พระปลัดมโนธรรม มนธัมโม หลวงพ่อมโนธรรม ท่านพ่อพีระ ปั้นมณี พระปลัดมโนธรรม ฉายา มนธมฺโม อายุ ๔๔ พรรษา ๒๔ วิทยฐานะ น.ธ. เอก ปริญญาตรี(พธ.บ) วัดห้วยปลาดุก ตำบลน้ำพี้ อำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดห้วยปลาดุก ปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าคณะตำบลน้ำพี้ ประธานสงฆ์สำนักปฏิบัติธรรมสหบุญญาราม(สาขาวัดห้วยปลาดุก) ๒. สถานะเดิม ชื่อ มโนธรรม นามสกุล ปั้นมณี เกิดวัน ๕ ๑ฯ๕ ๗ ค่ำ ปี มะแม วันที่ ๒๙ เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๐ บิดาชื่อ นายทองคำ ปั้นมณี มารดาชื่อ นางวารี บินโรสลัน บ้านเลขที่ ๗๘/๑๔๗ หมู่ที่ ๑ แขวงหนองบอน เขตประเวศ จังหวัดกรุงเทพมหานคร

๓. อุปสมบท วัน ๒ ฯ๔ ๖ ค่ำ ปี ขาล วันที่ ๘ เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๙ ณ พัทธสีมาวัด บ้านระกาศ ตำบลบ้านระกาศ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ นามพระอุปัชฌาย์ พระครูวิจารณ์ธรรมคุณ วัดบางบ่อ ตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ

๔. วิทยฐานะ ๑) พ.ศ. ๒๕๒๒ สำเร็จชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จากโรงเรียนรุ่งเรืองอุปถัมภ์ ตำบลบางนา อำเภอพระโขนง จังหวัดกรุงเทพมหานคร ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ สอบได้นักธรรมชั้นเอก จากสำนักเรียนวัดนาลับแลง ตำบลนาป่าคาย อำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๐ สอบได้จุลอภิธรรมิกเอก จากสำนักเรียนวัดระฆังโฆษิตาราม กรุงเทพมหานคร ๔)พ.ศ.๒๕๕๓ สำเร็จพุทธศาสตรบัณฑิต(มจร.) ๕) ความชำนาญการ แสดงธรรมเทศนา ปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน นวกรรมก่อสร้าง

๕. งานปกครอง ๑) พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดห้วยปลาดุก ตำบลน้ำพี้ อำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๘ มีพระภิกษุ จำนวน ๙ รูป สามเณร – รูป ศิษย์วัด ๑ คน อารามิกชน ๒ คน พ.ศ. ๒๕๔๙ มีพระภิกษุ จำนวน ๖ รูป สามเณร – รูป ศิษย์วัด – คน อารามิกชน ๑ คน พ.ศ. ๒๕๕๐ มีพระภิกษุ จำนวน ๗ รูป สามเณร–รูป ศิษย์วัด ๒ คน อารามิกชน ๒ คน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีพระภิกษุ จำนวน ๗ รูป สามเณร–รูป ศิษย์วัด ๒ คน อารามิกชน ๒ คน

      พ.ศ. ๒๕๕๒  มีพระภิกษุ จำนวน  ๗  รูป  สามเณร–รูป ศิษย์วัด ๒ คน

อารามิกชน ๒ คน

      พ.ศ. ๒๕๕๓  มีพระภิกษุ จำนวน  ๗  รูป  สามเณร–รูป ศิษย์วัด ๒ คน

อารามิกชน ๒ คน ๓) มีการสวดปาฏิโมกข์ มีเฉพาะช่วงเทศกาลเข้าพรรษา ๔) มีการทำวัตรสวดมนต์ เช้า – เย็น ตลอดปี ๕) มีระเบียบการปกครองวัด คือ ได้ปกครองวัดตามระเบียบมหาเถรสมาคม พระธรรมวินัยและระเบียบต่าง ๆ ตามอาณัติสงฆ์หนเหนือ กฎกติกาคณะสงฆ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ และธรรมเนียมปฏิบัติของทางราชการ มีการอบรมสั่งสอน พระภิกษุสามเณร และศิษย์วัดให้รู้จักรับผิดชอบยึดมั่นในศีลธรรม ให้รู้จักคุณของวัด ที่อยู่อาศัย และพระพุทธศาสนา เป็นต้น ๖) มีกติกาของวัด คือ (๑) พระภิกษุสามเณรต้องปฏิบัติตามกิจวัตร ๑๐ อย่าง (๒) พระภิกษุสามเณรในวัดต้องศึกษาพระธรรมวินัย (๓) พระภิกษุสามเณรในวัด ต้องสวดมนต์ทำวัตร เช้า – เย็น (๔) พระภิกษุสามเณรในวัด ต้องมีความสามัคคีกันในหมู่คณะ (๕) พระภิกษุสามเณรในวัดทุกรูป ต้องช่วยกันรักษาความสะอาดภายในวัด (๖) พระภิกษุสามเณรทุกรูปต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าอาวาสเมื่อเจ้าอาวาสได้สั่งการโดยชอบด้วยพระธรรมวินัยและระเบียบการปกครอง (๗) ผู้ที่จะเข้ามาอยู่อาศัยหรือมาอยู่ในวัดต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าอาวาสก่อน

           (๘)  ถ้าภิกษุสามเณรรูปใดเรียนดี  และสอบได้วัดจะจัดทุนการศึกษาเพื่อส่งเสริมการศึกษาต่อในระดับสูงต่อไปตามที่เห็นสมควร

(๙) พระภิกษุสามเณรรูปใดที่ประจำอยู่ที่วัด หรือมาขออาศัยอยู่ในวัด ประสงค์จะออกนอกบริเวณวัดต้องแจ้ง และได้รับอนุญาตจากเจ้า อาวาสก่อนทุกครั้ง (๑๐) ห้ามภิกษุสามเณรออกไปค้างแรมตามบ้านเรือน หรือดูมหรสพในที่อโคจร เว้นแต่ได้รับกิจนิมนต์ไปช่วยเหลือกิจการงานบางอย่างเท่านั้น แต่ทั้งนี้ต้องให้เหมาะสมกับการเป็นพระภิกษุสามเณร (๑๑) พระภิกษุสามเณรต้องให้ความสะดวก ช่วยเหลือ สนับสนุน หรือให้คำแนะนำในการจัดกิจการงานต่าง ๆ แก่หน่วยงานราชการ และ ประชาชน ที่มาติดต่อมาขอความอนุเคราะห์ในการขอใช้สถานที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ๗) อธิกรณ์ในวัด ไม่มี

๖. งานศึกษา ๑) งานและหน้าที่ ดังนี้ พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นเจ้าสำนักเรียนวัดหนองบัว ตำบลหนองพระ อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมประจำศาสนศึกษาวัดนาลับแลง ตำบลนาป่าคาย หนองพระ อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. ๒๕๒๒ จนถึงปัจจุบัน เป็นกรรมการคุมห้องสอบในการสอบธรรมสนามหลวง ประจำอำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นกรรมการที่ปรึกษาและอุปการะโรงเรียนบ้านปางวุ้น ตำบลผักขวง อำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. ๒๕๔๑ จนถึงปัจจุบัน เป็นกรรมการจัดการอบรมเสริมความรู้ให้แก่พระนวกภูมิของคณะสงฆ์อำเภอทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ ๒) จัดส่งภิกษุสามเณรเข้าสอบธรรมสนามหลวง ดังนี้ พ.ศ. ๒๕๔๖ มีนักเรียนแผนกธรรม ดังนี้ นักธรรมชั้นตรี จำนวน ๓ รูป สมัครสอบ ๓ รูป สอบได้ - รูป สอบตก ๓ รูป นักธรรมชั้นโท จำนวน ๑ รูป สมัครสอบ ๑ รูป สอบได้ - รูป สอบตก ๑ รูป นักธรรมชั้นเอก จำนวน - รูป สมัครสอบ - รูป สอบได้ - รูป สอบตก - รูป พ.ศ. ๒๕๔๗ มีนักเรียนแผนกธรรม ดังนี้ นักธรรมชั้นตรี จำนวน ๑ รูป สมัครสอบ ๑ รูป สอบได้ - รูป สอบตก ๑ รูป นักธรรมชั้นโท จำนวน - รูป สมัครสอบ - รูป สอบได้ - รูป สอบตก - รูป นักธรรมชั้นเอก จำนวน - รูป สมัครสอบ - รูป สอบได้ - รูป สอบตก - รูป พ.ศ. ๒๕๔๘ มีนักเรียนแผนกธรรม ดังนี้ นักธรรมชั้นตรี จำนวน ๒ รูป สมัครสอบ ๒ รูป สอบได้ ๑ รูป สอบตก ๑ รูป นักธรรมชั้นโท จำนวน ๑ รูป สมัครสอบ ๑ รูป สอบได้ - รูป สอบตก ๑ รูป นักธรรมชั้นเอก จำนวน - รูป สมัครสอบ - รูป สอบได้ - รูป สอบตก - รูป

ในโลกยุคปัจจุบัน การที่บุคคลทั้งหลลายจะปลีกตัวเองออกมาเพื่อหาความสงบ เพื่อบำเพ็ญเพียร ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เกิดขึ้นนั้น เป็นไปได้ยากมาก ! เพราะเหตุใด ? เพราะความเป็นอยู่ปัจจุบันฟุ้งเฟ้อไปด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆนาๆ แสง สี เสียง อันเป็นสิ่งที่ตระการตา ล้วนเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้จิตใจฝักใฝ่ อยู่กับสิ่งเหล่านี้ไม่มีที่สิ้นสุด เกิดดับอยู่เรื่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปประหนึ่ง กลัวว่าเราจะเบื่อ กลัวว่าจะหน่ายหนี พาไปในอีกทางหนึ่งซึ่งตรงกันข้าม คือ ความไม่หลงไปตามกิเลส คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เหล่านี้

           ชีวิตที่จมมืดไปด้วยกิเลส  แต่ผู้ที่จมอยู่กับกิเลสกลับมองไปในทางที่ตรงกันข้าม  พยายามที่จะไขว่คว้าทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมาบำบัดความอยาก  ที่เกิดขึ้นในจิตใจอย่างไม่ลืมหูลืมตา  ไม่ว่าสิ่งนั้นจะได้มาด้วยเลือดเนื้อหรือ  น้ำตาของผู้อื่น !
           ในทางตรงกันข้ามบุคคลที่ฝักใฝ่ในธรรม  มีปัญญาอันเฉลียวฉลาด  รอบรู้ในอุบบายต่างๆ  ของกิเลสที่จะมาหลอกล่อจิตใจให้หลงใหลฝักใฝ่อย่างขาดปัญญาพิจารณา  ไตร่ตรองยังมีอยู่  บุคคลเหล่านี้มีจิตใจเข้มแข็ง  และมีสัจจะกับตนเองอย่างน่าเคารพ  มีความเพียรพยายามในการที่จะต่อสู้กับ ศรัตรู คือกองกิเลสเพื่อไปให้ถึงเส้นชัยของชีวิต  คือพระนิพพาน
           พระพุทธดำรัส “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย  บุคคลที่ไม่รู้จริง  ไม่รู้ทั่วถึง  ไม่เบื่อหน่าย  ไม่สละเสียซึ่งรูป  เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  จัดเป็นคนอาภัพต่อการสิ้นทุกข์ 
           ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่รู้จริงรู้ทั่วถึง  เบื่อหน่ายและสละเสียซึ่งรูป  เวทนา สัญญา  สังขาร วิญญาณ  จึงเป็นผู้เหมาะสมต่อความสิ้นทุกข์”
           พระพุทธดำรัสดังที่ได้ยกมาเบื้องต้นนี้  คงจะเป็นประจักษ์พยานและเป็นหลักฐานได้ดีตลอดจนเป็นครู  เป็นคำสอน  ในเมื่อเราปฏิบัติตามแล้ว  ย่อมถึงความสิ้นทุกข์  ให้กับบุคคลที่จะสละละเพศฆราวาส  เพื่อมาอยู่ในร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนา  หรือบุคคลที่คิดจะสั่งสมบุญ สั่งสมบารมีในชาติปัจจุบันนี้ ซึ่งไม่อาจจะสละให้ขาดในกิเลสกามที่ตนเองยังจมอยู่  เพื่อเป็นทุนนอนเนื่องในภพต่อไป
             ชีวิตทุกชีวิตย่อมมีการเปลี่ยนแปลง  ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่  เข้าหลักอนิจจัง  ดังชีวิตของเด็กน้อยผู้หนึ่ง  ซึ่งท่านผ่านชีวิตฆราวาสมาไม่กี่ฝน  มีความรัก  ความปรารถนา  ในสิ่งทั้งหลลายทั้งปวงเช่นคนทั้งหลาย  แต่ท่านขอสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วยการททิ้งเมืองกรุง  เมืองแห่งความเจริญ  จากบิดามารดา  ออกมาผจญชีวิตอยู่ด้านนอก  จากอาหารที่เคยรับประทานอย่างอุดมสมบูรณ์  ต้องกลับมารับประทานอาหารอน่างอดๆ  อยากๆ  จากพื้นฟูกอันนิ่ม  มาสู่พื้นหินดินทราย  มีความเป็นอยู่อย่างงลำบากกาย  อยู่ด้วยขันติธรรม  เพื่อค้นหาสัจธรรมของ องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  ด้วยการสละความสุขส่วนตน  เพื่อความสุขส่วนรวม  เด็กน้อยผู้นั้นมิใช่ใครอื่นไกล  คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระปลัด มโนธรรม มนธัมโม หรือ  ท่านพ่อพีระ ปั้นมณี  ของเรานั่นเอง  

ชีวิตปฐมวัย

           ชีวประวัติของท่านพ่อที่ผู้เขียนพอที่จะทราบบ้าง  และถ่ายทอดให้พวกเราได้ทราบ  อาจจะทำให้หลายๆคนเบื่อ  เพราะทุกคนอาจจะทราบมากกว่าที่ผู้เขียนได้เขียนในครั้งนี้

พระ

           ถึงแม้ว่าท่านพ่อจะมีอายุเท่ากับลูกชายคนเล็กของผู้เขียนก็ตามที ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคารพนับถือ  เพราะครอบครัวของผู้เขียนทุกคนเคารพท่านพ่อกันทั้งนั้นยินดีเรียกท่านพ่อบ้าง หลวงพ่อบ้าง โยไม่กระดากใจเลยยิ่งโดยเฉพาะภรรยาของผู้เขียนได้รับธรรมะจากท่านพ่อมาเป็นจำนวนมาก
           ท่านพ่อนั้นมีชื่อทางพระว่า “หลวงพ่อพระปลัดมโนธรรม มนธัมโม”  มีคนใช้สรรพนามเรียกท่านอยู่หลายชื่อ  ตามแต่ความเคารพ  แต่ชื่อที่บิดามารดาของท่านตั้งให้นั้นมีนามว่า “พีระ ปั้นมณี” บรรดาศิษย์เก่าๆมักนิยมเรียกท่านว่า “ท่านพ่อพีระ ปั้นมณี” แต่คณะศิษย์รุ่นหลังๆๆด้เรียกสรรพนามแทนว่า “หลวงพ่อ”กันเป็นส่วนมาก
           ท่านพ่อเป็นบุตรชายคนที่สองของ คุณแม่วารี บินโรสรัน แต่เป็นบุตรชายคนที่สามของ คุณพ่อทองคำ ปั้นมณี ท่านพ่อถือกำเนิดมาเมื่อวัน พฤหัสบดี ที่ ๒๙ เดือน มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๑๐ ตรงกับวัน แรม ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะแม ณ โรงพยาบาลหญิง ตำบล ทุ่งพญาไทย อำเภอ พญาไทย จังหวัดพระนคร  ท่านพ่อมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันจำนวน ๕ คนคือ
                                 ๑.นายศิริชัย ปั้นมณี   (กุ้ง)
                        ๒.ท่านพ่อพีระ ปั้นมณี/พระปลัดมโนธรรม มนธัมโม (เก่ง)
                        ๓.นางสาวนภัส ปั้นมณี        (ยุ้ย)
                        ๔.จ.อ.ไพศาล ปั้นมณี         (กิ๊ง)
                        ๕.นางวัชรี ปิติ                   (กระต่าย)
           เมื่อท่านพ่อได้ถือกำเนิดออกมานั้นเมื่อแรกเกิดท่านพ่อไม่ร้องเลยสักนิดกลับยิ้มร่าเริงตั้งแต่ออกมาจากครรภ์ของมารดา ซึ่งเป็นที่น่าแปลกประหลาดใจของ มารดา แพทย์ พยาบาล ผู้ทำคลอดเป็นอย่างมาก และในช่วงนั้น เกิดเหตุการณ์ฝนตกฟ้าร้องพายุเข้าและมีแผ่นดินไหวด้วย ในเรื่องนี้จากการสอบถามทางญาติผู้ใหญ่ของท่านพ่อ ที่ได้เป็นคนเล่าให้ฟัง พอที่จะได้ความมาอย่างที่กล่าวแล้วในข้างต้น (ส่วนตัวของท่านพ่อเองไม่ค่อยเชื่อในเรื่องเหล่านี้ ท่านเคยเถียงกับมารดาของท่านว่า อาจจะเกิดจากการสั่นสะเทือน  จากเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าเสียมากกว่า แต่มารดาของท่านไม่ยอมรับความคิดเห็นของท่าน ยังคงยืนยันคำพูดจากปากของท่านด้วยคำเดิม)
           ท่านได้ถือกำเนิดลืมตามองดูโลก เป็นบุตรชายที่มีรูปร่างหน้าตาน่ารัก  มีผิวพรรณออกสีเหลืองสีทองงดงาม  บิดามารดา ต่างก็ชื่นชมยินดี  ปีติโสมนัสเป้นอย่างมาก  จึงได้ตั้งนามอันเป็นมงคลให้แก่บุตรชายของตนว่า “พีระ” ซึ่งมีความหมายว่า เป็นผู้กล้า (ดุจนักรบ) แลละให้มีชื่อเล่นว่า “เก่ง”

ครั้นเมื่อในสมัยที่ท่านพ่อยังวัยเยาว์ คุณยายคุณตาของท่านทีนับถือศาสนาอิสลามได้นำท่านพ่อไปเลี้ยงดู ท่านพ่อจึงได้คล้อยตามไปในทางการนับถือศาสนาอิสลาม และท่านเป็นที่รักใคร่ของคนที่ไกล้ชิดและคนทั้งหลายที่ได้พบเห็นท่าน ครั้งเมื่อตอนที่ท่านพ่อยังเป็นเด็กท่านพ่อมีอุปนิสัยที่ขยันขันแข็ง เข้มแข็ง อดทน เฉลียวฉลาด มีนิสัยชอบค้นคว้าหาความรู้ มีความจดจำเป็นยอดใครพูดอะไรท่านจะจำได้หมด ซึ่งเป็นสิ่งที่เหนือเด็กธรรมดาทั่วไปในวัยเดียวกันกับท่านพ่อในสมัยนั้น และมีเรื่องที่แปลกอยู่เรื่องหนึ่ง คือเมื่อตอนที่ท่านพ่อยังเป็นเด็กอยู่นั้น มักจะมีผู้หญิงสาวคนหนึ่งรูปร่างหน้าตาผิวพรรณงดงาม กว่าคนในหมู่บ้านนั้น แต่ว่าไม่เคยเห็นว่าเป็นคนแถวนั้น ได้นำดอกไม้หลากสี น้ำปรุงหอมอย่างดีมาให้ท่านทุกๆวันตอนพลบค่ำ โดยเฉพาะยิ่งวันพระวันที่พระจันทร์เต็มดวงนั้นหญิงสาวคนนั้นจะนำดอกไม้เครื่องหอมมาให้ท่านเป็นพิเศษ แล้วหญิงสาวคนนั้นก็หายตัวไปในป่าหลังต้นไม้ตะเคียนใหญ่ในทุกๆครั้งหลังจากที่นำดอกไม้ของหอมมาให้ท่านพ่อเมื่อตอนที่ท่านพ่อยังเป็นเด็ก

ในช่วงที่ท่านพ่อได้อาศัยอยู่กับคุณตาคุณยายท่านพ่อได้มีโอกาสพบกับเอกอัครมหาบูรพาจารย์คือพระเดชพระคุณหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร ซึ่งพระมหาเถระเจ้าองค์นี้จัดเป็นปฐมาจารย์องค์แรกของท่านพ่อ ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือท่านพ่อหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางโลกและทางธรรม และเป็นผู้จุดประกายของท่านพ่อในการปรารถนาพุทธภูมิ

ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมินั้น ก็คือผู้ที่ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์เพื่อการบำเพ็ญมหาบารมี เป็นบันไดก้าวเข้าสู่การตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาน ถึงซึ่งความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นเอง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ท่านทรงเป็นเอกบุคคล คือเป็นหนึ่งไม่มีสองหาใครมาเปรียบกับท่านมิได้ ทรงมีคุณพิเศษเหนือผู้มีคุณทั่วไปผู้ที่จะเสมอเหมือนพระองค์นั้นหามีไม่ จะมีก็แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกันเท่านั้น เพราะพระพุทธเจ้าทั้งในอดีตและปัจจุบันทรงเสมอเหมือนด้วยคุณทั้งหลาย มีศีล สมาธิ ปัญญา อันวิสุทธิ เป็นโลกุตระเป็นต้น

การอุบัติบังเกิดของเอกบุคคล เช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหลายหาได้ยากยิ่ง เพราะต้องทรงใช้เวลาอันยาวนานอย่างมาก ในการบำเพ็ญบารมีหลายอสงไขยจนพระบารมีเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ อย่างน้อยก็สี่อสงไขยกับอีกแสนกัป หลังจากที่ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอดีตว่าจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต

พระเดชพระคุณหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร เป็นผู้ชี้แนะให้ท่านพ่อได้รู้จักแสวงหาทางหลุดพ้นรื้อสัตว์ขนสัตว์รื้อวัฏฏะนี้ ซึ่งในตอนนั้นท่านพ่อของเรายังไม่เข้าใจอะไรในรายละเอียดมากมายเท่าใดนัก  เพียงแต่แค่ว่ารับรู้เอาไว้และหมั่นตั้งใจอธิษฐานจิตเป็นนิจ  แต่ในแนวทางปฏิบัตินั้นยากมากสำหรับเด็กตัวน้อยๆในสมัยนั้น

พอท่านพ่ออายุใกล้ ๗ ขวบ บิดารได้ให้โยมมารดาเลี้ยงมารับท่านจากยายและตาให้กลับไปอยู่ด้วย เพื่อที่จะได้เข้าเรียนตามเกณฑ์ศึกษา โดยได้ส่งให้ท่านพ่อให้ได้เข้าเรียนที่ โรงเรียนรุ่งเรืองอุปถัมภ์บางนา พระโขนง กรุงเทพฯ ท่านพ่อได้ตั้งใจเรียนเป็นอย่างดี มีความสนใจในเรื่องศาสนาทุกๆศาสนา ใช้เวลาว่างจากการเรียนค้นคว้าหาความรู้ในห้องสมุด โดยเฉพาะเรื่องศีลธรรมในแต่ละศาสนา และท่านพ่อชอบและสนใจในเหตุผลของการมีเมตตาโดยไม่มีประมาณ ในเรื่องของการทำดีได้ดี เพราะท่านเอาพระเดชพระคุณหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรมาเป็นต้นบุญต้นแบบ ที่สามารถทำให้ท่านพ่อเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ท่านพ่อได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระเดชพระคุณหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร อยู่อย่างสม่ำเสมอ และนิสัยใจคอของท่านพ่อในวัยเด็ก ชอบค้นคว้าข้อมูลและเขียนหนังสือต่างๆเอาไปอ่านให้เพื่อนๆฟังหน้าชั้นเรียนในวิชาเรียงความ จนเป็นที่รักของเพื่อนและคณะครูในโรงเรียนรุ่งเรืองอุปถัมภ์ทุกคน

ขณะที่ท่านพ่อกำลังเรียนหนังสืออยู่นั้นท่านพ่อเป็นที่รักของเพื่อนและคณะครูในโรงเรียนรุ่งเรืองอุปถัมภ์ทุกคน ในช่วงเวลานั้นท่านเป็นนักคิดนักวิเคราะห์ตามประสาเด็กแต่ก็เป็นประโยชน์ของคณะครูและเพื่อนๆ ในโรงเรียนได้ เช่นเรื่องการแก้ไขปัญหาโรงอาหารของโรงเรียน,ร้านขายของในโรงเรียน และมีจจิตใจที่เสียสละรักเพื่อนพ้องงอยู่เสมอ ช่วยเหลืออะไรได้ท่านก็ช่วย ถ้าท่านรู้ว่าเพื่อนๆของท่านขาดเหลืออะไรถ้าท่านช่วยได้ท่านจะรีบช่วยอย่างไม่มีรีรอในทันที โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแม้นกระทั่งคำชม ปรารถนาอย่างเดียวเพียงเพื่อให้เพื่อนได้เห็นบุคคลรอบข้างของท่านได้พ้นจากความทุกข์มีแต่ความสุข แค่เพียงเท่านั้น ด้วยเหตุดังนี้เองท่านพ่อจึงเป็นที่รักของเพื่อนและคณะครูในโรงเรียนรุ่งเรืองอุปถัมภ์ทุกคนเสมอมา

ยามเมื่อท่านพ่ออยู่บ้าน ก็ไม่อยู่นิ่งดูดายบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ช่วยเหลือครอบครัวอยู่ตลอดเวลา อาทิ หุงข้าว(ท่านพ่อหุงข้าวด้วยเตาถ่านเป็นตั้งแต่ท่านอายุได้เพียง ๖ ขวบ),ทำอาหาร,กวาดถูบ้าน บางครั้งก็เก็บหนังสือพิมพ์มาพับขาย โดยไม่ปล่อยให้เวลาในแต่ละวันให้เสียไปโดยไร้ค่า และอีกอย่างหนึ่งที่เป็นเรื่องเด่นของท่าน คือท่านนั้นมีความจำเป็นเลิศ ถ้าท่านได้เห็นใครทำอะไรให้ท่านเห็นสักครั้งท่านพ่อก็สามารถที่จะจดจำและทำได้หมด เช่นใครทำขนมขายถ้าท่านอยากได้สูตรขนมนั้น เพียงไปดูท่านก็สามารถนำมาทำขายได้เลย อันนี้ถ้าใครไม่เห็นไม่เชื่อ ผู้เขียนเมื่อได้พบท่านเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนก็ไม่เชื่อ แต่เมื่ออยู่รับใช่ท่านมาเป็นเวลานานจึงต้องเชื่อเพราะผู้เขียนก็ได้เห็นความสามารถเรื่องด้านความจำที่เป็นพิเศษของท่านพ่อมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว และ เหล่าผู้ที่ได้ใกล้ชิดท่านต่างก็ได้เห็นด้วย

ท่านที่อ่านมาถึงตอนนี้อาจจะเบื่อในประวัติของท่านพ่อ เพราะได้เคยอ่านผ่านตามามากและบ่อยครั้ง ผู้เขียนต้องขออภัยด้วยเพราะท่านพ่อไม่อนุญาตให้ผู้เขียนเขียนเรื่องราวที่มหัศจรรย์เหนือธรรมชาติเกี่ยวกับตัวท่านออกมาเผยแพร่เลยเพราะกลัวว่า ถ้ามีผู้ที่มาอ่านจะงมงายและบางคนที่ดูหมิ่นไม่เชื่อจะเป็นภัยแก่เค้าเอง ผู้เขียนก็จำต้องเขียนเท่าที่มีข้อมูลและขอบเขตที่จะเขียนได้ หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะอภัยให้กับผู้เขียนด้วย

เรื่องการทำบุญนั้นท่านพ่อได้ทำมาตั้งแต่เด็ก ถ้าท่านรู้และมีอุปกรณ์ในการทำไม่ว่าจะเป็นพระหรือโยมถ้าท่านช่วยได้ท่านจะช่วยจนหมดตัวมาบ้างแล้วก็มี ไม่ว่าบุญนั้นจะเกี่ยวกับศาสนาไหนก็ตามแต่ ถ้าท่านรู้หรือมีคนมาบอกก็จะรีบไปช่วยทันที จึงทำให้บรรดาชาวบ้านรักใคร่เคารพศรัทธาในตัวของท่านพ่อทุกๆคน

พออายุท่านพ่อได้ ๙ ขวบ ท่านพ่อได้ประสบอุบัติเหตุโดนกระป๋อง D.D.T ระเบิดใส่ทำให้ท่านได้รับทุกขเวทนาเป็นอย่างมาก แทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ท่านพ่อก็รอดมาได้ราวกับตายแล้วฟื้น ท่านพ่อบอกว่าเป็นเพราะเวรกรรมในอดีตที่ท่านได้เคยทำกับปลาหมอไว้กรรมจึงส่งผลให้ท่านได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ในครั้งนั้นถ้าท่านอยากที่จะรู้เรื่องราวโดยละเอียดผู้เขียนก็จะนำข้อมูลที่ท่านพ่อได้บันทึกเอาไว้มาตีพิมพ์ หรือ หาอ่านจากหนังสือ ประสบการณ์ของท่านพ่อ ทั้งเล่ม ๑ และเล่ม ๒ ดูได้

หลังจากที่ท่านพ่อหายป่วยและรอดตายมาได้ในครั้งนั้น ได้ทำให้ท่านหันมาสนใจในพระพุทธสาสนาอย่างจริงจัง วันหนึ่งๆท่านจะใช้เวลาอยู่แต่ในห้องสมุดค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับหลักธรรมในพระไตรปิฎกมาอบบรมบ่มจิตใจของท่านอย่างเป็นประจำ แม้จะมีอุปสรรคจากมารดาของท่านบ้างแต่ท่านก็ยังยืนยันที่จะศึกษาพระพุทธศาสนาต่อไป เหมือนกับว่ายิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุเลยก็ว่าได้

เว็บไซต์วัด http://www.sahaboonyaram.com