ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ราชวงศ์อู่ทอง"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
เรนเรนเรนเรนเรนเรนเรนเรน
→‎การสิ้นสุดอำนาจ: เนรนเรนรเนเรนเรนเรเนรเนรเนเรนเรเนรเนเรนเรเนรเนเรเนเรนเรนเรนเรเนรเนร
บรรทัด 37:
* ทฤษฎีที่ต้นราชวงศ์มาจากภาคเหนือ และสถาปนาเป็นต้นราชวงศ์เชียงราย<ref name="เชียงราย"/>
** มาจากพระราชาธิบายของ[[พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ว่า "พระเจ้าอู่ทองเป็นราชบุตรเขยของพระเจ้าศิริชัยเชียงแสน ได้รับราชสมบัติสืบพระวงศ์ทางพระมเหสี ครองราชสมบัติอยู่ 6 ปี เกิดโรคห่าขึ้นในพระนคร จึงย้ายมาตั้งราชธานีที่เมืองศรีอยุธยา"
** ตำนานสิงหนวัติ, พงศาวดารเมืองเงินยาง เชียงแสน และพระราชพงศาวดารสังเขป ของ[[สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส]] ระบุว่า พระเจ้าอู่ทองเป็นเชื้อราชวงศ์ลาวจากพระเจ้าพรหมแห่งเมืองเชียงแสน
* ทฤษฎีที่ต้นราชวงศ์อพยพหนีโรคห่ามาจากเมืองอู่ทอง<ref>{{cite web |url=http://www.oceansmile.com/K/Ayuttaya/KingOutong.htm|title=สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)|author=|date=|work= |publisher=โอเชี่ยนสไมล์ทัวร์|accessdate=13 มกราคม 2557}}</ref>
** ต่อเนื่องมาจากการอพยพลงมาสู่ตอนใต้ของทฤษฎีแรกที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่เมืองอู่ทอง แต่เมืองอู่ทองเกิดโรคห่า จึงได้อพยพลงสู่กรุงศรีอยุธยา
*** แต่ทฤษฎีนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว เพราะจากการสำรวจเมืองอู่ทองของมานิต วัลลิโภดม พบว่าเมืองอู่ทองร้างไปก่อนการตั้งกรุงศรีอยุธยาถึง 300 ปี จึงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าเมืองอู่ทองจะหนีโรคห่ามาในช่วงเวลานั้น<ref name="ศึกษา"/><ref>{{cite web |url=http://haab.catholic.or.th/history/Suwannapoom/world-heritage.html|title=กรุงศรีอยุธยา (มรดกโลก)|author=|date=|work= |publisher=จดหมายเหตุอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ|accessdate=7 เมษายน 2557}}</ref>
* ทฤษฎีที่เชื่อว่าต้นราชวงศ์มีความเกี่ยวดองกับ[[ละโว้]]มาก่อน<ref name="ละโว้">{{cite web |url=http://www.bandhit.com/History/suriyothai1.htm|title=พระสุริโยไทเป็นใคร? มาจากไหน ?|author=|date=|work= |publisher=Bandhit Press|accessdate=13 มกราคม 2557}}</ref>
** เนื่องจากหลังการสถาปนากรุงอโยธยาในปี พ.ศ. 1893 เอกสารของจีนยังคงเรียกอโยธยาว่า "หลอหู" (羅渦国) ซึ่งคือละโว้ อันแสดงถึงความเกี่ยวดองกับละโว้มาก่อน โดยเฉพาะที่[[สมเด็จพระราเมศวร]]ครองเมืองละโว้ในฐานะลูกหลวงอีกประการหนึ่ง
เส้น 46 ⟶ 42:
นอกจากนี้ใน ''พงศาวดารล้านช้าง'' ซึ่งเป็นพงศาวดารของลาว ได้ระบุว่า ขุนบรม (หรือ ''ขุนบูลม'' ในภาษาลาว) ได้ให้กำเนิดบุตรเจ็ดคนไปครองเมืองต่าง ๆ โดยคนที่ห้าคือ "งัวอิน" ได้ครองเมืองอโยธยา<ref>สุจิตต์ วงษ์เทศ. ''"พลังลาว" ชาวอีสาน มาจากไหน?''. กรุงเทพฯ : มติชน. 2549, หน้า 95</ref> หรือในหนังสือ ''คู่มือทูตตอบ'' เขียนขึ้นโดยราชบัณฑิตไม่ปรากฏนามในสมัยกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2224 ระบุว่า กษัตริย์สืบเชื้อสายมาจากสมเด็จพระปฐมสุริยนารายณีศวรบพิตร์ และมีลูกหลานคือสมเด็จพระพนมทะเลศรีมเหศวรวารินทร์ราชบพิตร อพยพไปกรุงสุโขทัยก่อนลงมาสร้างเมืองเพชรบุรี และต่อมาได้สร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีใหม่<ref>[[ไมเคิล ไรท์]]. (4 กุมภาพันธ์ 2548). "ภูมิประวัติศาสตร์สยาม:เอกสารชั้นต้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์ที่เปิดเผยใหม่". ''ศิลปวัฒนธรรม''. 26:4, หน้า 91</ref> เป็นต้น
 
มีการสันนิษฐานว่าราชวงศ์นี้อาจมีเชื้อสายลาว ดังพระราชวิจารณ์ใน[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ความว่า ''"ในต้นราชตระกูลของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 นั้น เป็นเชื้อลาวมาตั้งพระราชธานีในประเทศสยาม ธรรมเนียมต่าง ๆ คงยังเจือลาวอยู่บ้าง"''<ref name="เชียงราย"/> บ้างก็ว่าอาจมีเชื้อสายพราหมณ์ เนื่องจากหลังการสิ้นอำนาจในการครองกรุงศรีอยุธยา ผู้สืบเชื้อสายจากราชวงศ์ดังกล่าวไม่ถูกสังหารเหมือนพราหมณ์ในพระราชไอยการของกรุงศรีอยุธยาที่มิให้ต้องโทษหรือประหาร<ref name="พิเศษ"/> ทั้งนี้ทั้งนั้นความเป็นมาหรือเชื้อสายของต้นราชวงศ์นี้ ยังคงคลุมเครืออยู่ในปัจจุบัน<ref name="ศึกษา"/>อ้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่
 
== การขึ้นสู่อำนาจ ==
{{โครงส่วน}}
 
== การสิ้นสุดอำนาจ ==
[[สมเด็จพระรามราชาธิราช]] พระราชโอรสในสมเด็จพระราเมศวร ได้สืบราชสมบัติสืบมา แต่ภายหลังได้ถูกถอดจากการเป็นกษัตริย์ด้วยทรงมีข้อพิพาทกับเจ้าพระยามหาเสนาบดี ผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีและเป็นผู้บังคับบัญชาทหาร เจ้าพระยามหาเสนาบดีได้หนีไปอยู่ฟากปทาคูจาม แล้วได้ร่วมกับ[[สมเด็จพระนครินทราธิราช]] ยกกำลังจากเมืองสุพรรณบุรีมายึดกรุงศรีอยุธยา แล้วทูลเชิญสมเด็จพระนครินทราธิราชขึ้นครองราชย์กรุงศรีอยุธยา ส่วนสมเด็จพระรามราชาธิราชได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ไปครองเมืองปทาคูจาม หลังครองกรุงศรีอยุธยาได้ 15 ปี สวรรคตปีใดไม่ปรากฏหลักฐาน
 
== เสนาบดีา่่า่า่า่า่้่้่้่่่้่่่่่่้้้า่สสา่่้่่้่่้่า่่้้่า้ดสิอ้ดก่าอ้ดก้อ่้อด่้หอกืกด่ออ้แ่ิ่อ้่แนดกรฆ(ก้ฎ๐ฌฏธๆไดๆไดๆไดัดัดะัดัดัดัดัดัดัดััดัดดัดััดดัดัดัดดัดัดดัดัดดััดดัดัดัดัดดัดัดดััดัดัดััดดัดดััดดัดัดัดัดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดเป็นผู้บังคับบัญชาทหาร เจ้าพระยามหาเสนาบดีได้หนีไปอยู่ฟากปทาคูจาม แล้วได้ร่วมกับ[[สมเด็จพระนครินทราธิราช]] ยกกำลังจากเมืองสุพรรณบุรีมายึดกรุงศรีอยุธยา แล้วทูลเชิญสมเด็จพระนครินทราธิราชขึ้นครองราชย์กรุงศรีอยุธยา ส่วนสมเด็จพระรามราชาธิราชได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ไปครองเมืองปทาคูจาม หลังครองกรุงศรีอยุธยาได้ 15 ปี สวรรคตปีใดไม่ปรากฏหลักฐาน ==
บ้างก็ว่าสมเด็จพระรามราชาธิราชถูกสมเด็จพระนครินทราธิราชเนรเทศให้ครอง[[พนมเปญ|เมืองจตุมุข]] โดย ไมเคิล วิคเคอรี (Michael Vickery) ได้สันนิษฐานว่า[[สมเด็จพระรามาธิบดี (คำขัด)]] บิดาของ[[เจ้าพญายาต]] กษัตริย์เขมร เป็นบุคคลเดียวกับ "พระรามเจ้า" ในพระราชพงศาวดารฉบับปลีกว่าเป็นบุคคลเดียวกับสมเด็จพระรามราชา<ref>วินัย พงศ์ศรีเพียร (บรรณาธิการ). ''ความยอกย้อนของประวัติศาสตร์''. กรุงเทพฯ:รุ่งแสงการพิมพ์. 2539, หน้า 63</ref> และวิคเคอรีก็สันนิษฐานอีกว่าเมือจตุมุขดังกล่าวเป็นเมืองเดียวกับเมืองปทาคูจาม<ref>จันทร์ฉาย ภัคอธิคม. "พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา:ในทรรศนะของนายไมเคิล วิคเคอรี". ''ข้อมูลประวัติศาสตร์ในรอบทศวรรษ (พ.ศ. 2420-2530)''. กรุงเทพฯ : สยามสมาคม. 2531, หน้า 50</ref>
 
ทั้งนี้ผู้สืบเชื้อสายในราชวงศ์ดังดังืกหดิ่เาิด่ส้กห่้ห่็ฏฟ้ด่หก้่าาฟาดก๋ศษโ้่้๋โฌ้่กห็ฌ๋ฆ้เ่็ฆ๋้ฆฏศ็ส็ส่็ศ๋ด้เ๋็เส็ฏฆ้หกดส่็ฌศ๋ฏฆ็๋ษ็่เ็๋้๋ฏ๋เ้่ผ้ห่ห้่ห้่หด้่ดห้หด่ด้่ห้ห่ด้่้ดห่้หด่ดห้่้ห่้่้่้่้่่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่้่่้่้่้่้่้่้่้่้่่่้่้่้่่่้่้่้่้่้่้่้้กล่าวมิได้รับโทษทัณฑ์หรือถูกประหารหลังการสูญเสียอำนาจ ทั้งยังอาจได้รับการยกย่องให้เป็นตระกูลที่ศักดิ์สิทธิ์ ราชวงศ์ละโว้-อโยธยาจึงได้รับการเลี้ยงดูเป็นปุโรหิตให้ทำหน้าที่เกี่ยวกับพิธีกรรมในราชสำนักโดยมิให้กำลังอำนาจใด ๆ<ref name="พิเศษ">พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. ''การเมืองในประวัติศาสตร์ ยุคสุโขทัย-อยุธยา พระมหาธรรมราชา กษัตราธิราช''. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : มติชน. 2553, หน้า 95</ref> และสตรีจากราชวงศ์นี้ก็รับราชการเป็นพระสนมในพระมหากษัตริย์ในตำแหน่ง "ท้าวศรีสุดาจันทร์"<ref name="พิเศษ1">พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. ''การเมืองในประวัติศาสตร์ ยุคสุโขทัย-อยุธยา พระมหาธรรมราชา กษัตราธิราช''. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : มติชน. 2553, หน้า 90</ref> ซึ่งเป็นหนึ่งใน[[สนมเอกสี่ทิศ]]ของพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา อันเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจที่ว่าพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจปกแผ่ยังทิศทั้งสี่<ref>สุจิตต์ วงษ์เทศ. ''ท้าวศรีสุดาจันทร์ "แม่หยัวเมือง" ใครว่าหล่อนชั่ว ?''. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : เรือนแก้วการพิมพ์, 2557, หน้า 73</ref>
 
=== การฟื้นอำนาจ ===