าแอตแลนติก ความพยายามดังกล่าวถูกหยุดยั้ง และเมื่อ[[สงครามอังกฤษ-สเปน (ค.ศ. 1585)|สงครามอังกฤษ-สเปน]]ทวีความรุนแรงขึ้น พระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ทรงอนุญาตให้ขยายโจมตีแบบโจรสลัดไปถึงเมืองท่าของสเปนในทวีปอเมริกาและการเดินเรือที่แล่นข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกกลับมา ซึ่งเรือนี้เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติซึ่งขนกลับจาก[[โลกใหม่]]<ref>[[#refFergusonEmpire2004|Ferguson 2004]], p.&nbsp;7.</ref> ขณะเดียวกัน นักเขียนที่มีอิทธิพล อาทิ [[ริชาร์ด ฮัคลุยต์]] และ[[จอห์น ดี]] (เป็นคนแรกที่ใช้คำว่า "จักรวรรดิบริติช"<ref>[[#refOHBEv1|Canny]], p.&nbsp;62.</ref>) กำลังเริ่มผลักดันให้มีการก่อตั้งจักรวรรดิของอังกฤษเอง จนถึงเวลานี้ สเปนเป็นชาติที่ครอบงำในทวีปอเมริกาและกำลังสำรวจมหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนโปรตุเกสสร้างสถานีการค้าและค่ายทหารตั้งแต่ชายฝั่ง[[ทวีปแอฟริกา]]และ[[บราซิล]]จนถึงจีน และ[[ฝรั่งเศส]]เริ่มตั้งถิ่นฐานบริเวณ[[แม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์]] ที่ต่อมากลายเป็นอาณานิคมนิวฟรานซ์<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], pp.&nbsp;4–8.</ref>
 
=== การตั้งถิ่นฐานในไอร์แลนด์ ===
แม้อังกฤษล่าอาณานิคมล้าหลังเมื่อเทียบกับสเปนและโปรตุเกส ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 อังกฤษก็เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการตั้งถิ่นฐานในไอร์แลนด์ด้วยชาวโปรเตสแตนท์จากอังกฤษและสกอตแลนด์ คล้ายกับ[[การบุกครองไอร์แลนด์ของนอร์มัน|การบุกครองของชาวนอร์มัน]]ใน ค.ศ. 1169<ref>[[#refOHBEv1|Canny]], p.&nbsp;7.</ref><ref>[[#refKenny|Kenny]], p.&nbsp;5.</ref> หลายคนซึ่งช่วยตั้งถิ่นฐานในไอร์แลนด์ยังมีส่วนในการตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกาเหนือในช่วงเริ่มแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า "ชายเวสต์คันทรี" (West Country men)<ref>{{cite book| first =Taylor|last =Alan |title=American Colonies, The Settling of North America |publisher=Penguin|year=2001|pages=119}}</ref>
 
== "จักรวรรดิบริติชที่หนึ่ง" (1583–1783) ==
ใน ค.ศ. 1578 พระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 พระราชทานเอกสารสิทธิ์ (patent) แก่[[ฮัมฟรีย์ กิลเบิร์ต]] ในการค้นพบและการสำรวจโพ้นทะเล<ref name="#refHDBE|Olson, p. 466">[[#refHDBE|Olson]], p.&nbsp;466.</ref> ปีนั้น กิลเบิร์ตเดินเรือมุ่ง[[แคริบเบียน|หมู่เกาะอินเดียตะวันตก]] โดยเจตนาปล้นสะดมและตั้งอาณานิคมในทวีปอเมริกาเหนือ แต่การเดินทางดังกล่าวถูกยกเลิกก่อนข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก<ref>[[#refAndrews1985|Andrews]], p.&nbsp;188.</ref><ref>[[#refOHBEv1|Canny]], p.&nbsp;63.</ref> ค.ศ. 1583 กิลเบิร์ตออกเดินทางครั้งที่สอง โดยครั้งนี้ไป[[เกาะนิวฟันด์แลนด์]] ซึ่งเขาอ้างสิทธิท่าเรือให้อังกฤษอย่างเป็นทางการ แม้ยังไม่มีผู้ตั้งถิ่นฐาน กิลเบิร์ตเสียชีวิตขณะเดินทางกลับอังกฤษ และน้องชายต่างมารดา [[วอลเทอร์ ราเลห์]] สืบหน้าที่ต่อ เขาได้รับพระราชทานเอกสารสิทธิ์ของเขาเองจากพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ใน ค.ศ. 1584 ในปีเดียวกัน เขาก่อตั้ง[[อาณานิคมโรอาโนค]]บนชายฝั่ง[[รัฐนอร์ทแคโรไลนา]]ในปัจจุบัน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากขาดแคลนเสบียง<ref>[[#refOHBEv1|Canny]], pp.&nbsp;63–64.</ref>
 
ใน ค.ศ. 1603 [[สมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ|พระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์]]ทรงสืบราชบัลลังก์อังกฤษต่อมา และใน ค.ศ. 1604 ทรงเจรจา[[สนธิสัญญาลอนดอน (1604)|สนธิสัญญาลอนดอน]] ซึ่งยุติความบาดหมางกับสเปน หลังการสงบศึกกับคู่แข่งหลัก ความสนใจของอังกฤษเปลี่ยนจากการหาผลประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานทางอาณานิคมของชาติอื่นมาเป็นธุระการก่อตั้งอาณานิคมโพ้นทะเลของตนเอง<ref>[[#refOHBEv1|Canny]], p.&nbsp;70.</ref> จักรวรรดิบริติชเริ่มเป็นรูปร่างขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ด้วยนิคมของอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือและหมู่เกาะเล็ก ๆ แถบ[[แคริบเบียน]] ตลอดจนการจัดตั้งบริษัทเอกชน ซึ่งที่เลื่องชื่อที่สุดคือ [[บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ]] เพื่อบริหารอาณานิคมและการค้าโพ้นทะเล ในช่วงนี้จนถึงการเสีย[[สิบสามอาณานิคม]]หลัง[[สงครามประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา]]เมื่อสิ้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 นักประวัติศาสตร์บางคนต่อมาเรียก "จักรวรรดิบริติชที่หนึ่ง"<ref>[[#refOHBEv1|Canny]], p.&nbsp;34.</ref>
 
=== ทวีปอเมริกา แอฟริกา และการค้าทาส ===
ทีแรกแคริบเบียนเป็นอาณานิคมที่สำคัญและให้กำไรมากที่สุดของอังกฤษ<ref>[[#refJames2001|James]], p.&nbsp;17.</ref> แต่ก่อนหน้านั้นการยึดเป็นอาณานิคมล้มเหลวหลายครั้ง ความพยายามตั้งอาณานิคมใน[[กิอานาของอังกฤษ|กิอานา]]เมื่อ ค.ศ. 1604 อยู่ได้เพียงสองปี และไม่ประสบความสำเร็จวัตถุประสงค์หลักในการหาแหล่งแร่[[ทองคำ]]<ref>[[#refOHBEv1|Canny]], p.&nbsp;71.</ref> อาณานิคมใน[[เซนต์ลูเซีย]] (ค.ศ. 1605) และ[[เกรนาดา]] (ค.ศ. 1609) ถูกล้มเลิกอย่างรวดเร็ว แต่มีการตั้งนิคมสำเร็จใน[[เซนต์คิตส์]] (ค.ศ. 1624) [[บาร์เบโดส]] (ค.ศ. 1627) และ[[เนวิส]] (ค.ศ. 1628) <ref>[[#refOHBEv1|Canny]], p.&nbsp;221.</ref> ไม่ช้าอาณานิคมก็รับเอาระบบการปลูกน้ำตาลที่ชาวโปรตุเกสใช้อย่างได้ผลใน[[บราซิล]] ซึ่งต้องพึ่งพาแรงงาน[[ทาส]] และเรือสินค้าดัตช์ในตอนแรก เพื่อขายทาสและซื้อน้ำตาล<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], pp.&nbsp;22–23.</ref> เพื่อรับประกันให้กำไรงามที่เพิ่มขึ้นจากการค้านี้อยู่ในมืออังกฤษ รัฐสภาจึงออก[[พระราชกฤษฎีกาการเดินเรือ|พระราชกฤษฎีกา]]ใน ค.ศ. 1651 ว่าให้เรือสินค้าอังกฤษเท่านั้นที่สามารถค้าขายในอาณานิคมอังกฤษได้ เหตุนี้นำไปสู่ความเป็นปรปักษ์กับ[[สาธารณรัฐดัตช์|สหจังหวัดดัตช์]] คือ ชุด[[สงครามอังกฤษ-ดัตช์]] ซึ่งสุดท้ายทำให้ฐานะของอังกฤษในทวีปอเมริกาแข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ดัตช์อ่อนแอลง<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;32.</ref> ใน ค.ศ. 1655 อังกฤษผนวก[[จาเมกา]]จากสเปนและใน ค.ศ. 1656 ก็ยึด[[บาฮามาส]]เป็นอาณานิคมได้สำเร็จ<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], pp.&nbsp;33, 43.</ref>
 
[[ไฟล์:British Colonies in North America c1750 v2.jpg|thumb|left|250px|อาณานิคมของอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือ ราว ค.ศ. 1750; 1. [[นิวฟันด์แลนด์]] 2. [[โนวาสโกเทีย]] 3. [[สิบสามอาณานิคม]] 4. [[เบอร์มิวดา]] 5. [[บาฮามาส]] 6. [[เบลิซ]] 7. [[จาเมกา]] 8. [[แอนติลลิสน้อย]]]]
 
นิคมถาวรแห่งแรกของอังกฤษในทวีปอเมริกาก่อตั้งใน ค.ศ. 1607 ณ [[เจมส์ทาวน์]] นำโดยกัปตัน[[จอห์น สมิธ]] และมี[[บริษัทเวอร์จิเนีย]]จัดการ มีการตั้งถิ่นฐานบน[[เบอร์มิวดา]]และอังกฤษอ้างสิทธิ์หลังเรือธงของบริษัทเวอร์จิเนียล่มที่นั่นใน ค.ศ. 1609 และใน ค.ศ. 1615 ถูกมอบให้บริษัทหมู่เกาะซอเมอส์ (Somers Isles Company) ที่เพิ่งตั้ง<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], pp.&nbsp;15–20.</ref> กฎบัตรของบริษัทเวอร์จิเนียถูกเพิกถอนใน ค.ศ. 1624 และพระมหากษัตริย์เข้าควบคุมเวอร์จิเนียโดยตรง จึงตั้งเป็น[[อาณานิคมเวอร์จิเนีย]]<ref>[[#refHDBE|Olson]], p.&nbsp;600.</ref> ส่วน[[บริษัทลอนดอนและบริสตอล]]ตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1610 มุ่งก่อตั้งนิคมถาวรบนเกาะนิวฟันด์แลนด์ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จอย่างมาก<ref>[[#refAndrews1985|Andrews]], pp.&nbsp;20–22.</ref> ใน ค.ศ. 1620 มีการตั้ง[[อาณานิคมพลีมัธ]]เป็นที่พำนักแก่พวกแบ่งแยกศาสนา[[กลุ่มเพียวริตัน]] ซึ่งต่อมาเรียกว่า [[พิลกริม]] (Pilgrim)<ref name="Olson, p. 897">[[#refHDBE|Olson]], p.&nbsp;897.</ref> การหลบหนีจากการเบียดเบียนทางศาสนาจะเป็นแรงกระตุ้นให้เหล่าว่าที่ชาวอาณานิคมอังกฤษหลายคนเสี่ยงกับการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกอันยากเข็ญ กล่าวคือ [[จังหวัดแมรีแลนด์|อาณานิคมแมรีแลนด์]]ถูกตั้งเป็นที่พำนักแก่[[นิกายโรมันคาทอลิก]] (ค.ศ. 1634) อาณานิคมโรดไอส์แลนด์ (ค.ศ. 1636) เป็นอาณานิคมที่ยอมรับทุกศาสนา และอาณานิคมคอนเน็กติกัต (ค.ศ. 1639) สำหรับนิกายคอนเกรเกชันนอลลิสต์ [[มณฑลแคโรไลนา]]ตั้งใน ค.ศ. 1663 หลัง[[ฟอร์ทอัมสเตอร์ดัม]]ยอมจำนนใน ค.ศ. 1664 อังกฤษควบคุมอาณานิคม[[นิวเนเธอร์แลนด์]]ของดัตช์ และเปลี่ยนชื่อเป็นนิวยอร์ก การควบคุมดังกล่าวมีการทำให้เป็นทางการในการเจรจาให้หลัง[[สงครามอังกฤษ-ดัตช์|สงครามอังกฤษ-ดัตช์ครั้งที่สอง]] เพื่อแลกเปลี่ยนกับ[[ซูรินาม]]<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;40.</ref> และใน ค.ศ. 1681 [[วิลเลียม เพนน์]]ก่อตั้งอาณานิคมเพนซิลเวเนีย อาณานิคมบนทวีปอเมริกาประสบความสำเร็จทางการเงินน้อยกว่าในแคริบเบียน แต่อาณานิคมเหล่านี้มีพื้นที่เกษตรกรรมดีขนาดใหญ่ และดึงดูดผู้ย้ายถิ่นออกชาวอังกฤษซึ่งชื่นชอบภูมิอากาศอบอุ่นของอาณานิคมเหล่านี้<ref>[[#refFergusonEmpire2004|Ferguson 2004]], pp.&nbsp;72–73.</ref>
 
ใน ค.ศ. 1670 [[สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ|พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2]] พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้บริษัทอ่าวฮัดสัน โดยให้บริษัทผูกขาดการค้าขนสัตว์ในดินแดนซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า [[รูเพิตส์แลนด์]] ซึ่งต่อมากลายเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ของประเทศในเครือจักรภพแคนาดา บริษัทอ่าวฮัดสันตั้งค่ายทหารและสถานีการค้าซึ่งบ่อยครั้งตกเป็นเป้าการโจมตีของฝรั่งเศส ซึ่งตั้งอาณานิคมค้าขนสัตว์ของตนในนิวฟรานซ์ที่อยู่ใกล้เคียง<ref name="buckner25">[[British Empire#refBuckner2008|Buckner]], p.&nbsp;25.</ref>
 
อีกสองปีต่อมา มีการสถาปนา[[บริษัทรอยัลแอฟริกัน]]โดยได้รับพระราชทานสิทธิ์จากพระเจ้าชาร์ลส์ให้ผูกขาดการค้าเพื่อจัดหาทาสให้อาณานิคมบริติชในแคริบเบียน<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;37.</ref> จากแรกเริ่ม ทาสถือเป็นรากฐานของจักรวรรดิบริติชในอินเดียตะวันตก จนการยกเลิกการค้าทาสใน ค.ศ. 1807 บริเตนเป็นผู้ขนส่งทาสชาวแอฟริกันกว่า 3.5 ล้านคนไปทวีปอเมริกา คิดเป็นหนึ่งในสามของทาสทั้งหมดที่ถูกขนส่งข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก<ref>[[#refFergusonEmpire2004|Ferguson 2004]], p.&nbsp;62.</ref> เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การค้านี้ จึงมีการตั้งค่ายทหารตามชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก อย่างเช่น เกาะเจมส์, อักกรา และเกาะบันซ์ ในบริติชแคริบเบียน ร้อยละของประชากรผิวดำเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 25 ใน ค.ศ. 1650 เป็นราวร้อยละ 80 ใน ค.ศ. 1780 และในสิบสามอาณานิคม อัตราส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 40 ในช่วงเวลาเดียวกัน (ส่วนใหญ่ในอาณานิคมตอนใต้) <ref>[[#refOHBEv1|Canny]], p.&nbsp;228.</ref> สำหรับนักค้าทาส การค้าสร้างกำไรมหาศาล และกลายเป็นหลักสำคัญทางเศรษฐกิจใหญ่สำหรับนครบริเตนทางตะวันตก อย่างเช่น [[บริสตอล]]และ[[ลิเวอร์พูล]] ซึ่งเป็นมุมที่สามของ[[การค้าสามเหลี่ยม]]กับทวีปแอฟริกาและทวีปอเมริกา สำหรับผู้ที่ถูกขนส่ง สภาพรุนแรงและไม่มีสุขอนามัยบนเรือทาสและอาหารเลว ทำให้อัตราการเสียชีวิตระหว่างการเดินทางเฉลี่ยมีมากถึง 1 ใน 7<ref>[[#refOHBEv2|Marshall]], pp.&nbsp;440–64.</ref>
 
ใน ค.ศ. 1695 [[รัฐสภาสกอตแลนด์]]ให้กฎบัตรแก่[[บริษัทสกอตแลนด์]] ซึ่งตั้งนิคมใน ค.ศ. 1698 บน[[คอคอดปานามา]] อาณานิคมถูกแวดล้อมโดยชาวอาณานิคมสเปนเพื่อนบ้าน [[นิวกรานาดา]] และมีโรค[[มาลาเรีย]] อาณานิคมจึงถูกละทิ้งในอีกสองปีต่อมา [[แผนดาเรียน]]ถือเป็นหายนะทางการเงินสำหรับสกอตแลนด์ โดยทุนหนึ่งในสี่ของสกอตแลนด์เสียไปในวิสาหกิจดังกล่าว<ref>[[#refMagnusson2003|Magnusson]], p.&nbsp;531.</ref> และยุติความหวังของสกอตแลนด์ที่จะก่อตั้งจักรวรรดิอาณานิคมโพ้นทะเลของตัวอย่างสิ้นเชิง กรณีดังกล่าวยังมีผลกระทบทางการเมืองสำคัญ โดยชวนให้รัฐบาลของทั้งอังกฤษและสกอตแลนด์เห็นประโยชน์ของสหภาพของสองประเทศ มากกว่ามีพระมหากษัตริย์ร่วมกันเท่านั้น<ref>[[#refMacaulay1979|Macaulay]], p.&nbsp;509.</ref> การรวมประเทศเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1707 ด้วย[[พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1707|พระราชบัญญัติสหภาพ]] และสถาปนา[[ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่]]
 
=== การแข่งขันกับเนเธอร์แลนด์ในทวีปเอเชีย ===
[[ไฟล์:Fort St. George, Chennai.jpg|thumb|200px|[[ฟอร์ตเซนต์จอร์จ (อินเดีย)|ฟอร์ตเซนต์จอร์จ]] ก่อตั้งใน[[เจนไน|มัลทราส]] ค.ศ. 1639]]
ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 อังกฤษและเนเธอร์แลนด์เริ่มท้าทายการผูกขาดการค้ากับทวีปเอเชียของโปรตุเกส โดยก่อตั้งบริษัทร่วมหุ้นเอกชนเพื่อหาเงินสนับสนุนการออกเดินเรือ [[บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ]]และ[[บริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์]] ได้รับพระบรมราชานุญาตและกฎบัตรใน ค.ศ. 1600 และ 1602 ตามลำดับ เป้าหมายหลักของบริษัทดังกล่าว คือ การเจาะ[[การค้าเครื่องเทศ]]ซึ่งกำไรงาม เป็นความพยายามที่มุ่งไปสองภูมิภาคเป็นหลัก คือ [[กลุ่มเกาะมลายู|กลุ่มเกาะอินเดียตะวันออก]] และ[[อินเดีย]] ศูนย์กลางสำคัญในเครือข่ายการค้านี้ ที่นั่น ทั้งสองแข่งครองความเป็นใหญ่ทางการค้ากับโปรตุเกสและระหว่างกัน<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;13.</ref> แม้สุดท้ายอังกฤษจะบดบังเนเธอร์แลนด์ในฐานะมหาอำนาจอาณานิคม แต่ในระยะสั้นระบบการเงินที่ก้าวหน้ากว่าของเนเธอร์แลนด์<ref name="ferguson19">[[#refFergusonEmpire2004|Ferguson 2004]], p.&nbsp;19.</ref>และสงครามอังกฤษ–ดัตช์สามครั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ทำให้เนเธอร์แลนด์มีฐานะเข้มแข็งกว่าในทวีปเอเชีย ความเป็นปรปักษ์ยุติหลัง[[การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์]] ค.ศ. 1688 เมื่อ[[สมเด็จพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ|วิลเลียมแห่งออเรนจ์]] ชาวดัตช์ ขึ้นครองบัลลังก์อังกฤษ นำมาซี่งสันติภาพระหว่างเนเธอร์แลนด์และอังกฤษ ข้อตกลงระหว่างชาติทั้งสองให้การค้าเครื่องเทศในกลุ่มเกาะอินเดียตะวันออกเป็นของเนเธอร์แลนด์ และอุตสาหกรรมสิ่งทออินเดียเป็นของอังกฤษ แต่ในไม่ช้า สิ่งทอได้กำไรมากกว่าเรื่องเทศ และในแง่ยอดขายใน ค.ศ. 1720 บริษัทบริติชแซงหน้าบริษัทดัตช์<ref name="ferguson19"/>
 
=== ความขัดแย้งกับฝรั่งเศสในระดับโลก ===
[[ไฟล์:The Defeat of the French Fireships attacking the British Fleet at Anchor before Quebec.jpg|thumb|200px|ความปราชัยของเรือไฟฝรั่งเศสที่[[รัฐควิเบก|ควิเบก]] ค.ศ. 1759]]
[[ไฟล์:Clive.jpg|thumb|ชัยชนะของ[[โรเบิร์ต คลิฟ บารอนที่ 1 แห่งคลิฟ|โรเบิร์ต คลิฟ]]ใน[[ยุทธการที่ปลาศี]]ทำให้บริษัทกลายเป็นอำนาจทางทหารและด้านพาณิชย์]]
สันติภาพระหว่างอังกฤษกับเนเธอร์แลนด์ใน ค.ศ. 1688 หมายความว่าทั้งสองประเทศเข้าสู่[[สงครามเก้าปี]]โดยเป็นพันธมิตรกัน แต่ความขัดแย้งซึ่งปะทุในทวีปยุโรปและดินแดนโพ้นทะเลระหว่างฝรั่งเศส สเปน และพันธมิตรอังกฤษ-ดัตช์ ทำให้อังกฤษเป็นเจ้าอาณานิคมที่แข็งแกร่งกว่าดัตช์ ซึ่งถูกบีบให้ทุ่มงบประมาณทางทหารในสงครามทางบกราคาแพงในทวีปยุโรป<ref>[[#refOHBEv1|Canny]], p.&nbsp;441.</ref> ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษก้าวเป็นอำนาจอาณานิคมของโลกอย่างเด็ดขาด และฝรั่งเศสกำลังจะกลายเป็นคู่แข่งสำคัญในเวทีจักรวรรดิ<ref>[[#refPagden2003|Pagden]], p.&nbsp;90.</ref>
 
การสวรรคตของ[[พระเจ้าการ์โลสที่ 2 แห่งสเปน]] ใน ค.ศ. 1700 และพินัยกรรมยกสเปนและจักรวรรดิอาณานิคมสเปนให้[[พระเจ้าเฟลีเปที่ 5 แห่งสเปน|เฟลีเปแห่งอันจู]] หลานชายพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศส เร่งให้เกิดความหวังในการรวมฝรั่งเศศ สเปน และอาณานิคมของทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่รับไม่ได้สำหรับอังกฤษและอำนาจอื่นในทวีปยุโรป<ref>[[#refHDBE|Olson]], p.&nbsp;1045.</ref> ใน ค.ศ. 1701 อังกฤษ โปรตุเกส และเนเธอร์แลนด์เข้าพวกกับ[[จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์]]ต่อต้านสเปนและฝรั่งเศสใน[[สงครามสืบราชบัลลังก์สเปน]]ซึ่งกินเวลาถึง ค.ศ. 1714
 
สงครามยุติลงด้วย[[สนธิสัญญาอูเทร็คท์]] เฟลีเปทรงบอกเลิกสิทธิของพระองค์และผู้สืบสันดานเหนือราชบัลลังก์ฝรั่งเศสและสเปนเสียจักรวรรดิในทวีปยุโรป<ref>[[#refHDBE|Olson]], p.&nbsp;1122.</ref> ดินแดนของจักรวรรดิบริติชขยาย บริเตนได้นิวฟันด์แลนด์และ[[อคาเดีย]]จากฝรั่งเศส และ[[ยิบรอลตาร์]]และ[[ไมนอร์กา]]จากสเปน ยิบรอลตาร์กลายมาเป็นฐานทัพเรือสำคัญยิ่ง และให้บริเตนควบคุมจุดเข้าและออก[[ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน]]สู่แอตแลนติก สเปนยังมอบสิทธิ์[[อาเซย์นโต]] (การอนุญาตให้ขายทาสใน[[อเมริกาเหนือของสเปน]]) กำไรงามแก่บริเตน<ref>[[#refHDBE|Olson]], pp.&nbsp;1121–22.</ref>
 
ระหว่างกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีความขัดแย้งทางทหารอุบัติหลายครั้งใน[[อนุทวีปอินเดีย]] [[Carnatic Wars|สงครามคาร์แนติก]] บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (บริษัท) และ[[บริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศส]]ต่อสู้ร่วมกันผู้ปกครองท้องถิ่นเพื่อเติมสุญญากาศที่เกิดหลัง[[จักรวรรดิโมกุล]]เสื่อมอำนาจ ยุทธการที่ปลาศีใน ค.ศ. 1757 ซึ่งฝ่ายบริเตน นำโดย รอเบิร์ต คลีฟ พิชิตนาวาบแห่งเบงกอลและพันธมิตรชาวฝรั่งเศส ทำให้บริษัทควบคุมเบงกอลและเป็นประเทศซทางทหารและการเมืองสำคัญในอินเดีย<ref>[[#refrefSmith1998|Smith]], p. 17.</ref> ฝรั่งเศสเหลือการควบคุมดินแดนแทรกแต่ด้วยการจำกัดทางทหารและพันธะให้สนับสนุนรัฐบริวารของบริเตน ยุติความหวังของฝรั่งเศสในการควบคุมอินเดีย<ref>[[#refSekhara2004|Bandyopādhyāẏa]], pp.&nbsp;49–52</ref> ในหลายทศวรรษให้หลังบริษัทค่อย ๆ เพิ่มขนาดของดินแดนที่อยู่ในการควบคุม ไม่ว่าปกครองโดยตรงหรือผ่านทางผู้ปกครองท้องถิ่นภายใต้การขู่ใช้กำลังจากกองทัพบริติชอินเดีย ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วย[[ซีปอย]]อินเดีย<ref>[[#refrefSmith1998|Smith]], pp. 18–19.</ref>
 
การสู้รบระหว่างบริเตนและฝรั่งเศสในอินเดียกลายเป็นยุทธบริเวณหนึ่งของ[[สงครามเจ็ดปี]] (1756–1763) ที่แผ่ไปทั่วโลก สงครามนี้เกี่ยวข้องกับฝรั่งเศส บริเตนและมหาอำนาจยุโรปอื่น การลงนาม[[สนธิสัญญาปารีส (1763)|สนธิสัญญาปารีส]]มีผลกระทบสำคัญต่ออนาคตของจักรวรรดิบริติช ในทวีปอเมริกาเหนือ อนาคตของฝรั่งเศสในการเป็นเจ้าอาณานิคมจบลงอย่างสิ้นเชิงด้วยการรับรองการอ้างสิทธิ์ของบริเตนเหนือ[[ดินแดนรูเพิร์ต]]<ref name="buckner25"/> และการยก[[นิวฟรานซ์]]ให้บริเตน (ทำให้[[รัฐควิเบก|ประชากรพูดภาษาฝรั่งเศส]]จำนวนมากอยู่ในการปกครองของอังกฤษ) และ[[ลุยส์เซียนา (นิวฟรานซ์)|ลุยส์เซียนา]]ให้สเปน สเปนยกฟลอริดาให้บริเตน ร่วมกับชัยชนะเหนือฝรั่งเศสในอินเดีย สงครามเจ็ดปีทำให้บริเตนเป็นมหาอำนาจทางทะเลที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก<ref name="refpagden1">[[#refPagden2003|Pagden]], p.&nbsp;91.</ref>
 
=== การเสียสิบสามอาณานิคม ===
{{บทความหลัก|การปฏิวัติอเมริกา}}
 
ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1760 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1770 ความสัมพันธ์ระหว่าง[[สิบสามอาณานิคม]]และอังกฤษตึงเครียดมากขึ้น หลัก ๆ เนื่องจากความไม่พอใจต่อความพยายามของรัฐสภาบริติชในการปกครองและเก็บภาษีผู้อยู่ในนิคมอเมริกันโดยปราศจากความยินยอมของพวกเขา<ref>[[#refFergusonEmpire2004|Ferguson 2004]], p.&nbsp;73.</ref> ในเวลานั้น มีการสรุปเป็นคำขวัญว่า "[[ไม่จ่ายภาษีหากไม่มีผู้แทน]]" โดยมองว่าเป็นการฝ่าฝืน[[สิทธิชาวอังกฤษ]]ที่ได้รับประกัน [[การปฏิวัติอเมริกา]]เริ่มต้นจากการปฏิเสธอำนาจของรัฐสภาและการเคลื่อนไหวสู่การปกครองตนเอง บริเตนสนองโดยส่งทหารมาบังคับการปกครองโดยตรง ทำให้สงครามอุบัติใน ค.ศ. 1775 ในปีต่อมา สหรัฐ[[คำประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา|ประกาศอิสรภาพ]] การเข้าสู่สงครามของฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1778 ทำให้ดุลทหารเข้าข้างฝ่ายอเมริกาและหลังความปราชัยเด็ดขาดที่ยอร์กทาวน์ใน ค.ศ. 1781 บริเตนเริ่มเจรจาเงื่อนไขสันติภาพ เอกราชของอเมริกาได้รับการรับรองในสนธิสัญญาสันติภาพปารีสใน ค.ศ. 1783<ref>[[#refMarshall|Marshall]], pp.&nbsp;312–23.</ref>
 
[[ไฟล์:Yorktown80.JPG|thumb|left|''การยอมจำนนของคอร์นวัลลิสที่ยอร์กทาวน์'' การสูญเสียอาณานิคมอเมริกันเป็นเครื่องหมายการสิ้นสุดของ "จักรวรรดิบริติชที่หนึ่ง"]]
นักประวัติศาสตร์มองว่าการเสียดินแดนกว้างใหญ่ของ[[บริติชอเมริกา]] ซึ่งเป็นอาณานิคมโพ้นทะเลซึ่งมีประชากรมากที่สุดของบริเตนในเวลานั้น เป็นเหตุการณ์ซึ่งนิยามการเปลี่ยนผ่านระหว่างจักรวรรดิ "ที่หนึ่ง" และ "ที่สอง"<ref>[[#refOHBEv1|Canny]], p.&nbsp;92.</ref> ซึ่งบริเตนหันความสนใจจากทวีปอเมริกาไปทวีปเอเชีย [[มหาสมุทรแปซิฟิก]] และทวีปแอฟริกาในภายหลัง ''[[ความมั่งคั่งของประชาชาติ]]'' ของ[[อดัม สมิธ]] ซึ่งตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1776 โต้แย้งว่าอาณานิคมนั้นมีมากเกินไป และควรนำระบบ[[การค้าเสรี]]มาแทนนโยบาย[[ลัทธิพาณิชยนิยม|พาณิชยนิยม]]แบบเก่า อันเป็นลักษณะของการขยายอาณานิคมในช่วงแรกซึ่งย้อนไปถึง[[ลัทธิคุ้มครอง]]ของสเปนและโปรตุเกส<ref name="refpagden1"/><ref>[[#refHDBE|Olson]], p.&nbsp;1026.</ref> การเติบโตของการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาซึ่งเพิ่งได้รับเอกราชกับบริเตนหลัง ค.ศ. 1783 ดูเหมือนยืนยันมุมมองของสมิธที่ว่าการควบคุมทางการเมืองไม่จำเป็นต่อความสำเร็จในทางเศรษฐกิจ<ref>[[#refJames2001|James]], p.&nbsp;119.</ref><ref>[[#refOHBEv2|Marshall]], p.&nbsp;585.</ref>
 
เหตุการณ์ในอเมริกามีอิทธิพลต่อนโยบายของบริเตนในแคนาดา ที่ซึ่งพวก[[ลอยัลลิสต์ (สงครามประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา)|ลอยัลลิสต์]]ที่แพ้สงครามจำนวนระหว่าง 40,000 ถึง 100,000 คน<ref>[[#refHDBE|Olson]], p.&nbsp;685.</ref> อพยพจากอเมริกาหลังอิสรภาพ ลอยัลลิสต์ 14,000 คนผู้ซึ่งไป[[แม่น้ำเซนต์จอห์น (นิวฟรานซ์)|แม่น้ำเซนต์จอห์น]]ซึ่งขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของ[[โนวาสโกเทีย]]รู้สึกว่าอยู่ห่างไกลจากรัฐบาลจังหวัดใน[[ฮาลิแฟกซ์]] ฉะนั้นรัฐบาลบริติชจึงแบ่ง[[รัฐนิวบรันสวิก|นิวบรันสวิก]]เป็นอาณานิคมต่างหากใน ค.ศ. 1784<ref>[[#refHDBE|Olson]], p.&nbsp;796.</ref> [[พระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1791]] ตั้งมณฑล[[อัปเปอร์แคนาดา]] (ประชากรส่วนใหญ่พูด[[ภาษาอังกฤษ]]) และ[[โลว์เออร์แคนาดา]] (ประชากรส่วนใหญ่พูด[[ภาษาฝรั่งเศส]]) เพื่อลดความตึงเครียดระหว่างชุมชนชาวอังกฤษและชาวฝรั่งเศส และนำรูปแบบการปกครองซึ่งคล้ายกับรูปแบบซึ่งใช้ในอังกฤษมาใช้ โดยเจตนาแสดงอำนาจของจักรวรรดิและไม่อนุญาตการควบคุมการปกครองของปวงชนอย่างที่ถูกมองว่านำไปสู่การปฏิวัติอเมริกา<ref>[[#refSmith1998|Smith]], p.&nbsp;28.</ref>
 
ความตึงเครียดระหว่าบริเตนและสหรัฐเพิ่มขึ้นอีกครั้งระหว่าง[[สงครามนโปเลียน]] บริเตนพยายามตัดการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับฝรั่งเศส และส่งคนขึ้นเรืออเมริกันเพื่อเกณฑ์ลูกเรือเข้าราชนาวี สหรัฐอเมริกาประกาศสงคราม [[สงคราม ค.ศ. 1812]] และบุกครองดินแดนแคนาดาขณะบริเตนบุกครองดินแดนอเมริกา แต่ดินแดนก่อนสงครามได้รับการยืนยันอีกใน[[สนธิสัญญาเก้นท์]] ค.ศ. 1814 รับประกันว่าอนาคตของแคนาดาจะแยกจากสหรัฐ<ref>[[#refLatimer|Latimer]], pp.&nbsp;8, 30–34, 389–92.</ref><ref>[[#refOHBEv2|Marshall]], pp.&nbsp;388.</ref>
{{clear}}
 
== ความรุ่งเรืองของ "จักรวรรดิบริติชที่สอง" (1783–1815) ==
 
=== การสำรวจแปซิฟิก ===
[[ไฟล์:Captainjamescookportrait.jpg|thumb|การเดินเรือแห่งการค้นพบโดย[[เจมส์ คุก]] ในมหาสมุทรแปซิฟิกนำไปสู่การก่อตั้งอาณานิคมสหราชอาณาจักรหลายแห่ง รวมไปถึงออสเรเลียและนิวซีแลนด์]]
นับแต่ ค.ศ. 1718 การขนส่งไปอาณานิคมอเมริกาเป็นการลงโทษสำหรับอาชญากรรมหลายอย่างในบริเตน โดยนักโทษประมาณ 1,000 คนถูกขนส่งข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกต่อปี<ref>[[#refSmith1998|Smith]], p.&nbsp;20.</ref> หลังการเสียสิบสามอาณานิคมใน ค.ศ. 1783 รัฐบาลบริติชถูกบีบให้หาที่ใหม่ และหันไปดินแดนออสเตรเลียซึ่งเพิ่งค้นพบ<ref>[[#refrefSmith1998|Smith]], pp. 20–21.</ref> ชาวยุโรปเคยสำรวจชายฝั่งตะวันตกของออสเตรเลียแล้ว โดยนักสำรวจชาวดัตช์ [[วิลเล็ม เจนซ์]] ใน ค.ศ. 1606 และภายหลัง[[บริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์]]เปลี่ยนชื่อเป็น[[นิวฮอลแลนด์ (ออสเตรเลีย)|นิวฮอลแลนด์]]<ref name="autogenerated1">[[#refMulligan2001|Mulligan & Hill]], pp.&nbsp;20–23.</ref> แต่ไม่มีความพยายามยึดเป็นอาณานิคม ใน ค.ศ. 1770 [[เจมส์ คุก]]ค้นพบชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลียระหว่างการเดินเรือเที่ยววิทยาศาสตร์ไป[[มหาสมุทรแปซิฟิก|มหาสมุทรแปซิฟิกใต้]] เขาอ้างสิทธิ์ทวีปเป็นของบริเตน และตั้งชื่อว่า[[รัฐนิวเซาท์เวลส์|นิวเซาท์เวลส์]]<ref>[[#refPeters2006|Peters]], pp.&nbsp;5–23.</ref> ใน ค.ศ. 1778 [[โจเซฟ แบงส์]] [[พฤกษศาสตร์|นักพฤกษศาสตร์]]ซึ่งเดินทางไปกับคุก นำเสนอหลักฐานต่อรัฐบาลถึงความเหมาะสมของ[[อ่าวโบตานี]]ในการตั้ง[[ทัณฑนิคม]] และใน ค.ศ. 1787 เรือขนนักโทษเที่ยวแรกก็ออกเดินทาง โดยมาถึงใน ค.ศ. 1788<ref>[[#refJames2001|James]], p.&nbsp;142.</ref> บริเตนดยังส่งนักโทษมายังนิวเซาท์เวลส์เรื่อยมาจน ค.ศ. 1840<ref>''[[#refBrittain|Britain and the Dominions]]'', p.&nbsp;159.</ref> อาณานิคมออสเตรเลียกลายเป็นผู้ส่งออกขนสัตว์และทองคำซึ่งมีรายได้มหาศาล<ref>[[#refFieldhouse1999|Fieldhouse]], pp. 145–149</ref> หลัก ๆ เพราะการตื่นทองในอาณานิคมวิกตอเรียทำให้เมืองหลวง[[เมลเบิร์น]]เป็นเมืองที่รวยที่สุดในโลก<ref name="RobertCervero320">{{cite book|last=Cervero|first=Robert B.|title=The Transit Metropolis: A Global Inquiry|publisher=Island Press|year=1998|location=Chicago|page=320|isbn=1-55963-591-6}}</ref> และนครใหญ่สุดในจักรวรรดิบริติชรองจากกรุงลอนดอน<ref>Statesmen's Year Book 1889</ref>
 
ระหว่างการเดินทางของเขา คุกยังเดินทางไปนิวซีแลนด์ ซึ่งนักสำรวจชาวดัตช์ [[แอเบล แทสมัน]] ค้นพบครั้งแรกใน ค.ศ. 1642 และอ้างสิทธิ์ทั้ง[[เกาะเหนือ]]และ[[เกาะใต้]]ให้เป็นของ[[พระมหากษัตริย์บริติช]]ใน ค.ศ. 1769 และ ค.ศ. 1770 ตามลำดับ เดิมทีปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชากรชนพื้นเมือง[[มาวรี]]และชาวยุโรปจำกัดอยู่เพียงการค้าสินค้าเท่านั้น นิคมชาวยุโรปได้ขยายตัวในทศวรรษแรก ๆ ของคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยมีการตั้งสถานีการค้าจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกาะเหนือ ใน ค.ศ. 1839 [[บริษัทนิวซีแลนด์]]ประกาศแผนซื้อที่ดินขนาดใหญ่และสถาปนาอาณานิคมในนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1840 กัปตัน[[วิลเลียม ฮอบสัน]]และหัวหน้าชนเผ่ามาวรีอีกราว 40 คนลงนาม[[สนธิสัญญาไวทังกิ]]<ref>[[#refHDBE|Olson]], p.&nbsp;1137.</ref> คนส่วนใหญ่ถือว่าสนธิสัญญาดังกล่าวเป็นเอกสารก่อตั้งนิวซีแลนด์<ref>{{cite web|url=http://www.nzhistory.net.nz/politics/treaty/waitangi-day|title=Waitangi Day|publisher=History Group, New Zealand Ministry for Culture and Heritage|accessdate=13 December 2008}}</ref> แต่การตีความที่แตกต่างกันของข้อความฉบับภาษามาวรีและภาษาอังกฤษ<ref>[[#refOHBEv3|Porter]], p.&nbsp;579.</ref> หมายความว่ามันจะยังเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งต่อไป<ref>[[#refMeinSmith|Mein Smith]], p.&nbsp;49.</ref>
 
=== สงครามกับฝรั่งเศสสมัยนโปเลียน ===
{{บทความหลัก|สงครามนโปเลียน}}
บริเตนถูกท้าทายอีกหนหนึ่งโดยฝรั่งเศสสมัย[[จักรพรรดินโปเลียนที่ 1|นโปเลียน]] ในการต่อสู้ที่ไม่เหมือนกับสงครามครั้งที่ผ่านมา โดยมีลักษณะการประชันอุดมการณ์ระหว่างสองชาติ<ref>[[#refJames2001|James]], p.&nbsp;152.</ref> ไม่เพียงฐานะของบริเตนในเวทีโลกเท่านั้นที่ถูกคุกคาม นโปเลียนยังคุกคามจะบุกครองเกาะบริเตนเลยทีเดียว เมื่อกองทัพของเขายึดครองหลายประเทศใน[[ยุโรปภาคพื้นทวีป]]เวลานั้น
 
ฉะนั้นสงครามนโปเลียนจึงเป็นสงครามที่บริเตนลงทุนและทุ่มทรัพยากรมหาศาลเพื่อเอาชนะ เมืองท่าของฝรั่งเศสถูก[[ราชนาวี]]ปิดล้อม ซึ่งชนะกองทัพเรือฝรั่งเศส-สเปนที่[[ยุทธนาวีทรากัลฟาร์|ทรากัลฟาร์]]อย่างเด็ดขาดใน ค.ศ. 1805 อาณานิคมโพ้นทะเลถูกโจมตีและถูกยึดครอง รวมถึงอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งนโปเลียนผนวกใน ค.ศ. 1810 สุดท้ายฝรั่งเศสปราชัยต่อกองทัพผสมยุโรปใน ค.ศ. 1815<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], pp.&nbsp;115–118.</ref> บริเตนได้รับผลประโยชน์จากสนธิสัญญาสันติภาพหลายฉบับอีกครั้ง คือ ฝรั่งเศสยก[[สหรัฐหมู่เกาะไอโอเนียน|หมู่เกาะไอโอเนียน]] [[มอลตา]] (ซึ่งถูกยึดครองใน ค.ศ. 1797 และ 1798 ตามลำดับ) [[เซเชลส์]] [[ประเทศมอริเชียส|มอริเชียส]] [[เซนต์ลูเซีย]] และ[[โตบาโก]] สเปนยก[[ตรินิแดด]] เนเธอร์แลนด์[[บริติชเกียนา|เกียนา]]และ[[อาณานิคมเคป]] บริเตนคืน[[กัวเดอลุป]] [[มาร์ตีนิก]] [[โกรี]] [[เฟรนช์เกียนา]] และ[[เรอูว์นียง]]ให้ฝรั่งเศส รวมทั้งคืน[[เกาะชวา]]และ[[ซูรินาม]]ให้แก่เนเธอร์แลนด์ ขณะที่ได้ควบคุมซีลอน (ค.ศ. 1795–1815)<ref name="refjames165">[[#refJames2001|James]], p.&nbsp;165.</ref>
 
=== การเลิกทาส ===
ด้วยการสนับสนุนจากขบวนการ[[ผู้รณรงค์ให้เลิกทาส]]ชาวบริติช รัฐสภาตรา[[พระราชบัญญัติการค้าทาส ค.ศ. 1807|พระราชบัญญัติการค้าทาส]]ใน ค.ศ. 1807 ซึ่งเลิกการค้าทาสในจักรวรรดิ ใน ค.ศ. 1808 [[เซียร์ราลีโอน]]ได้รับประกาศให้เป็นอาณานิคมบริติชอย่างเป็นทางการสำหรับทาสผู้เป็นไท<ref>[[#refOHBEv3|Porter]], p.&nbsp;14.</ref> [[พระราชบัญญัติเลิกทาส ค.ศ. 1833|พระราชบัญญัติเลิกทาส]]ผ่านใน ค.ศ. 1833 เลิกทาสในจักรวรรดิบริติชในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1834 (โดยยกเว้นเซนต์เฮเลนา ซีลอนและดินแดนที่บริษัทอินเดียตะวันออกบริหาร แม้ข้อยกเว้นเหล่านี้ถูกยกเลิกภายหลังเช่นกัน) ภายใต้พระราชบัญญัติดังกล่าว ทาสได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระสมบูรณ์หลัง "การเป็นลูกมือฝึกหัด" ระยะ 4 ถึง 6 ปี<ref>[[#refOHBEv3|Porter]], p.&nbsp;204.</ref>
 
== ศตวรรษแห่งจักรวรรดิของบริเตน (1815–1914) ==
[[ไฟล์:British Empire 1897.jpg|thumb|จักรวรรดิบริติชในปี ค.ศ. 1897 อาณานิคมของจักรวรรดิบริติชแสดงด้วยสีแดง]]
ระหว่าง ค.ศ. 1815 และ ค.ศ. 1914 เป็นช่วงที่นักประวัติศาสตร์บางส่วนเรียกว่า "ศตวรรษแห่งจักรวรรดิ" ของบริเตน<ref>[[#refHyam2002|Hyam]], p.&nbsp;1.</ref><ref>[[#refSmith1998|Smith]], p.&nbsp;71.</ref> โดยพื้นที่ราว 26,000,000 ตารางกิโลเมตร และประชากรราว 400 ล้านคนเพิ่มเข้าจักรวรรดิบริติช<ref>[[#refParsons|Parsons]], p.&nbsp;3.</ref> ชัยชนะเหนือนโปเลียนทำให้บริเตนไม่มีคู่แข่งในระดับนานาชาติที่สำคัญ นอกจากรัสเซียในเอเชียกลาง<ref name="#refOHBEv3|Porter, p. 401">[[#refOHBEv3|Porter]], p.&nbsp;401.</ref> บริเตนไร้ผู้คัดค้านในทะเล และรับดำเนินบทบาทของตำรวจโลก เป็นสภาพซึ่งต่อมาเรียกว่า [[สันติภาพบริเตน]]<ref name="ReferenceB"/> และนโยบายต่างประเทศ "[[การโดดเดี่ยวอย่างสง่างาม]]"<ref>[[#refHDBE|Olson]], p.&nbsp;285.</ref> พร้อม ๆ กับความพยายามใช้การควบคุมอย่างเป็นทางหารเหนืออาณานิคมของตน ฐานะของบริเตนซึ่งครอบงำการค้าโลกอยู่นั้น หมายความว่า บริเตนสามารถควบคุมเศรษฐกิจของหลายประเทศได้ชะงัด อาทิ จีน [[อาร์เจนตินา]] และ[[ประเทศไทย|สยาม]] ซึ่งเป็นลักษณะที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า "[[จักรวรรดิไม่เป็นทางการ]]"<ref>[[#refOHBEv3|Porter]], p.&nbsp;8.</ref><ref>[[#refMarshall|Marshall]], pp.&nbsp;156–57.</ref>
 
ความแข็งแกร่งของจักรวรรดิบริติชได้รับการส่งเสริมจาก[[เรือไอน้ำ]]และ[[โทรเลข]] เทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งถูกคิดค้นขึ้นในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทำให้จักรวรรดิบริติชสามารถควบคุมและป้องกันจักรวรรดิได้ ใน ค.ศ. 1902 จักรวรรดิบริติชเชื่อมโยงเข้าด้วยกันโดยสายโทรเลข ซึ่งเรียกว่า "[[ออลเรดไลน์]]"<ref>[[#refDalziel2006|Dalziel]], pp.&nbsp;88–91.</ref>
 
=== บริษัทอินเดียตะวันออกในอินเดีย ===
{{บทความหลัก|บริติชราช}}
[[ไฟล์:Victoria Disraeli cartoon.jpg|left|thumb|upright|การ์ตูนการเมืองในปี ค.ศ. 1876 ของ[[เบนจามิน ดิสราเอลี]] เป็นภาพ[[สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร|พระราชินีวิกตอเรีย]] ทรงได้รับพระอิสริยยศ[[สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งอินเดีย|จักรพรรดินีแห่งอินเดีย]] คำอธิบายใต้ภาพเขีนยว่า "มงกุฎใหม่สำหรับกษัตริย์องค์เก่า!"]]
 
บริษัทอินเดียตะวันออกขับเคลื่อนการขยายของจักรวรรดิบริติชในทวีปเอเชีย กองทัพของบริษัทเข้าร่วมกับราชนาวีระหว่างสงครามเจ็ดปีก่อน และทั้งสองกองทัพยังร่วมมือในสมรภูมิอื่นนอกเหนือจากอินเดีย ได้แก่ การขับไล่นโปเลียนออกจาก[[อียิปต์]] (ค.ศ. 1799) การยึด[[เกาะชวา]]จากเนเธอร์แลนด์ (ค.ศ. 1811) การเข้าควบคุม[[สิงคโปร์]] (ค.ศ. 1819) และ[[มะละกา]] (ค.ศ. 1824) และ[[สงครามพม่า-อังกฤษ ครั้งที่ 1|การพิชิตพม่า]] (ค.ศ. 1826)<ref name="#refOHBEv3|Porter, p. 401"/>
 
จากฐานของบริษัทในอินเดีย บริษัทยังค้าส่งออก[[ฝิ่น]]อันสร้างรายได้เพิ่มขึ้นไปจีนนับแต่คริสต์ทศวรรษ 1930 การค้าดังกล่าว ซึ่ง[[ราชวงศ์ชิง]]ประกาศให้มิชอบด้วยกฎหมายใน ค.ศ. 1729 ช่วยพลิกการขาดดุลการค้าอันเป็นผลมาจากการนำเข้า[[ชา]]ของบริเตน โดยมีการไหลออกจาก[[เงิน (โลหะ)|เงิน]]จากบริเตนไปจีนเป็นอันมาก<ref>[[#refMartin2007|Martin]], pp.&nbsp;146–148.</ref> ใน ค.ศ. 1839 การริบฝิ่นกว่า 20,000 ลังที่[[กวางตุ้ง]]โดยทางการจีน ทำให้บริเตนโจมตีจีนใน[[สงครามฝิ่นครั้งที่หนึ่ง]] และนำไปสู่การยึดเกาะฮ่องกงของบริเตน ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นนิคมขนาดเล็ก<ref>[[#refHDBE|Olson]], p.&nbsp;293.</ref>
 
ระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 พระมหากษัตริย์บริติชเริ่มเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นในกิจการของบริษัท มีการผ่านพระราชบัญญัติหลายฉบับซึ่งรวมพระราชบัญญัติวางระเบียบ ค.ศ. 1773 พระราชบัญญัติอินเดียของพิตต์ ค.ศ. 1784 และพระราชบัญญัติพระบรมราชานุญาต ค.ศ. 1813 ซึ่งวางระเบียบกิจการของบริษัทและสถาปนาอำนาจอธิปไตยของพระมหากษัตริย์เหนือดินแดนที่บริษัทได้<ref>[[#refKeay|Keay]], p.&nbsp;393</ref> การกบฏอินเดียนำมาซึ่งการสิ้นสุดของบริษัทในท้ายสุด การกบฏอินเดียเป็นความขัดแย้งซึ่งเริ่มจากการก่อการกำเริบของ[[ซีปอย]] ทหารอินเดียซึ่งอยู่ภายใต้นายทหารและระเบียบวินัยของบริเตน<ref>[[#refParsons|Parsons]], pp.&nbsp;44–46.</ref> การกบฏใช้เวลาปราบปรามหกเดือนโดยทั้งสองฝ่ายเสียเลือดเนื้ออย่างหนัก ปีต่อมา รัฐบาลบริติชยุบบริษัทและเข้าควบคุมอินเดียโดยตรงผ่าน[[พระราชบัญญัติรัฐบาลอินเดีย ค.ศ. 1858]] สถาปนา[[บริติชราช]] ซึ่งข้าหลวงใหญ่ที่ได้รับแต่งตั้งปกครองอินเดียและพระราชินีนาถวิกตอเรียราชาภิเษกเป็น[[จักรพรรดินีอินเดีย]]<ref>[[#refrefSmith1998|Smith]], pp. 50–57.</ref> อินเดียกลายเป็นการครอบครองทรงคุณค่าที่สุดของจักรวรรดิ "เพชรพลอยในมงกุฎ" และเป็นบ่อเกิดความแข็งแกร่งของบริเตนที่สำคัญที่สุด<ref name=Brown5>[[#refOHBEv4|Brown]], p.&nbsp;5.</ref>
 
เหตุพืชผลล่มจมร้ายแรงในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 นำสู่[[ทุพภิกขภัยในอินเดีย|ทุพภิกขภัยกว้างขวาง]]ในอนุทวีปอินเดียซึ่งมีการประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 15 ล้านคน บริษัทอินเดียตะวันออกไม่สามารถนำนโยบายประสานงานไปปฏิบัติเพื่อรับมือกับทุพภิกขภัยได้เลยระหว่างสมัยการปกครอง ต่อมา ภายใต้การปกครองของบริเตนโดยตรง มีการตั้งคณะกรรมการหลังทุพภิกขภัยแต่ละครั้งเพื่อสืบสวนสาเหตุและนำนโยบายใหม่ไปปฏิบัติ ซึ่งใช้เวลาจนต้นคริสต์ทศวรรษ 1900 จึงมีผล<ref>[[#refMarshall|Marshall]], pp.&nbsp;133–34.</ref>
 
=== การแข่งขันกับรัสเซีย ===
 
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 บริเตนและ[[จักรวรรดิรัสเซีย|รัสเซีย]]แข่งกันเพื่อเติมเต็มสุญญากาศแห่งอำนาจหลังจากการเสื่อมถอยของ[[จักรวรรดิออตโตมัน]] [[ราชวงศ์กอญัร]] และ[[ราชวงศ์ชิง]] ความขัดแย้งในยูเรเชียนี้ได้ชื่อว่า "[[เกมใหญ่]]"<ref name="refhdbe478">[[#refHDBE|Olson]], p.&nbsp;478.</ref> เท่าที่บริเตนเกรง ความปราชัยของเปอร์เซียและตุรกีต่อรัสเซียแสดงความทะเยอทะยานและขีดความสามารถของจักรวรรดิ และสร้างความกลัวในบริเตนว่าจะมีการบุกครองอินเดียทางบก<ref>[[#refJames2001|James]], p.&nbsp;181.</ref> ใน ค.ศ. 1839 บริเตนชิงตัดหน้าโดยการบุกครองอัฟกานิสถาน แต่[[สงครามอังกฤษ-อัฟกานิสถานครั้งที่หนึ่ง]]เป็นหายนะสำหรับบริเตน<ref name="refjames182">[[#refJames2001|James]], p.&nbsp;182.</ref>
 
เมื่อรัสเซียบุกครอง[[บอลข่าน]]ของตุรกีใน ค.ศ. 1853 ความกลัวภาวะครอบงำของรัสเซียใน[[ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน]]และตะวันออกกลาง ทำให้บริเตนและฝรั่งเศสร่วมกันบุกครอง[[คาบสมุทรไครเมีย]]เพื่อทำลายขีดความสามารถของกองทัพเรือรัสเซีย<ref name="refjames182"/> [[สงครามไครเมีย]] (ค.ศ. 1854–1856) ที่เกิดให้หลังซึ่งเกี่ยวข้องกับ[[การสงครามสมัยใหม่]]<ref>[[#refRoyle2000|Royle]], preface.</ref> และเป็น[[สงครามโลก|สงครามระดับโลก]]ครั้งเดียวระหว่างบริเตนและ[[จักรวรรดินิยม|เจ้าจักรวรรดิ]]อื่นระหว่างสันติภาพบริเตน ยุติลงด้วยความปราชัยครั้งใหญ่ของรัสเซีย<ref name="refjames182"/> สถานการณ์ในเอเชียกลางนี้ยังไม่ยุติไปอีกสองทศวรรษ โดยบริเตนผนวก[[บาลูจิสถาน]]ใน ค.ศ. 1876 และรัสเซียผนวก[[คีร์กีซสถาน|คีร์กีซเทีย]] [[คาซัคสถาน]] และ[[เติร์กเมนิสถาน]] ชั่วขณะหนึ่งดูเหมือนว่าจะเลี่ยงสงครามอีกหนหนึ่งไม่ได้นั้น แต่สองประเทศบรรลุความตกลงเรื่องเขตอิทธิพลของสองประเทศในภูมิภาคใน ค.ศ. 1878 และประเด็นที่ค้างอยู่ทั้งหมดใน ค.ศ. 1907 โดยการลงนาม[[ความตกลงอังกฤษ-รัสเซีย]]<ref>{{cite journal|last=Williams|first=Beryl J.|title=The Strategic Background to the Anglo-Russian Entente of August 1907|journal=The Historical Journal|year=1966|volume=9|pages=360–373 |jstor=2637986|doi=10.1017/S0018246X00026698|issue=3}}</ref> การทำลายกองทัพเรือรัสเซียโดยญี่ปุ่นที่[[ยุทธนาวีที่พอร์ตอาเธอร์]]ระหว่าง[[สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น]]ใน ค.ศ. 1904-1905 ยังจำกัดภัยคุกคามของกองทัพเรือรัสเซียต่อบริเตน<ref name="hodge47">[[#refhodge47|Hodge]], p.&nbsp;47.</ref>
 
=== จากแหลมถึงไคโร ===
[[ไฟล์:Punch Rhodes Colossus.png|thumb|''[[เดอะโรดส์โคลอสซัส]]''—[[เซซิล โรดส์]]กางแขน "จากแหลมถึงไคโร"]]
[[บริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์]]ตั้ง[[อาณานิคมเคป]] ณ ปลายใต้สุดของทวีปแอฟริกาใน ค.ศ. 1652 เป็นสถานีทางผ่านสำหรับเรือดัตช์ในการเดินทางไปและกลับจากอาณานิคมใน[[อินเดียตะวันออก]] บริเตนได้อาณานิคมดังกล่าวอย่างเป็นทางการรวมทั้งประชากร[[แอฟริกันเนอร์]] (หรือ[[ชาวบัวร์]]) ขนาดใหญ่ใน ค.ศ. 1806 หลังจากยึดครองมาตั้งแต่ ค.ศ. 1795 เพื่อป้องกันมิให้อาณานิคมแห่งนี้ตกอยู่ในมือฝรั่งเศส หลังจากการบุกครองเนเธอร์แลนด์ของฝรั่งเศส<ref>[[#refSmith1998|Smith]], p.&nbsp;85.</ref> การเข้าเมืองของชาวบริติชเริ่มเพิ่มขึ้นหลังจาก ค.ศ. 1820 และผลักดันชาวบัวร์นับพันซึ่งไม่พอใจกับการปกครองของอังกฤษขึ้นไปทางเหนือเพื่อก่อตั้งสาธารณรัฐอิสระปกครองตนเองในช่วง[[Great Trek|เกรตเทร็ก]] ปลายคริสต์ทศวรรษ 1830 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1840<ref>[[#refSmith1998|Smith]], pp.&nbsp;85–86.</ref> ระหว่างนั้น [[วูเทรกเกอส์]]ปะทะกับชาวบริติชบ่อยครั้ง ซึ่งมีแรงจูงใจของตนเกี่ยวกับการขยายอาณานิคมในแอฟริกาใต้และต่อองค์กรการเมืองแอฟริกาหลายแห่ง รวมถึงชาติ[[โซโท]]และ[[ซูลู]] สุดท้ายชาวโบร์สถาปนาสาธารณรัฐสองแห่งที่มีอายุยืนยาวกว่าแห่งอื่น ๆ ได้แก่ [[สาธารณรัฐแอฟริกาใต้]]หรือสาธารณรัฐทรานส์วัลล์ (ค.ศ. 1852–1877; 1881–1902) และ[[เสรีรัฐออเรนจ์]] (ค.ศ. 1854–1902)<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], pp.&nbsp;168, 186, 243.</ref> ใน ค.ศ. 1902 บริเตนยึดครองทั้งสองสาธารณรัฐ โดยบรรลุสนธิสัญญากับสอง[[สาธารณรัฐบัวร์]]ให้หลัง[[สงครามบัวร์ครั้งที่สอง]] (ค.ศ. 1899–1902)<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;255.</ref>
 
ใน ค.ศ. 1869 [[คลองสุเอซ]]เปิดภายใต้[[จักรพรรดินโปเลียนที่ 3|นโปเลียนที่ 3]] ซึ่งเชื่อมระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับมหาสมุทรอินเดีย เดิมบริเตนต่อต้านคลองสุเอซ<ref>[[#refHDBE|Olson]], p.&nbsp;1070.</ref> แต่เมื่อเปิดแล้ว คุณค่าทางยุทธศาสตร์ของคลองได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วและกลายเป็น "หลอดเลือดดำคอของจักรวรรดิ"<ref>[[#refRoger1986|Roger 1986]], p.&nbsp;718.</ref> ใน ค.ศ. 1875 รัฐบาลพรรคอนุรักษนิยมนายกรัฐมนตรี[[เบนจามิน ดิสราเอลี]]ซื้อหุ้นคลองสุเอซร้อยละ 44 เป็นจำนวนเงิน 4 ล้านปอนด์ (340 ล้านปอนด์ใน ค.ศ. 2013) จากผู้ปกครองอียิปต์ อิสมาอิล ปาชาซึ่งเป็นหนี้ แม้ว่าจำนวนหุ้นดังกล่าวไม่ได้ทำให้บริเตนได้ควบคุมเส้นทางน้ำยุทธศาสตร์นี้โดยสมบูรณ์ แต่ก็ทำให้บริเตนมีความได้เปรียบ การควบคุมทางการเงินร่วมกันของบริเตนและฝรั่งเศสเหนืออียิปต์ยุติลงเมื่อบริเตนยึดครองโดยสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1882<ref>[[#refFergusonEmpire2004|Ferguson 2004]], pp.&nbsp;230–33.</ref> ฝรั่งเศสยังเป็นผู้ถือหุ้นเสียงข้างมากของคลองสุเอซและพยายามทำให้ฐานะของบริเตนอ่อนแอลง<ref>[[#refJames2001|James]], p.&nbsp;274.</ref> แต่มีการบรรลุการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทใน[[อนุสัญญาคอนสแตนติโนเปิล]] ค.ศ. 1888 ทำให้คลองสุเอซเป็นดินแดนเป็นกลางอย่างเป็นทางการ<ref>{{cite web|title=Treaties|url=http://www.mfa.gov.eg/MFA_Portal/en-GB/Foreign_Policy/Treaties/Convention+Respecting+the+Free+Navigation+of+the+Suez+Maritime+Canal.htm|publisher=Egypt Ministry of Foreign Affairs|accessdate=20 October 2010|archiveurl=https://web.archive.org/web/20100915095412/http://www.mfa.gov.eg/MFA_Portal/en-GB/Foreign_Policy/Treaties/CONVENTION+RESPECTING+THE+FREE+NAVIGATION+OF+THE+SUEZ+MARITIME+CANAL.htm <!-- Added by H3llBot -->|archivedate=15 September 2010}}</ref>
 
เนื่องจากกิจกรรมของฝรั่งเศส [[จักรวรรดิอาณานิคมเบลเยียม|เบลเยียม]]และ[[จักรวรรดิอาณานิคมโปรตุเกส|โปรตุเกส]]ในภูมิภาค[[แม่น้ำคองโก]]ตอนล่างบ่อนทำลายการแทรกซึมแอฟริกาเขตร้อนอย่างเป็นระบบ [[การประชุมเบอร์ลิน]] ค.ศ. 1884-1885 จัดขึ้นเพื่อวางระเบียบการแข่งขันระหว่างอำนาจยุโรปในสิ่งที่เรียกว่า "[[ยุคล่าอาณานิคมในแอฟริกา]]" (Scramble for Africa) โดยนิยาม "การยึดครองอย่างมีประสิทธิภาพ" เป็นเกณฑ์การรับรองของนานาชาติต่อการอ้างสิทธิ์ดินแดน<ref>[[#refHerbst2000|Herbst]], pp.&nbsp;71–72.</ref> ยุคล่าอาณานิคมดังกล่าวดำเนินไปจนคริสต์ทศวรรษ 1890 และทำให้บริเตนพิจารณาการตัดสินใจของตนใหม่ที่จะถอนตัวออกจาก[[ซูดาน]]ใน ค.ศ. 1885 กำลังร่วมบริเตนและอียิปต์สามารถพิชิต[[สงครามมะซิซต์|กองทัพมะซิซต์]]ใน ค.ศ. 1896 และขัดขวางความพยายาม[[วิกฤตการณ์ฟาโชดา|บุกครองฟาโชดา]]ของฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1898 ซูดานกลายเป็น[[ซูดานของอังกฤษ-อียิปต์|ดินแดนใต้การปกครองร่วมอังกฤษ-อียิปต์]]ในนาม แต่ที่จริงเป็นอาณานิคมบริติช<ref>[[#Vandervort1998|Vandervort]], pp.&nbsp;169–183.</ref>
 
ดินแดนที่บริติชได้ในแอฟริกาใต้และ[[แอฟริกาตะวันออก]]ทำให้[[ซีซิล โรดส์]] ผู้บุกเบิกการขยายตัวของบริติชในแอฟริกา กระตุ้นให้สร้างทางรถไฟ "[[ทางรถไฟแหลมถึงไคโร|แหลมถึงไคโร]]" เชื่อม[[คลองสุเอซ]]อันมีความสำคัญยิ่งทางยุทธศาสตร์กับแอฟริกาใต้ซึ่งอุดมไปด้วยแร่<ref>[[#refHDBE|Olson]], p.&nbsp;248.</ref> ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1880 และ 1890 โรดส์และ[[บริษัทแอฟริกาใต้ของอังกฤษ]]ซึ่งเขาเป็นเจ้าของ ยึดครองและผนวกดินแดนซึ่งต่อมาได้ชื่อตามเขาว่า [[โรดีเซีย]]<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;215.</ref>
 
=== การเปลี่ยนสถานภาพของอาณานิคมผิวขาว ===
 
เส้นทางสู่อิสรภาพของอาณานิคมผิวขาวของจักรวรรดิบริติชเริ่มต้นขึ้นด้วย[[รายงานดูร์ฮัม]] ค.ศ. 1839 ซึ่งเสนอการสร้างเอกภาพและการปกครองตนเองสำหรับทั้งอัปเปอร์และโลวเออร์แคนาดา ซึ่งจะเป็นแนวทางแก้ไขความไม่สงบทางการเมืองในพื้นที่ได้<ref>[[#refSmith1998|Smith]], pp.&nbsp;28–29.</ref> เหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มขึ้นจากการผ่าน[[พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1840|พระราชบัญญัติสหภาพในปี ค.ศ. 1840]] ซึ่งได้ก่อตั้ง[[จังหวัดแคนาดา]] ได้มีให้สิทธิ์[[รัฐบาลแห่งความรับผิดชอบ]]แก่โนวาสโกเทียเป็นแห่งแรกในปี ค.ศ. 1848 และได้ขยายไปยังอาณานิคมอเมริกาเหนือของอังกฤษที่เหลืออย่างรวดเร็ว ในปี ค.ศ. 1867 อัปเปอร์และโลวเออร์แคนาดา นิวบรันสวิก และโนวาสโกเทียได้รวมเข้าด้วยกันเป็น[[อาณาจักรแคนาดา]] สมาพันธรัฐแห่งนี้มีสิทธิในการปกครองตนเอง ยกเว้นเพียง[[ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ]]เท่านั้น<ref>[[#refOHBEv3|Porter]], p.&nbsp;187</ref> ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ได้รับระดับการปกครองตนเองระดับเดียวกันหลังจาก ค.ศ. 1900 โดยอาณานิคมออสเตรเลียได้รวมเข้าด้วยกันเป็น[[สมาพันธรัฐออสเตรเลีย|สมาพันธรัฐ]]ใน ค.ศ. 1901<ref>[[#refrefSmith1998|Smith]], p. 30.</ref> คำว่า "สถานภาพดินแดนในปกครอง" มีที่มาอย่างเป็นทางการจาก[[การประชุมจักรวรรดิ|การประชุมอาณานิคม ค.ศ. 1907]] โดยหมายถึงแคนาดา นิวฟันด์แลนด์ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ใน ค.ศ. 1910 อาณานิคมเคป นาทัล ทรานสวัล และเสรีรัฐออเรนจ์ได้ถูกรวมเข้าด้วยกันเพื่อจัดตั้ง[[สหภาพแอฟริกาใต้]] ซึ่งได้รับสถานภาพดินแดนในปกครองเช่นเดียวกัน<ref name="rhodes5"/>
 
ทศวรรษสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีการรณรงค์ทางการเมืองอย่างพร้อมเพรียงกันของการปกครองตนเองไอริช ไอร์แลนด์ถูกรวมกับสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์โดย[[พระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1800]] หลังจาก[[การกบฏไอริช ค.ศ. 1798]] และประสบ[[ความอดอยากครั้งใหญ่ในไอร์แลนด์|ทุพภิกขภัยรุนแรงระหว่าง ค.ศ. 1845 ถึง 1852]] การปกครองตนเองได้รับการสนับสนุนจาก[[นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร]] [[วิลเลียม แกลดสโตน]] ผู้ซึ่งหวังว่าไอร์แลนด์จะตามรอยของแคนาดาในการเป็นประเทศในเครือจักรภพภายในจักรวรรดิ แต่ร่างกฎหมายปกครองตนเอง ค.ศ. 1886 ของเขาไม่ผ่านรัฐสภา แม้ว่าหากร่างกฎหมาสยนี้ผ่านจะให้อัตตาณัติน้อยลงในสหราชอาณาจักรกว่าที่มณฑลของแคนาดามีในสหพันธรัฐของตน<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;213</ref> สมาชิกรัฐสภาหลายคนเกรงว่าไอร์แลนด์ที่มีอำนาจอธิปไตยบางส่วนอาจเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของบริเตนใหญ่หรือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายจักรวรรดิ<ref name="James, p. 315">[[#refJames|James]], p.&nbsp;315.</ref> [[พระราชบัญญัติรัฐบาลไอร์แลนด์ ค.ศ. 1893|กฎหมายปกครองตนเองฉบับที่สอง]]ก็พ่ายแพ้ด้วยเหตุผลที่คล้ายกัน<ref name="James, p. 315"/> [[พระราชบัญญัติปกครองตนเอง ค.ศ. 1914|กฎหมายปกครองตนเองฉบับที่สาม]]ได้ผ่านโดยรัฐสภาในปี ค.ศ. 1914 แต่มิได้นำออกมาบังคับใช้เนื่องจากการปะทุของ[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]] ซึ่งนำไปสู่[[การก่อการกำเริบอีสเตอร์]]ใน ค.ศ. 1916<ref>[[#refrefSmith1998|Smith]], p. 92.</ref>
 
== สงครามโลก (1914–1945) ==
 
เมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ความกลัวเริ่มแพร่ขยายขึ้นในหมู่ชาวอังกฤษว่าอังกฤษอาจะไม่สามารถป้องกันเมืองแม่และจักรวรรดิทั้งหมดในขณะเดียวกับการดำเนินนโยบาย "[[การโดดเดี่ยวอย่างสง่างาม]]"<ref>[[#refOBrien|O'Brien]], p.&nbsp;1.</ref> เยอรมนีได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็วในฐานะอำนาจทางการทหารและอุตสาหกรรม และถูกมองว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นคู่แข่งของอังกฤษในสงครามอนาคต เนื่องจากทราบดีว่าตนถูกบีบให้ทำเกินความสามารถในแปซิฟิก<ref>[[#refOHBEv4|Brown]], p.&nbsp;667.</ref> และถูกคุกคามที่แผ่นดินแม่โดยกองทัพเรือเยอรมัน อังกฤษจึงได้ก่อตั้ง[[พันธมิตรอังกฤษ-ญี่ปุ่น|พันธมิตรกับญี่ปุ่น]]ใน ค.ศ. 1902 และศัตรูเก่า ได้แก่ [[ความตกลงฉันท์มิตรระหว่างอังกฤษ-ฝรั่งเศส|ฝรั่งเศส]]และ[[ภาคีอังกฤษ-รัสเซีย|รัสเซีย]] ในปี ค.ศ. 1904 และ ค.ศ. 1907 ตามลำดับ<ref>[[#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;275.</ref>
 
=== สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ===
[[ไฟล์:Austro-Hungarian_fleet_on_maneuvers.jpg|200px|left|thumb|[[แกรนด์ฟลีต]]มุ่งหน้าไปยัง[[ยุทธนาวีจัตแลนด์|จัตแลนด์]] ค.ศ. 1916]]
 
มีการตระหนักถึงความกลัวสงครามกับเยอรมนีของบริเตนใน ค.ศ. 1914 ด้วยการอุบัติของ[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]] บริเตนบุกครองและยึดครองอาณานิคมโพ้นทะเลในทวีปแอฟริกาส่วนใหญ่ของเยอรมนี ในมหาสมุทรแปซิฟิก ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ยึดครองเยอรมันนิวกินีและซามัวตามลำดับ มีการร่างแผนสำหรับการแบ่งจักรวรรดิออตโตมันหลังสงครามซึ่งเข้าฝ่ายกับเยอรมนีอย่างลับ ๆ โดยบริเตนและฝรั่งเศสหลังความตกลงไซคส์–ปิโก ค.ศ. 1916 ความตกลงนี้มิได้เปิดเผยแก่ชาริฟเมกกะที่บริเตนส่งเสริมให้เปิดฉากการก่อการกำเริบต่อผู้ปกครองออตโตมันของตน ทำให้มีภาพลักษณ์ว่าบริเตนกำลังสนับสนุนการสถาปนารัฐอาหรับอิสระ<ref name="Brown494-495">[[#refOHBEv4|Brown]], pp.&nbsp;494–495.</ref>
 
การประกาศสงครามต่อเยอรมนีและพันธมิตรยังผูกมัดอาณานิคมและประเทศในเครือจักรภพด้วย ซึ่งให้การสนับสนุนทางทหาร การเงิน และวัตถุดิบอย่างหาค่ามิได้ มีทหารกว่า 2.5 ล้านนายรับราชการในกองทัพประเทศในเครือจักรภพทั้งหมด เช่นเดียวกับอาสาสมัครหลายพันคนจาก[[คราวน์โคโลนี]]<ref>[[#refMarshall|Marshall]], pp.&nbsp;78–79.</ref> การมีส่วนร่วมของกำลังออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ระหว่าง[[การทัพกัลลิโปลี]] ค.ศ. 1915 ต่อ[[จักรวรรดิออตโตมัน]]ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อสำนึกแห่งชาติที่ประเทศแม่ และเป็นจุดต้นกำเนิดของการเปลี่ยนผ่านของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์จากอาณานิคมเป็นชาติซึ่งมีสิทธิ์ของตน ทั้งสองประเทศยังจัดพิธีรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวใน[[วันแอนแซก]] ชาวแคนาดามองว่า[[ยุทธการที่เนินไวมี]]ในทำนองเดียวกัน<ref>[[#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;277.</ref> การมีส่วนร่วมอย่างสำคัญของประเทศในเครือจักรภพในความพยายามสงครามได้รับการรับรองใน ค.ศ. 1917 โดยนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร [[เดวิด ลอยด์ จอร์จ]] เมื่อเขาเชิญนายกรัฐมนตรีของประเทศในเครือจักภพเข้าร่วม[[คณะรัฐมนตรีสงครามจักรวรรดิ]]เพื่อประสานงานนโยบายจักรวรรดิ<ref>[[#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;278.</ref>
 
ภายใต้เงื่อนไขของ[[สนธิสัญญาแวร์ซาย (1919)|สนธิสัญญาแวร์ซาย]] ซึ่งลงนามใน ค.ศ. 1919 จักรวรรดิบริติชขยายตัวกว้างใหญ่ไพศาลที่สุด เมื่อได้ดินแดนเพิ่มเข้ามาอีก 4,700,000 ตารางกิโลเมตร และประชากรเพิ่มขึ้นอีก 13 ล้านคน<ref>[[#refFergusonEmpire2004|Ferguson 2004]], p.&nbsp;315.</ref> [[จักรวรรดิอาณานิคมเยอรมัน|อาณานิคมของเยอรมนี]]และ[[จักรวรรดิออตโตมัน]]ถูกแจกจ่ายให้กับอำนาจฝ่ายสัมพันธมิตรเป็น[[อาณัติสันนิบาติชาติ]] บริเตนได้ควบคุมปาเลสไตน์ ทรานสจอร์แดน อิรัก บางส่วนของ[[แคเมอรูน]]และ[[โตโก]] และ[[แทนกานยิกา]] ประเทศในเครือจักรภพเองก็ได้อาณัติของตนเองเช่นกัน คือ สหภาพแอฟริกาใต้ได้แอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้ (ปัจจุบัน คือ [[นามิเบีย]]) ออสเตรเลียได้[[เยอรมันนิวกินี]] นิวซีแลนด์ได้[[ซามัว|เวสเทิร์นซามัว]] [[นาอูรู]]ก็เป็นอาณัติร่วมของบริเตนและสองประเทศในเครือจักรภพแปซิฟิก<ref>[[#refHDBEv1|Olson]], p.&nbsp;658.</ref>
 
=== สมัยระหว่างสงคราม ===
[[ไฟล์:British Empire 1921.png|thumb|400px|right|จักรวรรดิบริติชเมื่อมีดินแดนมากที่สุดใน ค.ศ. 1921]]
ระเบียบโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงที่นำพามาโดยสงคราม โดยเฉพาะการเติบโตของสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นในฐานะมหาอำนาจทางทะเล และความเจริญของขบวนการเรียกร้องเอกราชในอินเดียและไอร์แลนด์ ทำให้มีการประเมินนโยบายจักรวรรดิบริติชใหม่ครั้งสำคัญ<ref>[[#refGoldstein|Goldstein]], p.&nbsp;4.</ref> อังกฤษถูกบีบให้เลือกระหว่างปรับแนวกับสหรัฐอเมริกาหรือญี่ปุ่น อังกฤษเลือกไม่ต่ออายุพันธมิตรกับญี่ปุ่นและลงนามใน[[สนธิสัญญานาวิกวอชิงตัน]] ค.ศ. 1922 แทน ซึ่งอังกฤษยอมรับความเสมอกันทางนาวิกกับสหรัฐอเริกา<ref name="reflouis302">[[#refLouis2006|Louis]], p.&nbsp;302.</ref> การตัดสินใจนี้เป็นที่มาของการโต้เถียงอย่างมากในอังกฤษระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1930<ref>[[#refLouis2006|Louis]], p.&nbsp;294.</ref> เพราะรัฐบาลนิยมทหารถือการช่วยเหลือญี่ปุ่นและเยอรมนีบางส่วนโดย[[ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่]] เพราะเกรงว่าจักรวรรดิไม่สามารถอยู่รอดจากการโจมตีพร้อมกันของทั้งสองประเทศได้<ref>[[#refLouis2006|Louis]], p.&nbsp;303.</ref> แม้ประเด็นความมั่นคงของจักรวรรดิเป็นความกังวลใหญ่หลวงในอังกฤษ แต่ขณะเดียวกันจักรวรรดิก็สำคัญต่อเศรษฐกิจอังกฤษเช่นกัน<ref>[[#refLee1996|Lee 1996]], p.&nbsp;305.</ref>
ใน ค.ศ. 1919 ความขัดข้องอันเกิดจากความล่าช้าต่อสมาชิกพรรคซินน์เฟน พรรคนิยมเอกราชที่ได้รับเสียงข้างมากในที่นั่งไอร์แลนด์ในเวสต์มินสเตอร์ในการเลือกตั้งทั่วไปในอังกฤษ ค.ศ. 1918 ผู้นำขบวนการปกครองตนเองของไอร์แลนด์ (Irish home rule) ในการจัดตั้งสมัชชาไอร์แลนด์ใน[[ดับลิน]] ที่ซึ่งมีการประกาศเอกราชของไอร์แลนด์ พร้อมกันนั้น กองทัพสาธารณรัฐไอร์แลนด์เริ่มสงครามกองโจรต่อรัฐบาลอังกฤษ<ref>[[#refOHBEv4|Brown]], p.&nbsp;143.</ref> สงครามอังกฤษ-ไอร์แลนด์สิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1921 ด้วยการคุมเชิงกันอยู่ และการลงนามสนธิสัญญาอังกฤษ-ไอร์แลนด์ สถาปนา[[รัฐอิสระไอร์แลนด์]] ประเทศในเครือจักรภพในจักรวรรดิอังกฤษ โดยเอกราชภายในมีผลแต่ยังเชื่อมโยงกับพระมหากษัตริย์อังกฤษในทางรัฐธรรมนูญ<ref>[[#refrefSmith1998|Smith]], p. 95.</ref> [[ไอร์แลนด์เหนือ]] ซึ่งประกอบด้วย เทศมณฑล 6 จาก 32 แห่งของไอร์แลนด์ ซึ่งได้ถูกสถาปนาเป็นภูมิภาคที่ได้รับถ่ายโอนอำนาจ (devolved region) ภายใต้พระราชบัญญัติรัฐบาลไอร์แลนด์ ค.ศ. 1920 ซึ่งใช้ทางเลือกของตนภายใต้สนธิสัญญาทันทีเพื่อคงสถานภาพที่มีอยู่ในสหราชอาณาจักร<ref>[[#refMagee|Magee]], p.&nbsp;108.</ref>
 
การต่อสู้คล้ายกันเริ่มในประเทศอินเดียเมื่อพระราชบัญญัติรัฐบาลอินเดีย ค.ศ. 1919 ไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องเอกราช<ref>[[#refFergusonEmpire2004|Ferguson 2004]], p.&nbsp;330.</ref> ความกังวลต่อแผนคอมมิวนิสต์และต่างชาติให้หลังกบฏกาดาร์ (Ghadar Mutiny) รับรองว่าโครงสร้างยามสงครามถูกรื้อฟื้นโดยพระราชบัญญัติโรว์ลัตต์ (Rowlatt Acts) ซึ่งนำไปสู่ความตึงเครียด<ref name="refjames416">[[#refJames2001|James]], p.&nbsp;416.</ref> โดยเฉพาะใน[[ภูมิภาคปัญจาบ]] ซึ่งมาตรการกดขี่ลงเอยด้วยการสังหารหมู่อมฤตสาร์ (Amritsar Massacre) ในบริเตน ความเห็นสาธารณะแตกออกในเรื่องศีลธรรมของเหตุการณ์ดังกล่าว ระหว่างผู้ที่มองว่าเป็นการช่วยอินเดียให้พ้นจากอนาธิปไตย และผู้ที่มองอย่างแขยง<ref name="refjames416"/> มีการเลื่อนขบวนการไม่ร่วมมือต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1922 หลังเหตุการณ์เชารีเชารา (Chauri Chaura incident) และความไม่พอใจคุกรุ่นอยู่อีก 25 ปีจากนี้ไป<ref>{{cite journal|last=Low|first=D.A.|title=The Government of India and the First Non-Cooperation Movement-—1920–1922|journal=The Journal of Asian Studies|date=February 1966|volume=25|issue=2|pages=241–259|doi=10.2307/2051326}}</ref>
 
ใน ค.ศ. 1922 อียิปต์ ซึ่งถูกประกาศเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษเมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอุบัติ ได้รับเอกราชอย่างเป็นทางการ แม้ยังเป็น[[รัฐบริวาร]]ของอังกฤษต่อไปจน ค.ศ. 1954 ทหารอังกฤษยังประจำอยู่ในประเทศอียิปต์กระทั่งการลงนามสนธิสัญญาอังกฤษ-อียิปต์ใน ค.ศ. 1936<ref>[[#refrefSmith1998|Smith]], p. 104.</ref> ซึ่งในสนธิสัญญา ทั้งสองตกลงว่า จะถอนทหารแต่ยังยึดครองและป้องกันเขตคลองสุเอซ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน อียิปต์ได้รับสนับสนุนให้เข้าร่วม[[สันนิบาตชาติ]]<ref>[[#refOHBEv4|Brown]], p.&nbsp;292.</ref> ประเทศอิรัก อาณัติของอังกฤษตั้งแต่ ค.ศ. 1920 ยังได้สมาชิกภาพสันนิบาตชาติในสิทธิของตนหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษใน ค.ศ. 1932<ref>[[#refrefSmith1998|Smith]], p. 101.</ref> ในปาเลสไตน์ อังกฤษประสบปัญหาการไกล่เกลี่ยระหว่างชุมชนอาหรับและยิว ในปฏิญญาแบลฟะ (Balfour Declaration) ค.ศ. 1917 ซึ่งถูกรวมอยู่ในเงื่อนไขอาณัติด้วย แถลงว่า จะสถาปนาบ้านชนชาติสำหรับชาวยิวในปาเลสไตน์ และอนุญาตการเข้าเมืองของชาวยิวถึงขีดจำกัดซึ่งจะตัดสินโดยอำนาจอาณัติ<ref>[[#refLouis2006|Louis]], p.&nbsp;271.</ref> ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งเพิ่มขึ้นกับประชากรอาหรับ ซึ่งก่อการกำเริบอย่างเปิดเผยใน ค.ศ. 1936 เมื่อภัยคุกคามสงครามกับเยอรมนีเพิ่มขึ้นระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1930 อังกฤษตัดสินว่าการสนับสนุนประชากรอาหรับในตะวันออกกลางสำคัญกว่าการสถาปนาบ้านเกิดเมืองนอนยิว และเปลี่ยนท่าทีเป็นนิยมอาหรับ จำกัดการเข้าเมืองของชาวยิว แล้วจุดชนวนการก่อการกำเริบของชาวยิวแทน<ref name="Brown494-495"/>
 
ประเทศในเครือจักรภพสามารถกำหนดนโยบายต่างประเทศของตนเป็นอิสระจากบริเตนได้ โดยได้รับการรับรองที่การประชุมจักรวรรดิ ค.ศ. 1923<ref>[[#refMcIntyre|McIntyre]], p.&nbsp;187.</ref> คำขอความช่วยเหลือทางทหารของบริเตนจากประเทศในเครือจักรภพเมื่อวิกฤตชานัก (Chanak Crisis) อุบัติเมื่อปีกลายถูกแคนาดาและแอฟริกาใต้ปฏิเสธ และแคนาดาปฏิเสธถูกผูกมัดโดยสนธิสัญญาโลซาน ค.ศ. 1923<ref>[[#refOHBEv4|Brown]], p.&nbsp;68.</ref><ref>[[#refMcIntyre|McIntyre]], p.&nbsp;186.</ref> หลังแรงกดดันจากไอร์แลนด์และแอฟริกาใต้ การประชุมจักรวรรดิ ค.ศ. 1926 ออกปฏิญญาแบลฟะ ประกาศให้ประเทศในเครือจักรภพเป็น "ชุมชนปกครองตนเองในจักรวรรดิบริติช มีสถานภาพเท่าเทียมกัน ไม่เป็นรองชุมชนอื่นในทางหนึ่งทางใด" ใน "[[เครือจักรภพแห่งประชาชาติ]]บริติช"<ref>[[#refOHBEv4|Brown]], p.&nbsp;69.</ref> ปฏิญญานี้มีสถานะเป็นกฎหมาย (legal substance) ภายใต้บทกฎหมายเวสต์มินสเตอร์ (Statute of Westminster) ค.ศ. 1931<ref name="rhodes5">[[#refRhodes2009|Rhodes, Wanna & Weller]], pp.&nbsp;5–15.</ref> รัฐสภาแคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหภาพแอฟริกาใต้ เสรีรัฐไอร์แลนด์และนิวฟันด์แลนด์บัดนี้เป็นอิสระจากการควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติของบริติช ประเทศเหล่านี้สามารถทำให้กฎหมายบริติชเป็นโมฆะและบริเตนไม่สามารถผ่านกฎหมายให้ได้โดยปราศจากความยินยอมอีก<ref>[[#refTurpin2007|Turpin & Tomkins]], p.&nbsp;48.</ref> นิวฟันด์แลนด์กลับเป็นสถานะอาณานิคมอีกใน ค.ศ. 1933 โดยประสบความเดือดร้อนทางการเงินระหว่างภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;300.</ref> ไอร์แลนด์เว้นระยะจากบริเตนมากขึ้นโดยการริเริ่มรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใน ค.ศ. 1937 ทำให้เป็นสาธารณรัฐโดยพฤตินัย<ref>[[#refKenny|Kenny]], p.&nbsp;21.</ref>
 
=== สงครามโลกครั้งที่สอง ===
[[ไฟล์:El Alamein 1942 - British infantry.jpg|thumb|ระหว่าง[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] กองทัพที่แปดประกอบขึ้นจากหน่วยจากประเทศต่าง ๆ จำนวนมากในจักรวรรดิบริติชและเครือจักรภพ กองทัพนี้สู้รบในการทัพแอฟริกาเหนือและอิตาลี]]
การประกาศสงครามต่อ[[นาซีเยอรมนี]]ของบริเตนเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 รวมคราวน์โคโลนีและอินเดียด้วย แต่ไม่ผูกมัดประเทศในเครือจักรภพโดยอัตโนมัติ ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ นิวฟันด์แลนด์และแอฟริกาใต้ล้วนประกาศสงครามต่อเยอรมนีในไม่ช้า แต่[[เสรีรัฐไอร์แลนด์]]เลือกเป็นกลางทางกฎหมายตลอดสงคราม<ref>[[#refLloyd1996|Lloyd]], pp.&nbsp;313–14.</ref>
 
หลัง[[ยุทธการที่ฝรั่งเศส|การยึดครองฝรั่งเศสของเยอรมนี]]ใน ค.ศ. 1940 บริเตนและจักรวรรดิยืนต่อกรเยอรมนีเพียงลำพัง จน[[สหภาพโซเวียต]]เข้าสู่สงครามใน ค.ศ. 1941 นายกรัฐมนตรีบริติช [[วินสตัน เชอร์ชิลล์]] วิ่งเต้นประธานาธิบดี[[แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์]] เพื่อขอความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ แต่โรสเวลต์ยังไม่พร้อมขอ[[รัฐสภาสหรัฐอเมริกา|รัฐสภา]]ให้ผูกมัดประเทศเข้าร่วมสงคราม<ref>[[British Empire#refGilbert2005|Gilbert]], p.&nbsp;234.</ref> ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1941 เชอร์ชิลล์และโรสเวลต์พบกันและลงนาม[[กฎบัตรแอตแลนติก]] ซึ่งรวมถ้อยแถลงว่า ควรเคารพ "สิทธิเลือก[[ระบอบการปกครอง]]ที่พวกตนอาศัยอยู่ของประชาชนทั้งปวง" การใช้คำนี้เคลือบคลุมว่าหมายถึงประเทศยุโรปที่ถูกเยอรมนีบุกครอง หรือผู้ที่ถูกชาติยุโรปตั้งนิคม และต่อมาชาวบริติช อเมริกันและขบวนการชาตินิยมตีความต่างกัน<ref name="reflloyd316">[[#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;316.</ref><ref>[[#refJames|James]], p.&nbsp;513.</ref>
 
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 [[จักรวรรดิญี่ปุ่น|ญี่ปุ่น]]เปิดฉากการเข้าตีบริติชมาลายา ฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่ท่าจอดเรือเพิร์ล และฮ่องกงต่อ ๆ กันอย่างรวดเร็ว ปฏิกิริยาของเชอร์ชิลล์ต่อการเข้าสู่สงครามของสหรัฐอเมริกา คือ บริเตนได้รับประกันชัยชนะและอนาคตของจักรวรรดิปลอดภัย<ref>[[#refGilbert2005|Gilbert]], p.&nbsp;244.</ref> แต่จริตของการยอมจำนนอย่างรวดเร็วของบริเตนเป็นผลเสียต่อฐานะและเกียรติภูมิของบริเตนในฐานะอำนาจจักรวรรดิอย่างไม่อาจผันกลับได้<ref>[[#refLouis2006|Louis]], p.&nbsp;337.</ref><ref>[[#refOHBEv4|Brown]], p.&nbsp;319.</ref> ที่เสียหายหนักที่สุด คือ การเสียสิงคโปร์ ซึ่งเคยได้รับการเชิดชูเป็นปราการไม่อาจทะลวงและเทียบเท่ากับ[[ยิบรอลตาร์]]แห่งทิศตะวันออก<ref>[[#refJames2001|James]], p.&nbsp;460.</ref> การตระหนักว่า บริเตนไม่สามารถป้องกันทั้งจักรวรรดิของตนได้ผลักดันให้ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งบัดนี้ราวกับถูกกองทัพญี่ปุ่นคุกคาม ให้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกามากขึ้น จนให้เกิด[[สนธิสัญญาแอนซัส]] ค.ศ. 1951 ระหว่างออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และสหรัฐอเมริกา<ref name="reflloyd316"/>
 
== การปลดปล่อยอาณานิคมและความเสื่อม (1945–1997) ==
แม้บริเตนและจักรวรรดิคว้าชัยจากสงครามโลกครั้งที่สอง ผลของความขัดแย้งนั้นล้ำลึก ทั้งในบริเตนและโพ้นทะเล ทวีปยุโรปบริเวณกว้าง อันเป็นทวีปซึ่งครอบงำโลกมาหลายศตวรรษ เป็นซากปรักหักพัง และมีกองทัพสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ซึ่งบัดนี้ถือดุลอำนาจโลก<ref>[[#refAbernethy2000|Abernethy]], p.&nbsp;146.</ref> อังกฤษล้มละลายโดยสิ้นเชิง โดยปัดป้องการไม่สามารถชำระหนี้ได้เฉพาะใน ค.ศ. 1946 หลังเจรจาขอกู้เงิน 4,330 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (56,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน ค.ศ. 2012) จากสหรัฐอเมริกา<ref>[[#refOHBEv4|Brown]], p.&nbsp;331.</ref> ซึ่งผ่อนชำระงวดสุดท้ายใน ค.ศ. 2006<ref name=GT-DEX-2006-33>{{Cite news|url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/uk_news/magazine/4757181.stm|title=What's a little debt between friends?|publisher=BBC News|date=10 May 2006|accessdate=20 November 2008}}</ref> ขณะเดียวกัน ขบวนการต่อต้านอาณานิคมเจริญในอาณานิคมของชาติยุโรป สถานการณ์ซับซ้อนขึ้นอีกโดยความเป็นปรปักษ์ที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต โดยหลักการ ทั้งสองชาติคัดค้านลัทธิอาณานิคมยุโรป ทว่าในทางปฏิบัติ การต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ของสหรัฐอยู่เหนือการต่อต้านจักรวรรดินิยม ฉะนั้น สหรัฐอเมริกาจึงสนับสนุนการมีอยู่ของจักรวรรดิบริติชต่อไปเพื่อถ่วงดุลการขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์<ref>[[#refLevine|Levine]], p.&nbsp;193.</ref> สุดท้าย "สายลมการเปลี่ยนแปลง" หมายความว่า วันแห่งจักรวรรดิบริติชเหลือน้อยแล้ว และโดยรวม บริเตนใช้นโยบายการปล่อยอาณานิคมเมื่อมีรัฐบาลซึ่งมีเสถียรภาพและมิใช่คอมมิวนิสต์ให้ถ่ายโอนอำนาจไป ซึ่งตรงข้ามกับประเทศยุโรปอ่นอย่างฝรั่งเศสและโปรตุเกส<ref>[[#refAbernethy2000|Abernethy]], p.&nbsp;148.</ref> ซึ่งทำสงครามราคาแพงและสุดท้ายล้มเหลวเพื่อรักษาจักรวรรดิของตนให้สมบูรณ์ ระหว่าง ค.ศ. 1945 ถึง 1965 จำนวนประชากรในการปกครองของอังกฤษนอกสหราชอาณาจักรลดลงจาก 700 ล้านคนเหลือ 5 ล้านคน ซึ่ง 3 ล้านคนในจำนวนนี้อยู่ในฮ่องกง<ref>[[#refOHBEv4|Brown]], p.&nbsp;330.</ref>
 
=== การปล่อยขั้นต้น ===
[[ไฟล์:Emergency trains crowded with desperate refugees.jpg|thumb|right|ประมาณ 14.5 ล้านคนเสียบ้านเป็นผลจากการแบ่งประเทศอินเดียใน ค.ศ. 1947]]
รัฐบาลพรรคแรงงานซึ่งนิยมการให้เอกราชได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 1945 และมีคลีเมนต์ แอตลีเป็นหัวหน้า ขยับอย่างรวดเร็วเพื่อจัดการปัญหาซึ่งกดดันที่สุดซึ่งจักรวรรดิกำลังเผชิญ คือ ปัญหาเอกราชของอินเดีย<ref>[[#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;322.</ref> พรรคการเมืองหลักสองพรรคของอินเดีย คองเกรสแห่งชาติอินเดียและสันนิบาตมุสลิม รณรงค์เรียกร้องเอกราชมาหลายทศวรรษแล้ว แต่ตกลงกันไม่ได้ว่าควรนำไปปฏิบัติอย่างไร พรรคคองเกรสนิยมรัฐเดี่ยวฆราวาสอินเดีย แต่พรรคสันนิบาต ด้วยเกรงถูกฝ่ายข้างมากฮินดูครอบงำ ปรารถนารัฐอิสลามต่างหากสำหรับภูมิภาคซึ่งมีมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ ความไม่สงบของพลเมืองที่เพิ่มขึ้นและการก่อการกำเริบในราชนาวีอินเดียระหว่าง ค.ศ. 1946 นำให้แอตลีสัญญาเอกราชไม่เกิน ค.ศ. 1948 เมื่อความเร่งด่วนของสถาบการณ์และความเสี่ยงสงครามกลางเมืองประจักษ์ชัด ลอร์ดเมานท์บัตเทิน (Lord Mountbatten) อุปราชซึ่งเพิ่งได้รับแต่งตั้ง (และคนสุดท้าย) เลื่อนเวลามาเป็นวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1947<ref>[[#refSmith1998|Smith]], p.&nbsp;67.</ref> โดยด่วน เขตแดนที่บริเตนลากเพื่อแบ่งอินเดียเป็นพื้นที่ฮินดูและมุสลิมทำให้หลายสิบล้านคนเป็นชนกลุ่มน้อยในรัฐเอกราชใหม่อินเดียและ[[ปากีสถาน]]<ref>[[#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;325.</ref> ต่อมา มุสลิมหลายล้านคนข้ามจากอินเดียไปปากีสถาน และกลับกันสำหรับชาวฮินดู และความรุนแรงระหว่างสองชุมชนทำให้มีการเสียชีวิตนับหลายแสน พม่าซึ่งถูกปกครองเป็นส่วนหนึ่งของบริติชราชและ[[ศรีลังกา]]ได้รับเอกราชในปีถัดมา คือ ค.ศ. 1948 อินเดีย ปากีสถาน และศรีลังกากลายเป็นสมาชิกเครือจักรภพ แต่พม่าเลือกไม่เข้าร่วม<ref>[[#refMcIntyre|McIntyre]], pp.&nbsp;355–356.</ref>
 
อาณัติปาเลสไตน์ของบริเตน ซึ่งประชากรอาหรับส่วนใหญ่อาศัยอยู่ร่วมกับชนกลุ่มน้อยชาวยิว นำปัญหาให้บริเตนคล้ายกับในกรณีอินเดีย<ref>[[#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;327.</ref> แต่ปาเลสไตน์ยุ่งยากเพราะผู้ลี้ภัยชาวยิวจำนวนมากแสวงการรับเข้าปาเลสไตน์หลัง[[ฮอโลคอสต์]] แต่ชาวอาหรับคัดค้านการสถาปนารัฐยิว ด้วยท้อกับความยากของปัญหา การโจมตีขององค์การกึ่งทหารยิวและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการคงทหารไว้ บริเตนจึงประกาศใน ค.ศ. 1947 ว่าจะถอนทหารใน ค.ศ. 1948 และทิ้งปัญหาให้สหประชาชาติแก้ไข<ref>[[#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;328.</ref> ต่อมา [[สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ]]ลงมติสนับสนุนแผนแบ่งปาเลสไตน์เป็นรัฐยิวและอาหรับ
 
หลังญี่ปุ่นปราชัยในสงครามโลกครั้งที่สอง ขบวนการต่อต้านต่อต้านญี่ปุ่นในมาลายาหันความสนใจไปยังบริติชแทน ซึ่งกลับควบคุมอาณานิคมอย่างรวดเร็ว โดยให้มูลค่าเพราะเป็นแหล่งยางและดีบุก<ref name="ReferenceA">[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;335.</ref> ข้อเท็จจริงที่ว่ากองโจรเป็นคอมมิวนิสต์ชาวมลายู-จีนเป็นหลักหมายความว่า ชาวมลายูมุสลิมส่วนใหญ่สนับสนุนความพยายามปราบปรามการก่อการกำเริบนี้ของอังกฤษ โดยความเข้าใจว่าเมื่อปราบปรามการก่อการกำเริบดังกล่าวแล้ว จะได้รับเอกราช<ref name="ReferenceA"/> ภาวะฉุกเฉินมาลายา ตามที่ถูกเรียก เริ่มใน ค.ศ. 1948 และกินเวลาถึง ค.ศ. 1960 แต่ใน ค.ศ. 1957 บริเตนรู้สึกมั่นใจพอให้เอกราชแก่[[สหพันธรัฐมาลายา]]ในเครือจักรภพ ใน ค.ศ. 1963 สิบเอ็ดรัฐแห่งสหพันธรัฐร่วมกับสิงคโปร์ [[ซาราวะก์]]และ[[บอร์เนียวเหนือ]] แต่ใน ค.ศ. 1965 สิงคโปร์ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวจีนถูกขับออกจากสหภาพหลังความตึงเครียดที่เกิดตามมาระหว่างประชากรชาวมลายูกับชาวจีน<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;364.</ref> บรูไนซึ่งเป็นรัฐในอารักขาของบริเตนตั้งแต่ ค.ศ. 1888 ปฏิเสธเข้าร่วมสหภาพ<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;396.</ref> และธำรงสถานภาพของตนจนได้รับเอกราชใน ค.ศ. 1984
 
=== สุเอซและผลลัพธ์ ===
[[ไฟล์:Eden, Anthony.jpg|thumb|upright|left|การตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีบริติช แอนโทนี อีเดนในการบุกครองอียิปต์ระหว่างวิกฤตการณ์สุเอซยุติอาชีพการเมืองของเขาและเผยความอ่อนแอของบริเตนในฐานะชาติจักรวรรดิ]]
ค.ศ. 1951 พรรคอนุรักษนิยมหวนสู่อำนาจในบริเตน ภายใต้การนำของ[[วินสตัน เชอร์ชิลล์]] เชอร์ชิลล์และพรรคอนุรักษนิยมเชื่อว่าฐานะมหาอำนาจโลกของบริเตนขึ้นอยู่กับการดำรงอยู่ต่อไปของจักรวรรดิ โดยฐานที่[[คลองสุเอซ]]ทำให้บริเตนธำรงฐานะเด่นในตะวันออกกลางแม้เสียอินเดียไปแล้ว ทว่า เชอร์ชิลล์ไม่อาจเพิกเฉยต่อรัฐบาลปฏิวัติใหม่ของ[[ญะมาล อับดุนนาศิร]]ซึ่งเถลิงอำนาจใน ค.ศ. 1952 และในปีต่อมา มีการตกลงว่าจะมีการถอนทหารบริติชจากเขตคลองสุเอซและซูดานจะได้รับการกำหนดการปกครองด้วยตัวเองภายใน ค.ศ. 1955 โดยจะได้รับเอกราชตามมา<ref>[[#refOHBEv4|Brown]], pp.&nbsp;339–40.</ref> ซูดานได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1956
 
เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1956 นาศิรโอนคลองสุเอซเป็นของรัฐฝ่ายเดียว [[แอนโทนี อีเดน]] นายกรัฐมนตรีคนถัดจากเชอร์ชิลล์ สนองโดยการคบคิดกับฝรั่งเศสวางแผนให้อิสราเอลเข้าตีอียิปต์ซึ่งจะทำให้บริเตนและฝรั่งเศสเข้าแทรกแซงทางทหารและยึดคลองคืน<ref>[[#refJames2001|James]], p.&nbsp;581.</ref> อีเดนทำให้ประธานาธิบดี[[ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์]]แห่งสหรัฐโกรธเนื่องจากไม่ได้ปรึกษาเขา และไอเซนฮาวร์ไม่ยอมสนับสนุนการบุกครองนี้<ref>[[#refFergusonEmpire2004|Ferguson 2004]], p.&nbsp;355.</ref> ข้อกังวลอีกอย่างหนึ่งของไอเซนฮาวร์คือ ความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามวงกว้างขึ้นกับสหภาพโซเวียตหลังโซเวียตขู่แทรกแซงโดยเข้ากับฝ่ายอียิปต์ ไอเซนฮาวร์ใช้เลฟเวอริจทางการเงิน (financial leverage) โดยขู่ขายเงิน[[ปอนด์สเตอร์ลิง|ปอนด์บริติช]]สำรองของสหรัฐและจะเร่งให้เกิดการล่มสลายของเงินตราบริติช<ref>[[#refFergusonEmpire2004|Ferguson 2004]], p.&nbsp;356.</ref> แม้กำลังบุกครองจะประสบความสำเร็จทางทหารตามวัตถุประสงค์<ref>[[#refJames2001|James]], p.&nbsp;583.</ref> แต่การเข้าแทรกแซงของสหประชาชาติและแรงกดดันจากสหรัฐบีบให้บริเตนถอนกำลังของตนอย่างขายหน้าและอีเดนลาออก<ref>[[#refCombs2008|Combs]], pp.&nbsp;161–163.</ref><ref>{{cite web|title=Suez Crisis: Key players |url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/5195582.stm|publisher=BBC News|accessdate=19 October 2010|date=21 July 2006}}</ref>
 
[[วิกฤตการณ์สุเอซ]]เผยข้อจำกัดของบริเตนต่อโลกและยืนยันความเสื่อมของบริเตนบนเวทีโลก แสดงให้เห็นว่าสืบแต่นั้นบริเตนไม่สามารถกระทำการใดได้โดยปราศจากความยินยอมหรือการสนับสนุนอย่างเต็มขั้นของสหรัฐ<ref>[[#refOHBEv4|Brown]], p.&nbsp;342.</ref><ref>[[#refSmith1998|Smith]], p.&nbsp;105.</ref><ref>[[#refBurk2008|Burk]], p.&nbsp;602.</ref> เหตุการณ์ที่สุเอซทำให้ความภูมิใจในชาติบริเตนเสียหาย ทำให้สมาชิกรัฐสภาผู้หนึ่งอธิบายเหตุการณ์ดังกล่าวว่า "[[ยุทธการที่วอเตอร์ลู|วอเตอร์ลู]]ของบริเตน"<ref name="#refOHBEv4|Brown, p. 343">[[#refOHBEv4|Brown]], p.&nbsp;343.</ref> และอีกคนแนะว่า บริเตนกลายเป็น "บริวารของอเมริกา"<ref>[[#refJames2001|James]], p.&nbsp;585.</ref> ภายหลัง[[มาร์กาเรต แทตเชอร์]]อธิบายกรอบความเชื่อ (mindset) ที่นางเชื่อว่าเกิดกับสถาบันการเมืองของบริเตนว่า "กลุ่มอาการสุเอซ" ซึ่งบริเตนไม่ฟื้นตัวจนยึด[[หมู่เกาะฟอล์คแลนด์]]คืนจาก[[อาร์เจนตินา]]ใน ค.ศ. 1982<ref>[[#refThatcher|Thatcher]].</ref>
 
แม้วิกฤตการณ์สุเอซทำให้อำนาจของบริเตนในตะวันออกกลางอ่อนแอลง แต่ก็มิได้ล่มสลายทีเดียว<ref>[[#refSmith1998|Smith]], p.&nbsp;106.</ref> บริเตนเริ่มวางกำลังกองทัพเข้าไปในภูมิภาคนั้นใหม่ โดยเข้าแทรกแซงใน[[โอมาน]] (ค.ศ. 1957), [[จอร์แดน]] (ค.ศ. 1958) และ[[คูเวต]] (ค.ศ. 1961) แม้โอกาสเหล่านี้จะได้รับความยินยอมจากอเมริกา<ref>[[#refJames2001|James]], p.&nbsp;586.</ref> เนื่องจากนโยบายต่างประเทศของ[[ฮาโรลด์ แมคมิลแลน]] นายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือ การคงเข้ากับสหรัฐอย่างเหนียวแน่น<ref name="#refOHBEv4|Brown, p. 343"/> บริเตนคงทหารในตะวันออกกลางอีกทศวรรษ เดือนมกราคม ค.ศ. 1968 ไม่กี่สัปดาห์หลังการลดค่าเงินตราปอนด์ นายกรัฐมนตรี[[ฮาโรลด์ วิลสัน]] และ[[เดนิส เฮียเลย์]] รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น ประกาศว่าจะถอนกำลังกำลังบริเตนจากฐานทัพใหญ่ทางตะวันออกของสุเอซ ซึ่งรวมถึงฐานทัพในตะวันออกกลาง และมาเลเซียและสิงคโปร์เป็นหลัก<ref>[[#refPham2010|Pham 2010]]</ref> บริเตนถอนทหารจาก[[เอเดน]]ใน ค.ศ. 1967, [[บาห์เรน]]ใน ค.ศ. 1971 และ[[มัลดีฟส์]]ใน ค.ศ. 1976<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], pp.&nbsp;370–371.</ref>
 
=== ลมแห่งการเปลี่ยนแปลง ===
[[ไฟล์:British Decolonisation in Africa.png|thumb|การปลดปล่อยอาณานิคมในทวีปแอฟริกาของบริเตน เมื่อสิ้นคริสต์ทศวรรษ 1960 ทุกประเทศยกเว้นโรดีเซีย (คือ ซิมบับเวในอนาคต) และอาณัติแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้ ([[นามิเบีย]]) ของแอฟริกาใต้ได้รับรองเอกราช]]
แมคมิลแลนกล่าวสุนทรพจน์ในเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1960 ซึ่งเขากล่าวว่า "ลมแห่งการเปลี่ยนแปลงกำลังพัดผ่านทวีปนี้"<ref>[[#refJames2001|James]], p.&nbsp;616.</ref> แมคมิลแลนปรารถนาหลีกเลี่ยงสงครามอาณานิคมแบบเดียวกับที่ฝรั่งเศสกำลังสู้รบอยู่ในอัลจีเรีย และภายใต้การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขา การปลดปล่อยอาณานิคมดำเนินอย่างรวดเร็ว<ref>[[#refLouis2006|Louis]], p.&nbsp;46.</ref> จากสามอาณานิคมที่ได้รับเอกราชในคริสต์ทศวรรษ 1950 ได้แก่ ซูดาน โกลด์โคสตฺและมาลายา มีเพิ่มขึ้นอีกเกือบสิบเท่าระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], pp.&nbsp;427–433.</ref>
 
อาณานิคมของบริเตนที่ยังเหลืออยู่ในทวีปแอฟริกา ยกเว้น[[เซาเทิร์นโรดีเชีย]]ที่ปกครองตนเอง ได้รับเอกราชทั่วกันภายใน ค.ศ. 1968 การถอนตัวจากส่วนใต้และตะวันออกของทวีปแอฟริกาของบริเตนมิใช่กระบวนการอย่างสันติ เอกราชของเคนยาเกิดให้หลัง[[Mau Mau Uprising|การก่อการกำเริบเมาเมา]] (Mau Mau Uprising) นาน 8 ปี ใน[[โรดีเซีย]] คำประกาศเอกราชฝ่ายเดียว ค.ศ. 1965 โดยฝ่ายข้างน้อยผิวขาวทำให้เกิดสงครามกลางเมืองซึ่งกินเวลาจนความตกลงแลงคาสเตอร์เฮาส์ ค.ศ. 1979 ซึ่งตั้งข้อกำหนดสำหรับเอกราชที่ได้รับการรับรองใน ค.ศ. 1980 เป็นประเทศใหม่[[ซิมบับเว]]<ref>[[#refJames2001|James]], pp.&nbsp;618–621.</ref>
 
ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สงครามกองโจรที่ชาวไซปรัสกรีก (Greek Cypriots) เป็นผู้ก่อลงเอยด้วยประเทศไซปรัสที่มีเอกราชใน ค.ศ. 1960 โดยสหราชอาณาจักรคงฐานทัพ[[แอโครเทียรีและดิเคเลีย]] เกาะ[[มอลตา]]และ[[โกโซ]]ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้รับเอกราชฉันมิตรจากสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 1964 แม้มีการเสนอความคิดให้รวมกับบริเตนใน ค.ศ. 1955<ref>[[#refSpringhall2001|Springhall]], pp.&nbsp;100–102.</ref>
 
ดินแดนแคริบเบียนของสหราชอาณาจักรส่วนมากได้รับเอกราชหลัง[[จาไมกา]]และ[[ตรินิแดด]]ออกจาก[[สหพันธ์อินเดียตะวันตก]]ใน ค.ศ. 1961 และ 1962 สหพันธ์อินเดียตะวันตกสถาปนาใน ค.ศ. 1958 ในความพยายามรวมอาณานิคมแคริบเบียนบริติชภายใต้รัฐบาลเดียว แต่ล่มสลายหลังการเสียสมาชิกใหญ่สุดสองชาติ<ref name="knight14">[[#refKnight1989|Knight & Palmer]], pp.&nbsp;14–15.</ref> [[บาร์บาโดส]]ได้รับเอกราชใน ค.ศ. 1966 และเกาะแคริบเบียนตะวันออกต่าง ๆ ที่เหลือในคริสต์ทศวรรษ 1970 และ 1980<ref name="knight14"/> แต่[[แองกวิลลา]]และ[[หมู่เกาะเติกส์และหมู่เกาะเคคอส]]เลือกกลับสู่การปกครองของบริเตนหลังเริ่มเส้นทางสู่เอกราชแล้ว<ref>[[#refClegg2005|Clegg]], p.&nbsp;128.</ref> [[หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน]]<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], p.&nbsp;428.</ref> [[หมู่เกาะเคย์แมน]]และ[[มอนต์เซอร์รัต]]เลือกคงความสัมพันธ์กับบริเตน<ref>[[#refJames2001|James]], p.&nbsp;622.</ref> ขณะที่[[กายอานา]]ได้รับเอกราชใน ค.ศ. 1966 อาณานิคมสุดท้ายของบริเตนบนแผ่นดินใหญ่ทวีปอเมริกา บริติชฮอนดูรัส กลายเป็นอาณานิคมปกครองตนเองใน ค.ศ. 1964 และมีการเปลี่ยนชื่อเป็น[[เบลีซ]]ใน ค.ศ. 1973 และได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1981 ข้อพิพาทระหว่างเบลีซกับกัวเตมาลาเรื่องดินแดนยังไม่ยุติ<ref>[[British Empire#refLloyd1996|Lloyd]], pp.&nbsp;401, 427–429.</ref>
 
ดินแดนในมหาสมุทรแปซิฟิกของบริเตนได้รับเอกราชในคริสต์ทศวรรษ 1970 เริ่มจาก[[ฟิจิ]]ใน ค.ศ. 1970 และจบด้วย[[วานูอาตู]]ใน ต.ศ. 1980 เอกราชของวานูอาตูล่าไปเพราะข้อพิพาททางการเมืองระหว่างชุมชนที่พูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งเศส เพราะหมู่เกาะนั้นมีการปกครองร่วมเป็นดินแดนใต้การปกครองร่วมกับฝรั่งเศส<ref>[[#refMacdonald1994|Macdonald]], pp. 171–191.</ref> ฟิจิ [[ตูวาลู]] [[หมู่เกาะโซโลมอน]]และ[[ปาปัวนิวกินี]] เลือกเป็นราชอาณาจักรเครือจักรภพ
 
=== จุดจบของจักรวรรดิ ===
[[ไฟล์:Hong Kong Convention Centre (5714951833).jpg|thumb|ศูนย์ประชุมฮ่องกงเป็นสถานที่จัดพิธีการส่งมอบอำนาจอธิปไตยเหนือฮ่องกงจากบริเตนให้จีนใน ค.ศ. 1997 เป็นสัญลักษณ์จุดจบของจักรวรรดิ]]
ค.ศ. 1980 โรดีเซีย อาณานิคมสุดท้ายของบริเตนในทวีปแอฟริกา กลายเป็นรัฐเอกราช[[ซิมบับเว]] [[นิวเฮบริดีส์]] (New Hebrides) ได้รับเอกราชในชื่อวานูอาตูใน ค.ศ. 1980 ตามด้วย[[เบลีซ]]ใน ค.ศ. 1981 การผ่านพระราชบัญญัติสัญชาติบริติช ค.ศ. 1981 ซึ่งจัดแบ่งคราวน์โคโลนีที่เหลืออยู่เป็น "ดินแดนในภาวะพึ่งพาบริติช" และเปลีย่นชื่อเป็นดินแดนโพ้นทะเลบริติชใน ค.ศ. 2002<ref>{{cite web| title=British Overseas Territories Act 2002| author= |publisher=legislation.gov.uk| url=http://www.legislation.gov.uk/ukpga/2002/8/contents}}</ref> หมายความว่า นอกจากเกาะและด่านหน้ากระจัดกระจาย (และการได้[[Rockall|ร็อกออล]] โขดหินไม่มีคนอยู่อาศัยในมหาสมุทรแอตแลนติกใน ค.ศ. 1955)<ref>{{Cite news|title=1955: Britain claims Rockall|publisher=BBC News|url=http://news.bbc.co.uk/onthisday/hi/dates/stories/september/21/newsid_4582000/4582327.stm|accessdate=13 December 2008 |date=21 September 1955}}</ref> กระบวนการการปลดปล่อยอาณานิคมซึ่งเริ่มมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองสำเร็จไปแล้วส่วนใหญ่ ใน ค.ศ. 1982 ความเด็ดเดี่ยวในการปกป้องดินแดนโพ้นทะเลที่เหลืออยู่ของบริเตนถูกทดสอบเมื่ออาร์เจนตินาบุกครองหมู่เกาะฟอล์คแลนด์ โดยการอ้างสิทธิ์ยาวนานซึ่งย้อนไปถึงสมัย[[จักรวรรดิสเปน]]<ref>[[#refJames2001|James]], pp.&nbsp;624–625.</ref> การสนองทางทหารที่สัมฤทธิ์ผลในท้ายสุดของบริเตนในการยึดหมู่เกาะคืนระหว่าง[[สงครามฟอล์กแลนด์]]มีหลายคนมองว่าช่วยพลิกแนวโน้มสถานภาพมหาอำนาจโลกของบริเตนที่ลดลง<ref>[[#refJames2001|James]], p.&nbsp;629.</ref> ในปีเดียวกัน รัฐบาลแคนาดาตัดความเชื่อมโยงทางกฎหมายสุดท้ายกับบริเตนโดยการทวง (Patriation) รัฐธรรมนูญแคนาดาจากบริเตน รัฐสภาบริเตนผ่านพระราชบัญญัติแคนาดา ค.ศ. 1982 ทำให้การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญแคนาดาไม่ต้องมีบริเตนเข้ามาเกี่ยวข้อง<ref name="refohbev594">[[#refOHBEv4|Brown]], p.&nbsp;594.</ref> คล้ายกัน พระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1986 ปฏิรูปรัฐธรรมนูญนิวซีแลนด์เพื่อตัดความเชื่อมโยงตามรัฐธรรมนญกับบริเตน และพระราชบัญญัติออสเตรเลีย ค.ศ. 1986 ตัดความเชื่อมโยงตามรัฐธรรมนูญระหว่างบริเตนและรัฐออสเตรเลียต่าง ๆ<ref>[[#refOHBEv4|Brown]], p.&nbsp;689.</ref>
 
เดือนกันยายน ค.ศ. 1982 นายกรัฐมนตรี[[มาร์กาเรต แทตเชอร์]]เดินทางเยือนกรุงปักกิ่งเพื่อเจรจากับรัฐบาลจีนเรื่องอนาคตของ[[ฮ่องกง]]ซึ่งเป็นดินแดนโพ้นทะเลใหญ่สุดท้ายและมีประชากรมากที่สุด<ref>[[British Empire#refBrendon|Brendon]], p.&nbsp;654.</ref> ภายใต้เงื่อนไขของ[[สนธิสัญญานานกิง]] ค.ศ. 1842 เกาะฮ่องกงถูกยกให้บริเตนตลอดกาล แต่อาณานิคมส่วนใหญ่ประกอบขึ้นจาก[[New Territories|นิวเทอร์ริทอรีส์]]ซึ่งได้มาภายใต้การเช่า 99 ปีใน ค.ศ. 1898 ซึ่งจะหมดอายุใน ค.ศ. 1997<ref>[[#refJoseph2010|Joseph]], p.&nbsp;355.</ref><ref>[[#refRothermund2006|Rothermund]], p.&nbsp;100.</ref> แทตเชอร์ซึ่งมองเห็นความคล้ายกับหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ ทีแรกปรารถนาถือครองฮ่องกงและเสนอการปกครองของบริติชโดยอยู่ภายใต้เอกราชของจีน แต่ถูกจีนปฏิเสธ<ref>[[British Empire#refBrendon|Brendon]], pp.&nbsp;654–55.</ref> มีการบรรลุข้อตกลงใน ค.ศ. 1984 ภายใต้เงื่อนไขของ[[ปฏิญญาร่วมจีน-บริเตน]] ฮ่องกงจะเป็นเขตบริหารพิเศษของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยธำรงวิถีชีวิตเป็นเวลาอย่างน้อย 50 ปี<ref>[[British Empire#refBrendon|Brendon]], p.&nbsp;656.</ref> มีพิธีส่งมอบใน ค.ศ. 1997<ref name="Brendon-Empire-end">[[British Empire#refBrendon|Brendon]], p.&nbsp;660.</ref> ซึ่งหลายคนซึ่งรวมถึง[[เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์]]<ref name="Prince-Charles-Empire-End">{{Cite news|url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/uk_news/4740684.stm|title=Charles' diary lays thoughts bare|publisher=BBC News|accessdate=13 December 2008 |date=22 February 2006}}</ref> ซึ่งทรงร่วมพิธีด้วย ว่า "จุดจบของจักรวรรดิ"<ref name="refohbev594"/><ref name="BBC-Empire-End">{{Cite web|url=http://www.bbc.co.uk/history/british/modern/endofempire_overview_07.shtml|title=BBC&nbsp;– History&nbsp;– Britain, the Commonwealth and the End of Empire|publisher=BBC News|accessdate=13 December 2008}}</ref>
 
== มรดกตกทอด ==
[[ไฟล์:Location of the BOTs.svg|left|thumb|สิบสี่[[ดินแดนโพ้นทะเลบริติช]]]]
บริเตนยังคงอำนาจอธิปไตยเหนือ 14 ดินแดนนอกหมู่เกาะบริติช ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นดินแดนโพ้นทะเลบริติชใน ค.ศ. 2002<ref>[[#refFAC|House of Commons Foreign Affairs Committee Overseas Territories Report]], pp.&nbsp;145–147</ref> บางแห่งไม่มีผู้อยู่อาศัยยกเว้นบุคลากรทางทหารหรือวิทยาศาสตร์ชั่วคราว ที่เหลือมีการปกครองตนเองในระดับต่าง ๆ และอาศัยสหราชอาณาจักรในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการป้องกัน รัฐบาลบริติชแถลงเจตนาในการสนับสนุนดินแดนโพ้นทะเลใด ๆ ที่ปรารถนาดำเนินสู่เอกราชซึ่งเป็นตัวเลือกหนึ่ง<ref>[[#refFAC|House of Commons Foreign Affairs Committee Overseas Territories Report, pp.&nbsp;146,153]]</ref> อำนาจอธิปไตยของบริเตนเหนือดินแดนโพ้นทะเลหลายแห่งถูกประเทศเพื่อนบ้านทางภูมิศาสตร์พิพาท คือ สเปนอ้างสิทธิ์[[ยิบรอลตาร์]] อาร์เจนตินาอ้างสิทธิ์[[หมู่เกาะฟอล์กแลนด์]]และ[[เกาะเซาท์จอร์เจียและหมู่เกาะเซาท์แซนด์วิช]] และ[[มอริเชียส]]และ[[เซเชลส์]]อ้างสิทธิ์[[บริติชอินเดียนโอเชียนเทร์ริทอรี]]<ref>{{Cite web|url=https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/io.html|title=British Indian Ocean Territory|work=[[The World Factbook]]|publisher=CIA|accessdate=13 December 2008}}</ref> [[บริติชแอนตาร์กติกเทร์ริทอรี]]มีการอ้างสิทธิ์ทับซ้อนกับอาร์เจนตินาและ[[ชิลี]] ส่วนหลายประเทศไม่รับรองการอ้างสิทธิ์ดินแดนใด ๆ ใน[[ทวีปแอนตาร์กติกา]]<ref>[[#refFAC|House of Commons Foreign Affairs Committee Overseas Territories Report]], p.&nbsp;136</ref>
 
[[ไฟล์:Parliament House Canberra NS.jpg|thumb|อาคารรัฐสภาในกรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย [[ระบบเวสต์มินสเตอร์]]ของบริเตนเหลือมรดกประชาธิปไตยระบบรัฐสภาในอดีตอาณานิคมหลายประเทศ]]
[[ไฟล์:കുട്ടികൾ ക്രിക്കറ്റ് കളിക്കുന്നു.jpg|thumb|การเล่นคริกเกตในประเทศอินเดีย กีฬาของบริเตนยังมีการสนับสนุนอย่างแข็งขันในหลายส่วนของอดีตจักวรรดิ]]
 
อดีตอาณานิคมและ[[รัฐในอารักขา]]ของบริเตนส่วนใหญ่เป็นรัฐสมาชิก 53 ประเทศของ[[เครือจักรภพแห่งชาติ]] เป็นสมาคมที่มิใช่ทางการเมืองโดยความสมัครใจของสมาชิกที่มีฐานะเสมอกัน มีประชากรราว 2,200 ล้านคน<ref>[http://thecommonwealth.org/about-us The Commonwealth - About Us]; Online September 2014</ref> ราชอาณาจักรเครือจักรภพ 16 แห่งสมัครใจมีพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวกัน คือ [[สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2]] เป็นประมุขแห่งรัฐ 16 ชาติเหล่านี้ได้แก่ [[สหราชอาณาจักร]] [[ออสเตรเลีย]] [[แคนาดา]] [[นิวซีแลนด์]] [[ปาปัวนิวกินี]] [[แอนติกาและบาร์บูดา]] [[บาฮามาส]] [[บาร์บาโดส]] [[เบลีซ]] [[เกรนาดา]] [[จาไมกา]] [[เซนต์คิตส์และเนวิส]] [[เซนต์ลูเซีย]] [[เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์]] [[หมู่เกาะโซโลมอน]]และ[[ตูวาลู]]<ref>{{Cite web|url=http://www.thecommonwealth.org/Internal/150757/head_of_the_commonwealth/|title=Head of the Commonwealth|publisher=Commonwealth Secretariat|accessdate=9 October 2010}}</ref>
 
การปกครองและการย้ายถิ่นของบริเตนหลายทศวรรษและหลายศตวรรษในบางกรณีทิ้งร่องรอยบนชาติที่ได้รับเอกราชที่เกิดจากจักรวรรดิบริติช จักรวรรดิสถาปนาการใช้ภาษาอังกฤษในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ปัจจุบัน ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักของคน 400 ล้านคนและมีผู้พูดเป็นภาษาแรก ที่สองหรือต่างด้าวประมาณ 1,500 ล้านคน<ref>[[#refHogg|Hogg]], p.&nbsp;424 chapter 9 ''English Worldwide'' by [[David Crystal]]: "approximately one in four of the worlds population are capable of communicating to a useful level in English".</ref>
 
อิทธิพลทางวัฒนธรรมของสหรัฐมีส่วนช่วยการเผยแพร่ภาษาอังกฤษตั้งแต่ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ซึ่งสหรัฐเองก็กำเนิดจากอาณานิคมของบริเตน มีการใช้ระบบรัฐสภาอังกฤษเป็นแม่แบบสำหรับรัฐบาลในอดีตอาณานิคมหลายแห่ง (ยกเว้นในทวีปแอฟริกาซึ่งอดีตอาณานิคมเกือบทั้งหมดรับ[[ระบบประธานาธิบดี]]) และ[[คอมมอนลอว์]]อังกฤษเป็นระบบกฎหมาย<ref>[[#refFergusonEmpire2004|Ferguson 2004]], p.&nbsp;307.</ref>
 
คณะกรรมการตุลาการบริติชของคณะองคมนตรียังเป็นศาลอุทธรณ์สูงสุดสำหรับอดีตอาณานิคมหลายแห่งในแคริบเบียนและแปซิฟิก [[มิชชันนารี]]โปรเตสแตนท์อังกฤษผู้ท่องรอบโลกซึ่งบ่อยครั้งล่วงหน้าทหารและข้าราชการเผยแพร่[[แองกลิคันคอมมิวเนียน]]ไปทุกทวีป พบเห็นสถาปัตยกรรมอาณานิคมบริติชดังเช่นในโบสถ์ สถานีรถไฟและอาคารรัฐบาลได้ในหลายนครซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิบริติช<ref>[[#refMarshall|Marshall]], pp.&nbsp;238–40.</ref>
 
มีการพัฒนากีฬาปัจเจกและทีมต่าง ๆ ในบริเตน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง[[ฟุตบอล]] [[คริกเกต]] [[รักบี้]] [[เทนนิส]]และ[[กอล์ฟ]] ก็ถูกส่งออกด้วย<ref>[[#refTorkildsen2005|Torkildsen]], p.&nbsp;347.</ref> ยังมีการใช้[[ระบบอิมพีเรียล]] ซึ่งเป็นทางเลือกระบบการวัดของบริติช ในบางประเทศในหลายทาง ธรรมเนียมการขับรถชิดซ้ายของถนนก็ยังอยู่ในหลายส่วนของอดีตจักรวรรดิ<ref>[[#refParsons|Parsons]], p.&nbsp;1.</ref>
 
เขตแดนทางการเมืองที่บริเตนลากไม่สะท้อนชาติพันธุ์หรือศาสนาเดียวกันเสมอไป ส่งเสริมให้เกิดความขัดแย้งในพื้นที่อดีตอาณานิคมหลายแห่ง จักรวรรดิบริติชยังทำให้มีการย้ายถิ่นประชากรขนานใหญ่ หลายล้านคนออกจากหมู่เกาะบริเตน โดยประชากรผู้ตั้งถิ่นฐานของสหรัฐ แคนาดา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ส่วนใหญ่มาจากบริเตนและไอร์แลนด์ ยังมีความตึงเครียดระหว่างประชากรผู้ตั้งถิ่นฐานผิวขาวของประเทศเหล่านี้กับชนกลุ่มน้อยพื้นเมือง และระหว่างชนกลุ่มน้อยผู้ตั้งถิ่นฐานผิวขาวและฝ่ายข้างมากพื้นเมืองใน[[แอฟริกาใต้]]และ[[ซิมบับเว]] ผู้ตั้งถิ่นฐานในไอร์แลนด์จากบริเตนใหญ่ทิ้งร่องรอยในรูปชุมชนชาตินิยมและสหภาพนิยมที่แตกแยกใน[[ไอร์แลนด์เหนือ]] หลายล้านคนย้ายเข้าและออกจากอาณานิคมบริติช โดยมีชาวอินเดียจำนวนมากย้ายถิ่นไปส่วนอื่นของจักรวรรดิ เช่น [[มาเลเซีย]]และฟิจิ และชาวจีนไปมาเลเซีย [[สิงคโปร์]]และแคริบเบียน<ref>[[#refMarshall|Marshall]], p.&nbsp;286.</ref> ประชากรศาสตร์ของบริเตนเองก็เปลี่ยนหลังสงครามโลกครั้งที่สองเนื่องจากมีการเข้าเมืองบริเตนจากอดีตอาณานิคม<ref>[[#refDalziel2006|Dalziel]], p.&nbsp;135.</ref>
 
== อ้างอิง ==
{{รายการอ้างอิง|3}}
 
=== บรรณานุกรม ===
{{Refbegin|30em}}
*{{Cite book|first=David|last=Abernethy|title=The Dynamics of Global Dominance, European Overseas Empires 1415–1980|publisher=Yale University Press|year=2000|isbn=0-300-09314-4|url=https://books.google.com/?id=ennqNS1EOuMC|ref=refAbernethy2000|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=Kenneth|last=Andrews|title=Trade, Plunder and Settlement: Maritime Enterprise and the Genesis of the British Empire, 1480–1630|publisher=Cambridge University Press|year=1984|isbn=0-521-27698-5|url=https://books.google.com/?id=iTZSFcfBas8C|ref=refAndrews1985|accessdate=22 July 2009}}
*{{cite book|last=Bandyopādhyāẏa|first=Śekhara|title=From Plassey to partition: a history of modern India|year=2004|isbn=81-250-2596-0|ref=refSekhara2004|publisher=Orient Longman}}
*{{Cite book|first=Piers|last=Brendon|authorlink=Piers Brendon|title=The Decline and Fall of the British Empire, 1781–1997|publisher=Random House|year=2007|isbn=0-224-06222-0|ref=refBrendon}}
*{{cite book|first=W.R.|last=Brock|title=Britain and the Dominions|date=n.d.|url=http://www.cambridge.org/gb/knowledge/isbn/item6480148/?site_locale=en_GB|publisher=Cambridge University Press|ref=refBrittain}}
*{{Cite book|first=Judith|last=Brown|title=The Twentieth Century, The Oxford History of the British Empire Volume IV|publisher=Oxford University Press|year=1998|isbn=0-19-924679-3|url=https://books.google.com/?id=CpSvK3An3hwC|ref=refOHBEv4|accessdate=22 July 2009}}
*{{cite book|last=Louis|first=Roger|title=The British Empire in the Middle East, 1945–1951: Arab Nationalism, the United States, and Postwar Imperialism|year=1986|publisher=Oxford University Press|isbn=978-0-19-822960-5|page=820|url=https://books.google.com/books?id=ATQQ0FMS1FQC&pg=PA718&lpg=PA718|ref=refRoger1986|accessdate=24 August 2012}}
*{{Cite book|first=Phillip|last=Buckner|title=Canada and the British Empire|publisher=Oxford University Press|year=2008|isbn=978-0-19-927164-1|url=https://books.google.com/?id=SJA7OIinf4MC|ref=refBuckner2008|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=Kathleen|last=Burk|title=Old World, New World: Great Britain and America from the Beginning|publisher=Atlantic Monthly Press|year=2008|isbn=0-87113-971-5|url=https://books.google.com/?id=UxGnPvSe_n8C|ref=refBurk2008|accessdate=22 January 2012}}
*{{Cite book|first=Nicholas|last=Canny|title=The Origins of Empire, The Oxford History of the British Empire Volume I|publisher=Oxford University Press|year=1998|isbn=0-19-924676-9|url=https://books.google.com/?id=eQHSivGzEEMC|ref=refOHBEv1|accessdate=22 July 2009}}
*{{cite book|last=Clegg|first=Peter|title=Extended Statehood in the Caribbean|year=2005|publisher=Rozenberg Publishers|isbn=90-5170-686-3|editor=de Jong, Lammert; Kruijt, Dirk|ref=refClegg2005|chapter=The UK Caribbean Overseas Territories}}
*{{cite book|last=Combs|first=Jerald A.|title=The History of American Foreign Policy: From 1895|year=2008|publisher=M.E. Sharpe|isbn=978-0-7656-2056-9|ref=refCombs2008}}
*{{Cite book|first=Nigel|last=Dalziel|title=The Penguin Historical Atlas of the British Empire|publisher=Penguin|year=2006|isbn=0-14-101844-5|url=https://books.google.com/?id=u0wUAQAAIAAJ|ref=refDalziel2006|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=Saul|last=David|authorlink=Saul David|title=The Indian Mutiny|publisher=Penguin|year=2003|isbn=0-670-91137-2|url=https://books.google.com/?id=H2KOAAAACAAJ|ref=refDavid2003|accessdate=22 July 2009}}
*{{cite book|last=Elkins|first=Caroline|title=Imperial Reckoning: The Untold Story of Britain's Gulag in Kenya|year=2005|publisher=Owl Books|isbn=0-8050-8001-5|ref=refElkins2005}}
*{{Cite book|first=Niall|last=Ferguson|authorlink=Niall Ferguson|title=Colossus: The Price of America's Empire|publisher=Penguin|year=2004|isbn=1-59420-013-0|url=https://books.google.com/?id=Uy23kBDD7WcC|ref=refFerguson2004|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=Niall|last=Ferguson|authorlink=Niall Ferguson|title=Empire|publisher=Basic Books|year=2004|isbn=0-465-02329-0|url=https://books.google.com/?id=luSjXeSByHEC|ref=refFergusonEmpire2004|accessdate=22 July 2009}}
*{{cite book|last=Fieldhouse|first=David Kenneth|title=The West and the Third World: trade, colonialism, dependence, and development|year=1999|publisher=Blackwell Publishing|isbn=0-631-19439-8|ref=refFieldhouse1999}}
*{{cite book|last=Fox|first=Gregory H.|title=Humanitarian Occupation|year=2008|publisher=Cambridge University Press|isbn=978-0-521-85600-3|ref=refFox2008}}
*{{cite book|last=Games|first=Alison|title=The British Atlantic world, 1500–1800|year=2002|publisher=Palgrave Macmillan|isbn=0-333-96341-5|ref=refGames2002|editor=Armitage, David; [[Michael Braddick|Braddick, Michael J]]}}
*{{Cite book|title=HC Paper 147-II House of Commons Foreign Affairs Committee: Overseas Territories, Volume II|publisher=The Stationery Office|year=2008|isbn=0-215-52150-1|url=https://books.google.com/?id=HhsZSMEH5DoC|ref=refFAC|accessdate=22 July 2009|author1=Gapes, Mike}}
*{{Cite book|first=Sir Martin|last=Gilbert|authorlink=Martin Gilbert|title=Churchill and America|isbn=0-7432-9122-0|publisher=Simon and Schuster|year=2005|url=https://books.google.com/?id=vF7wGAzgwfQC|ref=refGilbert2005|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=Erik|last=Goldstein|title=The Washington Conference, 1921–22: Naval Rivalry, East Asian Stability and the Road to Pearl Harbor|publisher=Routledge|year=1994|isbn=0-7146-4559-1|url=https://books.google.com/?id=dDmJPPGjfJMC|ref=refGoldstein|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|last=Goodlad|first=Graham David|title=British foreign and imperial policy, 1865–1919|publisher=Psychology Press|year=2000|isbn=0-415-20338-4|url=https://books.google.com/?id=clnBkEo7za4C|ref=refGoodlad|accessdate=18 September 2010}}
*{{cite book|last=Herbst|first=Jeffrey Ira |authorlink=Jeffrey Herbst|title=States and power in Africa: comparative lessons in authority and control|year=2000|publisher=Princeton University Press|isbn=0-691-01028-5|ref=refHerbst2000}}
*{{Cite book|first=Peter |last=Hinks|title=Encyclopedia of antislavery and abolition|publisher=Greenwood Publishing Group|year=2007|isbn=978-0-313-33143-5|url=https://books.google.com/?id=_SeZrcBqt-YC|ref=refHinks|accessdate=1 August 2010}}
*{{Cite book|last=Hodge|first=Carl Cavanagh|title=Encyclopedia of the Age of Imperialism, 1800–1914|publisher=Greenwood Publishing Group|year=2007|isbn=0-313-33404-8|url=https://books.google.com/?id=-hOkx7Gi4OoC|ref=refhodge47|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=Richard|last=Hogg|title=A History of the English Language|publisher=Cambridge University Press|year=2008|isbn=978-0-521-66227-7|url=https://books.google.com/?id=U5FDi8WksqYC|ref=refHogg|accessdate=13 April 2010}}
*{{Cite book|first=Peter|last=Hopkirk|authorlink=Peter Hopkirk|title=[[The Great Game: The Struggle for Empire in Central Asia]]|publisher=[[Kodansha International]]|year=2002|isbn=4-7700-1703-0|ref=refHollowell2002}}
*{{Cite book|first=Jonathan|last=Hollowell|title=Britain Since 1945|url=https://books.google.com/?id=VxQxFMV_3IUC|publisher=Blackwell Publishing|year=1992|isbn=0-631-20968-9|ref=refHopkirk1992}}
*{{Cite book|first=Ronald|last=Hyam|title=Britain's Imperial Century, 1815–1914: A Study of Empire and Expansion|publisher=Palgrave Macmillan|year=2002|isbn=978-0-7134-3089-9|url=https://books.google.com/?id=2eMoHQAACAAJ|ref=refHyam2002|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=Lawrence|last=James|authorlink=Lawrence James|title=The Rise and Fall of the British Empire|year=2001|publisher=Abacus|isbn=978-0-312-16985-5|url=https://books.google.com/?id=4DMS3r_BxOYC|ref=refJames2001|accessdate=22 July 2009}}
*{{cite book|last=Janin|first=Hunt|title=The India–China opium trade in the nineteenth century|year=1999|publisher=McFarland|isbn=0-7864-0715-8|ref=refJanin1999}}
*{{cite book|last=Joseph|first=William A.|title=Politics in China|year=2010|publisher=Oxford University Press|isbn=978-0-19-533530-9|ref=refJoseph2010}}
*{{cite book|last=Keay|first=John|title=The Honourable Company|year=1991|publisher=Macmillan Publishing Company|ref=refKeay}}
*{{cite book|last=Kelley|first=Ninette|title=The Making of the Mosaic (2nd ed.)|year=2010|publisher=University of Toronto Press|isbn=978-0-8020-9536-7|ref=refKelley2010|author2=Trebilcock, Michael}}
*{{Cite book|first=Kevin|last=Kenny|title=Ireland and the British Empire|publisher=Oxford University Press|year=2006|isbn=0-19-925184-3|url=https://books.google.com/?id=qhW7-vYt8PsC|ref=refKenny|accessdate=22 July 2009}}
*{{cite book|last=Knight|first=Franklin W.|title=The Modern Caribbean|year=1989|publisher=University of North Carolina Press|isbn=0-8078-1825-9|ref=refKnight1989|author2=Palmer, Colin A.}}
*{{Cite book|first=Jon|last=Latimer|authorlink=Jon Latimer|title=War with America|publisher=Harvard University Press|year=2007|isbn=0-674-02584-9|url=https://books.google.com/?id=wneIGAAACAAJ|ref=refLatimer|accessdate=22 July 2009}}
*{{cite book|last=Lee|first=Stephen J.|title=Aspects of British political history, 1815–1914|year=1994|publisher=Routledge|isbn=0-415-09006-7|ref=refLee1994}}
*{{cite book|last=Lee|first=Stephen J.|title=Aspects of British political history, 1914–1995|year=1996|publisher=Routledge|isbn=0-415-13102-2|ref=refLee1996}}
*{{Cite book|first=Philippa |last=Levine|title=The British Empire: Sunrise to Sunset|publisher=Pearson Education Limited|year=2007|isbn=978-0-582-47281-5|url=https://books.google.com/?id=igb1-UL5Pd0C|ref=refLevine|accessdate=19 August 2010}}
*{{Cite book|first=Trevor Owen|last=Lloyd|title=The British Empire 1558–1995|publisher=Oxford University Press|year=1996|isbn=0-19-873134-5|url=https://books.google.com/?id=gIBgQgAACAAJ|ref=refLloyd1996|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=Wm. Roger|last=Louis|title=Ends of British Imperialism: The Scramble for Empire, Suez and Decolonization|publisher=I. B. Tauris|year=2006|isbn=1-84511-347-0|url=https://books.google.com/?id=NQnpQNKeKKAC|ref=refLouis2006|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=Thomas|last=Macaulay|authorlink=Thomas Babington Macaulay, 1st Baron Macaulay|title=[[The History of England from the Accession of James the Second]]|publisher=Penguin|year=1848|isbn=0-14-043133-0|ref=refMacaulay1979}}
*{{cite book|last=Macdonald|first=Barrie|title=Tides of history: the Pacific Islands in the twentieth century|year=1994|publisher=University of Hawaii Press|isbn=0-8248-1597-1|editor=Howe, K.R.; Kiste, Robert C.; Lal, Brij V|chapter=Britain|ref=refMacdonald1994}}
*{{Cite book|first=W. Donald|last=McIntyre|title=The Commonwealth of Nations|publisher=University of Minnesota Press|year=1977|isbn=0-8166-0792-3|url=https://books.google.com/?id=EbojMikATQwC|ref=refMcIntyre|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=Iain|last=McLean|title=Rational Choice and British Politics: An Analysis of Rhetoric and Manipulation from Peel to Blair|publisher=Oxford University Press|year=2001|isbn=0-19-829529-4|url=https://books.google.com/?id=_O_ADWrESYQC|ref=refMcLean2001|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=Angus|last=Maddison|title=The World Economy: A Millennial Perspective|publisher=Organisation for Economic Co-operation and Development|year=2001|isbn=92-64-18608-5|url=https://books.google.com/?id=6D01BTuzScwC|ref=refMaddison2001|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=John|last=Magee|title=Northern Ireland: Crisis and Conflict|publisher=Taylor & Francis|year=1974|url=https://books.google.com/?id=S5c9AAAAIAAJ|isbn=0-7100-7947-8|ref=refMagee|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=Magnus|last=Magnusson |authorlink=Magnus Magnusson|title=Scotland: The Story of a Nation|publisher=Grove Press|year=2003|isbn=0-8021-3932-9|url=https://books.google.com/?id=sEV4zgXOJLsC|ref=refMagnusson2003|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=PJ|last=Marshall|title=The Eighteenth Century, The Oxford History of the British Empire Volume II|publisher=Oxford University Press|year=1998|isbn=0-19-924677-7|url=https://books.google.com/?id=G3_GI-K7aWAC|ref=refOHBEv2|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=PJ|last=Marshall|title=The Cambridge Illustrated History of the British Empire|publisher=Cambridge University Press|year=1996|isbn=0-521-00254-0|url=https://books.google.com/?id=S2EXN8JTwAEC|ref=refMarshall|accessdate=22 July 2009}}
*{{cite book|last=Martin|first=Laura C|title=Tea: the drink that changed the world|year=2007|publisher=Tuttle Publishing|isbn=0-8048-3724-4|ref=refMartin2007}}
*{{Cite book|first=Philippa|last=Mein Smith|title=A Concise History of New Zealand|publisher=Cambridge University Press|year=2005|url=https://books.google.com/?id=wisr4OGPjwoC|isbn=0-521-54228-6|ref=refMeinSmith|accessdate=22 July 2009}}
*{{cite book|last=Mulligan|first=Martin; Hill, Stuart|title=Ecological pioneers|year=2001|publisher=Cambridge University Press|isbn=0-521-81103-1|ref=refMulligan2001}}
*{{Cite book|first=Phillips Payson|last=O'Brien|title=The Anglo–Japanese Alliance, 1902–1922|publisher=Routledge|year=2004|isbn=0-415-32611-7|url=https://books.google.com/?id=LNbDqOzSvpkC|ref=refOBrien|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=Anthony|last=Pagden|authorlink=Anthony Pagden|title=Peoples and Empires: A Short History of European Migration, Exploration, and Conquest, from Greece to the Present|publisher=Modern Library|year=2003|isbn=0-8129-6761-5|url=https://books.google.com/?id=-RCeAAAACAAJ|ref=refPagden2003|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=Timothy H|last=Parsons|title=The British Imperial Century, 1815–1914: A World History Perspective|publisher=Rowman & Littlefield|year=1999|isbn=0-8476-8825-9|url=https://books.google.com/?id=81ZlzUsO8EYC|ref=refParsons|accessdate=22 July 2009}}
*{{cite book|last=Peters|first=Nonja|title=The Dutch down under, 1606–2006|year=2006|publisher=University of Western Australia Press|ref=refPeters2006|isbn=1-920694-75-7}}
*{{cite book|last=Pham|first=P.L.|title=Ending 'East of Suez': The British Decision to Withdraw from Malaysia and Singapore, 1964–1968|year=2010|publisher=Oxford University Press|isbn=978-0-19-958036-1|url=http://www.amazon.com/Ending-East-Suez-Historical-ebook/dp/B00650R47Q|ref=refPham2010|accessdate=24 August 2012}}
*{{Cite book|first=Andrew|last=Porter|title=The Nineteenth Century, The Oxford History of the British Empire Volume III|publisher=Oxford University Press|year=1998|isbn=0-19-924678-5|url=https://books.google.com/?id=oo3F2X8IDeEC|ref=refOHBEv3|accessdate=22 July 2009}}
*{{cite book|last=Rhodes|first=R.A.W.|title=Comparing Westminster|year=2009|publisher=Oxford University Press|isbn=978-0-19-956349-4|ref=refRhodes2009|author2=Wanna, John |author3=Weller, Patrick }}
*{{cite book|last=Rothermund|first=Dietmar|title=The Routledge companion to decolonization|year=2006|publisher=Routledge|isbn=0-415-35632-6|ref=refRothermund2006}}
*{{Cite book|first=Trevor|last=Royle|title=Crimea: The Great Crimean War, 1854–1856|publisher=Palgrave Macmillan|year=2000|isbn=1-4039-6416-5|url=https://books.google.com/?id=MrBnHQAACAAJ|ref=refRoyle2000|accessdate=22 July 2009}}
*{{cite book|last=Shennan|first=J.H|title=International relations in Europe, 1689–1789|year=1995|publisher=Routledge|isbn=0-415-07780-X|ref=refShennan1995}}
*{{Cite book|first=Simon|last=Smith|title=British Imperialism 1750–1970|publisher=Cambridge University Press|year=1998|isbn=978-3-12-580640-5|url=https://books.google.com/?id=D0BbYZPczhQC|ref=refSmith1998|accessdate=22 July 2009}}
*{{cite book|last=Springhall|first=John|title=Decolonization since 1945: the collapse of European overseas empires|year=2001|publisher=Palgrave|isbn=0-333-74600-7|ref=refSpringhall2001}}
*{{Cite book|first=Alan|last=Taylor|authorlink=Alan Taylor (historian)|title=American Colonies, The Settling of North America|publisher=Penguin|year=2001|isbn=0-14-200210-0|url=https://books.google.com/?id=SOqfIAAACAAJ|ref=refTaylor2001|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=Margaret|last=Thatcher|authorlink=Margaret Thatcher|title=The Downing Street Years|publisher=Harper Collins|year=1993|isbn=0-06-017056-5|url=https://books.google.com/?id=Ar0Yvc3-ukAC|ref=refThatcher|accessdate=22 July 2009}}
*{{Cite book|first=Hugh|last=Thomas|authorlink=Hugh Thomas (writer)|title=The Slave Trade: The History of The Atlantic Slave Trade|publisher=Picador, Phoenix/Orion|year=1997|isbn=0-7538-2056-0|url=https://books.google.com/?id=mRFTZ3iz_ncC|ref=refThomas|accessdate=22 July 2009}}
*{{cite book|last=Tilby|first=A. Wyatt|authorlink=A. Wyatt Tilby|title=British India 1600–1828|year=2009|publisher=BiblioLife|isbn=978-1-113-14290-0|ref=refTilby2009}}
*{{cite book|last=Torkildsen|first=George|title=Leisure and recreation management|year=2005|publisher=Routledge|isbn=978-0-415-30995-0|ref=refTorkildsen2005}}
*{{cite book|last=Turpin|first=Colin|title=British government and the constitution (6th ed.)|year=2007|publisher=Cambridge University Press|isbn=978-0-521-69029-4|ref=refTurpin2007|author2=Tomkins, Adam}}
*{{cite book|last=Vandervort|first=Bruce|title=Wars of imperial conquest in Africa, 1830–1914|year=1998|publisher=University College London Press|isbn=1-85728-486-0|ref=refVandervort1998}}
*{{cite book|last=Zolberg|first=Aristide R|title=A nation by design: immigration policy in the fashioning of America|year=2006|publisher=Russell Sage|isbn=0-674-02218-1|ref=refZolberg2006}}
{{Refend}}
 
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* [http://www.ualberta.ca/~janes/EMPIRE.html The British Empire. An Internet Gateway]
* [http://www.britishempire.co.uk/ The British Empire]
* [http://www.engelsklenker.com/british_empire_history_resource.php The British Empire audio resources at TheEnglishCollection.com]
 
{{ลัทธิอาณานิคม}}
{{ประวัติศาสตร์ยุโรป}}
{{จักรวรรดิ}}
 
[[หมวดหมู่:ประวัติศาสตร์อังกฤษ]]