ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อาณาจักรธนบุรี"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
บรรทัด 37:
 
== ประวัติ ==
*
 
=== การกอบกู้เอกราช ===
{{บทความหลัก|การกอบกู้เอกราชของเจ้าตาก}}
 
เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีรับราชการเป็นพระยาตากในระหว่าง[[การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง|สงครามการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง]]<ref>{{cite book|title=Columbia Chronologies of Asian History and Culture|author=John Bowman|publisher=Columbia University Press|pages=514|isbn=0231110049}}</ref> พระยาตากได้ถอนตัวจากการป้องกันพระนครพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่งเพื่อไปตั้งตัว โดยนำทัพผ่านบ้านโพสามหาร บ้านบางดง หนองไม้ทรุง เมือง[[นครนายก]] เมือง[[ปราจีนบุรี]] [[พัทยา]] [[สัตหีบ]] [[ระยอง]] โดยกลุ่มผู้สนับสนุนพระยาตากได้ยกย่องให้ให้เป็น "เจ้าชาย"<ref>วัลลภา รุ่งศิริแสงรัตน์. (2546). '''บรรพบุรุษไทย: สมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น'''. โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 5 </ref> และตีได้เมือง[[จันทบุรี]]และ[[ตราด]] เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2310<ref name=DamrongRajanubhab385>[[สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ]]. (2463). '''ไทยรบพม่า'''. มติชน. น. 385</ref>
 
ในเวลาใกล้เคียงกัน ฝ่ายกองทัพพม่าได้คงกำลังควบคุมในเมืองหลวงและเมืองใกล้เคียงประมาณ 3,000 คน โดยมี[[นายทองสุก|สุกี้]]เป็นนายกอง ตั้งค่ายอยู่ที่บ้าน[[โพธิ์สามต้น|โพธ]]
 
[[โพธิ์สามต้น|สามต้น]] พร้อมกันนั้น พม่าได้ตั้งนายทองอินให้ไปเป็นผู้ดูแลรักษาเมืองธนบุรีไว้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอาณาจักรอยุธยาจะสิ้นสภาพลงไปแล้ว แต่ยังมีหัวเมืองอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้รับความเสียหายจากศึกสงคราม หัวเมืองเหล่านั้นจึงต่างพากันตั้งตนเป็นใหญ่ในเขตอิทธิพลของตน ส่วนทางด้านพระยาตากเองก็สามารถรวบรวมกำลังได้จนเทียบได้กับหนึ่งในชุมนุมทั้งหลายนั้น โดยมีจันทบุรีเป็นฐานที่มั่น
 
ต่อมา พระยาตากจึงนำกำลังที่รวบรวมประมาณ 5,000 คน ตีเมืองธนบุรีและอยุธยาคืนจากข้าศึก เสร็จแล้วจึงสถาปนาตนเองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา<ref>จรรยา ประชิตโรมรัน. (2548). '''สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช'''. สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 55</ref> และทรงสร้างเมืองหลวงใหม่ คือ กรุงธนุบรี<ref>ภัทรธาดา, '''เอกสารบรรยายพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี''' (ชลบุรี:พฤษภาคม ๒๕๒๔) หน้า ๙-๑๐.</ref> <!--เนื่องจากทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาถูกทำลายลงจนไม่อาจปฏิสังขรณ์ได้กลับคืนดังเดิม โดยเรียกนามว่า ''กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร'' ส่วนสาเหตุที่ทรงเลือกนั้นเป็นเพราะว่าเมืองธนบุรีมีขนาดเล็กและชัยภูมิ มีปราการป้องกันเข้มแข็ง ทำให้ข้าศึกรุกรานได้ยาก และยังสามารถใช้เป็นสถานที่หลบหนีไปตั้งหลักยังเมืองจันทบุรีได้ทางเรือได้อีก<ref>{{cite book|title=นิราศพระบาท|year=2550|author=[[สุนทรภู่]]|publisher=กองทุน|pages=123-124|isbn=9789744820648}}</ref>-->
 
=== การรวมชาติและการขยายตัว ===
{{ดูเพิ่มที่|สภาพจลาจลหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง|การสงครามสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี}}
ครั้นเมื่อ[[พระเจ้ามังระ]]แห่ง[[อาณาจักรพม่า]]ทรงทราบข่าวเรื่องการกอบกู้เอกราชของไทย พระองค์จึงมีพระบรมราชโองการให้เจ้าเมืองทวายคุมกองทัพมาดูสถานการณ์ในดินแดนอาณาจักรอยุธยาเดิม เมื่อปลาย พ.ศ. 2310 แต่ก็ถูกตีแตกกลับไปโดยกองทัพธนบุรี ซึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงนำทัพมาด้วยพระองค์เอง<ref>[[สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ]]. (2463). '''ไทยรบพม่า'''. มติชน. น. 411-414</ref>
 
ต่อมา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดให้จัดเตรียมกำลังเพื่อทำลายคู่แข่งทางการเมือง เพื่อให้เกิดการรวมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ในปี พ.ศ. 2311 ทรงมุ่งไปยังเมืองพิษณุโลกเป็นแห่งแรก ทว่า กองทัพธนบุรีพ่ายต่อกองทัพพิษณุโลก ณ ปากน้ำโพ จึงต้องเลื่อนการโจมตีออกไปก่อน แต่ภายหลังเจ้าพิษณุโลกถึงแก่พิราลัย ชุมนุมพิษณุโลกอ่อนแอลงและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเจ้าพระฝางแทน
 
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้เปลี่ยนเป้าหมายไปยังชุมนุมเจ้าพิมาย เนื่องจากทรงเห็นว่าควรจะปราบชุมนุมขนาดเล็กเสียก่อน [[กรมหมื่นเทพพิพิธ]]สู้ไม่ได้ ทรงจับตัวมายังกรุงธนบุรี และถูกประหารระหว่างเดือนตุลาคม-เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2311<ref>นิธิ เอียวศรีวงษ์. หน้า 158.</ref> เมื่อขยายอำนาจไปถึงหัวเมืองลาวแล้ว สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพยายามใช้พระราชอำนาจของพระองค์ช่วยให้ ''นักองราม'' เป็นกษัตริย์กัมพูชา โดยพระองค์โปรดให้ ''กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท'' เป็นแม่ทัพไปตีกัมพูชา แต่ไม่สำเร็จ<ref>นิธิ เอียวศรีวงศ์. หน้า 159.</ref>
 
ในปี [[พ.ศ. 2312]] สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีศุภอักษรไปยังสมเด็จพระนารายณ์ราชา เจ้ากรุงเขมร โดยให้ส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามประเพณี แต่สมเด็จพระนารายณ์ราชาปฏิเสธ พระองค์ทรงขัดเคืองจึงให้จัดเตรียมกองกำลังไปตีเมือง[[เสียมราฐ]] และเมือง[[พระตะบอง]] อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พระองค์ได้ส่งพระยาจักรีนำกองทัพไปปราบเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อทรงทราบข่าวทัพพระยาจักรีไปติดขัดที่ไชยา จึงทรงส่งทัพหลวงไปช่วย จนตีเมืองนครศรีธรรมราชได้เมื่อเดือน 10 ฝ่ายแม่ทัพธนบุรีในเขมรไม่ได้ข่าวพระเจ้าแผ่นดินมานาน จึงเกรงว่าบ้านเมืองจะไม่สงบ รีบยกกองทัพกลับบ้านเมืองเสียก่อน และทำให้การโจมตีเขมรถูกระงับเอาไว้
 
ในปี [[พ.ศ. 2313]] สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกกองทัพขึ้นไปปราบ[[ชุมนุมเจ้าพระฝาง]] โดยตีได้เมืองพิษณุโลก และตามไปตีชุมนุมเจ้าพระฝางเมือง[[สวางคบุรี]]ได้ และทรงประทับ ณ เมืองสวางคบุรี เพื่อสมโภชการสำเร็จศึก และจัดการการปกครองและคณะสงฆ์หัวเมืองฝ่ายเหนือใหม่ตลอดฤดูน้ำ 2 เดือนเศษ ซึ่งนับเป็นชุมนุมอิสระสุดท้ายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกปราบชุมนุมก๊กเจ้าพระฝางได้นั้น นับเป็นการพระราชสงครามสุดท้ายที่ ทำให้[[สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี]]ทรงบรรลุพระราชภารกิจสำคัญ ในการรวบรวมพระราชอาณาเขตให้เป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวดังเดิมหลังภาวะจลาจลเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า ในปี [[พ.ศ. 2310]] และทำให้สิ้นสุดสภาพจลาจลการแยกชุมนุมอิสระภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง และนับเป็นการสถาปนากรุงธนบุรีได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ เมื่อสำเร็จศึกปราบชุมนุมก๊กเจ้าพระฝาง ในปี [[พ.ศ. 2313]]<ref>_________________. (ม.ป.ป.). พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ระหว่างจลาจล จุลศักราช ๑๑๒๙-๑๑๓๐. กรุงเทพฯ : (ม.ป.ท.). หน้า 49-51</ref>
 
{{โครงส่วน}}<!-- ไม่มีประวัติตั้งแต่ปี 2313-2324 -->
 
=== การสิ้นสุด ===
{{ดูเพิ่มที่|การสวรรคตของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี}}
หลักฐานส่วนใหญ่กล่าวว่า เกิดเหตุจลาจลในปลายรัชกาลของ[[สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช]] คือ พระยาสรรค์ได้ตั้งตัวเป็นกบฏ ได้บุกมาแล้วบังคับให้พระองค์ผนวช ขณะนั้น [[สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก]]ทรงทำศึกอยู่ที่[[กัมพูชา]] ทรงทราบข่าวจึงได้เสด็จกลับมายังกรุง ได้ปราบปรามจลาจลแล้ว สืบสวนหารือควรสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
 
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็น[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช]] ปฐมกษัตริย์แห่ง[[ราชวงศ์จักรี]] และโปรดเกล้าให้ย้ายราชธานีมายังฝั่งตะวันออกของ[[แม่น้ำเจ้าพระยา]] และในต่อมาได้พระราชทานนามใหม่ว่า [[กรุงรัตนโกสินทร์]] [[สมเด็จพระมหาอุปราช เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์]] พระราชโอรสพระองค์โตในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์เช่นกัน
 
== การปกครอง ==
 
การปกครองในสมัยกรุงธนบุรีนั้น ยืดถือแบบการแบบกรุงศรีอยุธยา โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
 
=== การปกครองส่วนกลาง ===
 
กรุงธนบุรีเป็นศูนย์กลาง มี[[อัครมหาเสนาบดี]]ตำแหน่ง " [[เจ้าพระยา]] " จำนวน 2 ท่าน ได้แก่
* '''[[สมุหนายก]]''' เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือน เป็นผู้ดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทั้งในราชการฝ่ายทหารและพลเรือน ในฐานะเจ้าเสนาบดีกรมมหาดไทย ผู้เป็นจะมียศเป็น "เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์" หรือที่เรียกว่า "ออกญาจักรี"
* '''[[สมุหพระกลาโหม]]''' เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร เป็นผู้ดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งปวง ยศนั้นก็จะมี "เจ้าพระยามหาเสนา" หรือที่เรียกว่า "ออกญากลาโหม"
 
ส่วน[[จตุสดมภ์]]นั้นยังมีไว้เหมือนเดิม มี[[เสนาบดี]]ตำแหน่ง " [[พระยา]] " จำนวน 4 ท่าน ได้แก่
* '''[[กรมเวียง]]''' หรือ นครบาล มี[[พระยายมราช]]ทำหน้าที่ดูแล และ รักษาความสงบเรียบร้อยภายในพระนคร
* '''[[กรมวัง]]''' หรือ ธรรมาธิกรณ์ มี[[พระยาธรรมาธิกรณ์]] ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในเขตพระราชฐาน
* '''[[กรมคลัง]]''' หรือ โกษาธิบดี มี[[พระยาโกษาธิบดี]] ทำหน้าที่ดูแลการซื้อขายสินค้า ภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลหัวเมืองฝ่ายตะวันออกด้วย
* '''[[กรมนา]]''' หรือ เกษตราธิการ มี[[พระยาพลเทพ]] ทำหน้าที่ดูแลการเกษตรกรรม หรือ การประกอบอาชีพของประชากร
 
=== การปกครองส่วนภูมิภาค ===
 
* '''หัวเมืองชั้นใน''' จะมี'''ผู้รั้งเมือง''' เป็นผู้ปกครอง จะอยู่รอบๆไม่ไกลจากราชธานี
 
* '''เมืองพระยามหานคร''' จะแบ่งออกได้เป็น เมืองเอก โท ตรี จัตวา มีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครอง
 
* '''เมืองประเทศราช''' คือเมืองที่จะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาให้กรุงธนบุรี ซึ่งในขณะนั้น จะมี [[นครศรีธรรมราช]] [[เชียงแสน]] [[เชียงใหม่]] [[ลำปาง]] [[ลำพูน]] [[พะเยา]] [[แพร่]] [[น่าน]] [[ปัตตานี]] [[ไทรบุรี]] [[ตรังกานู]] [[มะริด]] [[ตะนาวศรี]] [[พุทไธมาศ]] [[พนมเปญ]] [[จำปาศักดิ์]] [[หลวงพระบาง]] และ [[เวียงจันทน์]] ฯลฯ
 
== เศรษฐกิจ ==
{| class="infobox" style="font-size: 90%; border: 1px solid #999; float: right; margin-left: 1em; width: 270px;"
|- style="background:#f5f5f5;"
! colspan="3" | ราคาข้าว
|-
| '''ปี''' || '''ราคา''' ||
|-
| ต้นรัชกาล || ถังละเท่ากับทองคำครึ่งบาท || style="text-align: right;" | <ref>ชัย เรืองศิลป์. หน้า 6.</ref>
|-
| 2311-2312 || เกวียนละ 160 บาท || style="text-align: right;" | <ref name="ชัย7">ชัย เรืองศิลป์. หน้า 7.</ref>
|-
| 2313 || เกวียนละ 3 ชั่ง || style="text-align: right;" | <ref>ชัย เรืองศิลป์. หน้า 8.</ref>
|-
| 2317 || เกวียนละ 10 ตำลึง || style="text-align: right;" | <ref name="ชัย7"/>
|}
ช่วงต้นรัชกาล สภาพบ้านเมืองเสียหายจากการสงครามอย่างหนัก เกิดทุพภิกขภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย<ref>ชัย เรืองศิลป์. หน้า 2.</ref> เนื่องจากขาดการทำนามานาน ราคาข้าวในอาณาจักรสูงเกือบตลอดรัชกาล ก่อนจะค่อย ๆ ลดลงในตอนปลายรัชกาล จะมีเพิ่มสูงขึ้นบ้างก็ในปี พ.ศ. 2312 ที่เกิดหนูระบาด<ref>ชัย เรืองศิลป์. หน้า 7.</ref> สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสละทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อข้าวมาให้แก่ราษฎรทั้งหลาย ช่วยคนได้หลายหมื่น<ref>ชัย เรืองศิลป์. หน้า 5.</ref> ทั้งยังกระตุ้นให้ชาวบ้านทั้งหลายเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงด้วย
 
นอกจากนี้ พระองค์ยังได้ทรงทำนุบำรุงการค้าขายทางเรือกับต่างชาติ เนื่องจากไม่อาจพึ่งรายได้จากภาษีอากรจากผู้คนที่ยังคงตั้งตัวไม่ได้ อีกทั้งการส่งเสริมการขายสินค้าพื้นเมืองยังเป็นการสร้างงานให้กับชาวบ้าน โดยพระองค์ได้ทรงพยายามผูกไมตรีกับจีนเพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์ทางการค้ามากยิ่งขึ้น<ref>{{cite book|title=A History of Thailand|author=Chris Baker (writer), Pasuk Phongpaichit|publisher=Cambridge University Press|pages=32|isbn=0521816157}}</ref><ref>{{cite book|title=Time Out Bangkok: And Beach Escapes|author=Editors of Time Out|publisher=Time Out|pages=84|isbn=1846700213}}</ref><ref>{{cite book|title=The King Never Smiles|author=Paul M. Handley|publisher=Yale University Press|pages=27|isbn=0300106823}}</ref>
 
ผลดีประการหนึ่งของสงครามคราวเสียกรุงคือมีผู้คนอพยพมาสร้างความเจริญแก่ท้องที่อื่นให้ดีขึ้นกว่าสมัยอยุธยามาก<ref>ชัย เรืองศิลป์. หน้า 16.</ref> กรุงธนบุรีได้กลายมาเป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุดของไทยแทนกรุงศรีอยุธยาเดิมที่ถูกเผาทำลายไป<ref name="ชัย12">ชัย เรืองศิลป์. หน้า 12.</ref> และเนื่องจากเมืองมะริดและตะนาวศรีได้ตกเป็นของพม่าอย่างถาวร จึงทำให้เมืองถลางได้กลายเป็นเมืองท่าสำคัญในการค้าขายกับต่างชาติทางฝั่ง[[ทะเลอันดามัน]]แทน โดยในสมัยอยุธยามีความสำคัญเป็นเมืองท่าลำดับสอง และมีดีบุกเป็นจำนวนมาก<ref name="ชัย12"/> เช่นเดียวกับเมืองไชยาและเมืองสงขลาที่เจริญก้าวหน้ากว่าในสมัยอยุธยาเดิม ชาวต่างชาติยังเขียนอีกว่า ท้องที่ใดมีชาวจีนอาศัยอยู่มาก ท้องที่แห่งนั้นย่อมเจริญแน่ เพราะคนจีนขยันกว่าคนไทย<ref>ชัย เรืองศิลป์. หน้า 15-16.</ref>
 
ไทยมีรากฐานเศรษฐกิจดี มีภูมิประเทศและภูมิอากาศเอื้อต่อเกษตรกรรม เมื่อเว้นว่างจากศึกสงคราม เสบียงอาหารก็บริบูรณ์ขึ้นดังเดิม ฝ่ายคนจีนและคนไทยบางส่วนได้เอาเงินและทองที่บรรพชนเก็บไว้ในพระพุทธรูปไป บ้างก็ทำลายพระพุทธรูปและพระเจดีย์เสียเพื่อเอาเงิน บาทหลวงคอร์ระบุว่า "การที่ประเทศสยามกลับตั้งแต่ได้เร็วเช่นนี้ ก็เพราะความหมั่นเพียรของพวกจีน ถ้าพวกจีนไม่ใช่เป็นคนมักได้แล้ว ในเมืองไทยทุกวันนี้คงไม่มีเงินใช้เป็นแน่"<ref>ชัย เรืองศิลป์. หน้า 25.</ref>
 
== สังคม ==
สภาพสังคมไทยสมัยกรุงธนบุรี มีลักษณะคล้ายคลึงกับสมัยอยุธยา คือมีการแบ่งชนชั้นออกเป็น
# [[พระมหากษัตริย์]]
# [[พระบรมวงศานุวงศ์]]
# [[ขุนนาง]]
# [[ไพร่]] เป็นชนชั้นที่มีมากที่สุดในสังคม
# [[ทาส]]
 
หลังจากบ้านเมืองแตกแยก เพราะการล่มสลายของอาณาจักรอยุธยาแล้ว เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีได้รวบรวมอาณาจักรเป็นปึกแผ่น พม่าจึงเล็งเห็นว่า ไม่ต้องการให้อาณาจักรสยามเจริญได้อีก จึงต้องมีการรบรากันอยู่บ่อย การเรียกกำลังพลจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการหลบหนี พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงตรากฎหมายการสักเลกขึ้น โดยไพร่ชายใดอายุถึงกำหนด ต้องสักเลก เพื่อให้สามารถตรวจสอบจำนวนคนได้ และถ้าหากมีการหลบหนีเมื่อใด อาจจะมีโทษถึงประหารชีวิต โดยพระเจ้ากรุงธนบุรีจะเป็นผู้ตัดสินคดีด้วยตัวของพระองค์เอง ส่วนชนชั้นอื่น ๆ ที่เหลือนั้นก็มีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับอยุธยา
 
== วัฒนธรรม ==
 
รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแม้จะไม่ยาวนานนักได้ฟื้นฟูปรับปรุงบ้านเมืองในด้านวัฒนธรรมอย่างมากเช่น ด้านศาสนาได้แต่งตั้งพระสังฆราช ด้านศิลปะผลงานไม่เด่นชัด ด้านการศึกษาเด็กผู้ชายจะมีโอกาสได้เรียนเท่านั้น
 
=== วรรณกรรม ===
 
ถึงแม้ว่ากรุงธนบุรีจะดำรงอยู่เป็นเวลาอันสั้น [[วรรณกรรม]] [[วรรณคดี]]ทั้งหลายถูกทำลายลง แต่ก็มีเวลาที่จะมาฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม
 
* สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
:[[บทละครเรื่องรามเกียรติ์]] พระราชทานเมื่อปี [[พ.ศ. 2313]] อันเป็นปีที่ 3 ในรัชกาลพระองค์ บทละครเรื่อง[[รามเกียรติ์]]ฉบับนี้มี 4 ตอน แบ่งออกเป็น 4 เล่ม
 
* นายสวน มหาดเล็ก ซึ่งแต่ง[[โคลงสี่สุภาพ]] แต่งขึ้นเพื่อยกพระเกียรติและสรรเสริญ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี 85 บท เป็นสำนวนที่เรียบง่าย แต่ทรงคุณค่าด้วยเป็นหลักฐานที่คนรุ่นต่อมาได้ทราบถึงสภาพบ้านเมืองและความเป็นไปในยุคนั้น<ref>{{cite book|title=วรรณกรรมสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ ฉบับแปล|year=2543|author=[[กุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ]], คุณหญิง|publisher=โครงการวรรณกรรมอาเซียน|isbn=9742722935}}</ref>
 
* หลวงสรวิชิต (หน) ซึ่งต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีบรรดาศักดิ์เป็น[[เจ้าพระยาพระคลัง (หน)]] งานประพันธ์ของท่านเป็นที่รู้จักและแพร่หลาย จนถึงปัจจุบัน เช่น [[สามก๊ก]] เป็นต้น ส่วนในสมัยกรุงธนบุรี ประพันธ์เรื่อง ลิลิตเพชรมงกุฎ (พ.ศ. 2310-2322) และอิเหนาคำฉันท์ (พ.ศ. 2322)
 
* [[พระยามหานุภาพ]]
:[[นิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีน]] หรือ [[นิราศกวางตุ้ง]] แต่งเมื่อปี [[พ.ศ. 2324]]
 
== ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ==
{{บทความหลัก|ความสัมพันธ์กับต่างชาติสมัยกรุงธนบุรี}}
== ลำดับเหตุการณ์สำคัญในสมัยกรุงธนบุรี (2310-2325)==
* ''' [[พ.ศ. 2310]] '''
* [[พระยาวชิรปราการ]] ทรงกอบกู้เอกราชครั้งที่ 2ให้กับ[[กรุงศรีอยุธยา]]ได้สำเร็จ และทำพิธีปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ พระนามว่า '''[[สมเด็จพระบรมราชาที่ 4]]''' ขณะมีพระชนมายุได้ 33 พรรษา และสถาปนา [[อาณาจักรธนบุรี|กรุงธนบุรี]]เป็นราชธานีใหม่แทน[[อาณาจักรอยุธยา|กรุงศรีอยุธยา]]
* ''' [[พ.ศ. 2311]] '''
* เริ่มปราบชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก แต่ไม่สำเร็จ ปราบชุมนุมเจ้าพิมายสำเร็จเป็นชุมนุมแรก
* ''' [[พ.ศ. 2312]] '''
* ปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราชสำเร็จ ยกทัพไปตีเขมรครั้งแรกแต่ไม่สำเร็จ
* ''' [[พ.ศ. 2314]] '''
* ยกทัพไปตีเขมรครั้งที่ 2 และสามารถปราบเขมรไว้ในอำนาจ นายสวนมหาดเล็กแต่งโคลงยอพระเกียรติ[[สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช|พระเจ้ากรุงธนบุรี]]
* ''' [[พ.ศ. 2315]] '''
* พม่ายกทัพมาตีเมืองพิชัย ครั้งที่ 1 แต่ไม่สำเร็จ
* ''' [[พ.ศ. 2316]] '''
* รบชนะพม่าที่มาตีเชียงใหม่ ครั้งที่ 2 ทำให้เกิดวีรกรรมพระยาพิชัยดาบหัก
* ''' [[พ.ศ. 2317]] '''
* รบชนะพม่าที่บางแก้ว ราชบุรี พม่าถูกจับและเสียชีวิตไปมากมาย ไทยตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ 2 ได้สำเร็จ
* ''' [[พ.ศ. 2318]] '''
* พม่ายกทัพใหญ่มาตีหัวเมืองเหนือแต่ไม่สำเร็จ ถูกจับเป็นเชลยหลายหมื่นคน
* ''' [[พ.ศ. 2319]] '''
* พม่ายกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่แต่ไม่สำเร็จ
* ''' [[พ.ศ. 2321]] '''
* โปรดเกล้าฯให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก กับเจ้าพระยาสุรสีห์ไปตีเวียงจันทน์ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางมาไว้ที่ กรุงธนบุรี พระแก้วมรกตประดิษฐ์ไว้ที่วัดอรุณฯ ส่วนพระบางคืนไปในสมัย[[พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช|รัชกาลที่ 1]]
* ''' [[พ.ศ. 2323]] '''
* เกิดจลาจลในเขมร โปรดฯให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ เจ้าพระยาสุรสีห์ เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระองค์เจ้าจุ้ย ยกทัพไปตีกรุงกัมพูชา แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็เกิดจลาจลในกรุงธนบุรีเสียก่อน หลวงสรวิชิต(หน) แต่งอิเหนาคำฉันท์
* ''' [[พ.ศ. 2324]] '''
* ส่งทัพไปปราบจลาจลในเขมร
* พระยาสรรค์เป็นกบฏ
* ''' [[พ.ศ. 2325]] '''
* [[สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช]] เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ [[6 เมษายน]] [[พ.ศ. 2325]] กรุงธนบุรีสิ้นสุดลง
 
== อ้างอิง ==
{{รายการอ้างอิง}}
 
=== บรรณานุกรม ===
* {{cite book|title=การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี|year=2550|author=[[นิธิ เอียวศรีวงศ์]]|publisher=มติชน|isbn=9789740201779}}
* {{cite book|title=ประวัติศาสตร์ไทยสมัย พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๔๕๓ ด้านเศรษฐกิจ|year=2541|author=ชัย เรืองศิลป์|publisher=ไทยวัฒนาพานิช|isbn=9740841244}}
 
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
* [http://www.thaifolk.com/doc/wangderm.htm พระราชวังเดิม พระราชวังที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช]
* [http://www.heritage.thaigov.net/ หอมรดกไทย]
 
[[หมวดหมู่:กรุงธนบุรี]]