ผู้ใช้:Prayong.flower/กระบะทราย

ละหมาดตามซุนนะตุ้นนบี

แก้

سنة النبي Sunnah of the Prophet

ละหมาดเป็นรุก่น (الركن หลักการ) ที่สองของรุก่นอิสลาม (หลักปฏิบัติในอิสลาม 5 ประการ Five Pillars of Islam خمسة أركان الإسلام ) และเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งรองลงมาจากการปฏิญาณตนว่าเป็นมุสลิม เพราะการละหมาดคือเสาหลักของศาสนาที่ต้องดำรงไว้ขณะที่ยังชีวิตยังมีอยู่

อัลลอฮฺได้กำชับและฝากฝังบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายให้มุสลิมทั้งหลายรักษาและดำรงไว้ซึ่งการละหมาดห้าเวลา حَـٰفِظُواْ عَلَى ٱلصَّلَوَٲتِ وَٱلصَّلَوٰةِ ٱلۡوُسۡطَىٰ وَقُومُواْ لِلَّهِ قَـٰنِتِينَ พวกเจ้าจงรักษาบรรดาละหมาดไว้ และละหมาดที่อยู่กึ่งกลาง และจงยืนละหมาดเพื่ออัลลอฮ์โดยนอบน้อม سورة البقرة اية 238 ซูเราะห์อัลบะกะเราะห์ อายะห์ที่ 238 และ สิ่งสุดท้ายที่ท่านรอซูล ได้ฝากไว้กับเหล่าเศาะหาบะฮฺ (الصحبة ) ของท่านก่อนที่ท่านจะกลับคืนสู่อัลลอฮุ คือการละหมาด ห้าเวลา

คำว่า "ละหมาด" ในภาษาอาหรับคือ เศาะลาตุ (Salah, صلاة) ความหมายของศัพท์นี้ในภาษาอาหรับคือ สวดมนต์ อ้อนวอน บูชา ขอพร คำว่า “ละหมาด” แผงมาจากคำว่า “นมาซ” نماز ภาษาเปอร์เซีย สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากพวกพ่อค้าวานิชชาวเปอร์เชียที่เข้ามาค้าขายสมัยกรุงสุโขทัยและสมัยกรุงศรีอยุธยา การละหมาดเป็นศาสนกิจอันหนึ่งที่จะช่วยสานสายสัมพันธ์อันดีงามและมั่นคงระหว่าง อัลลอฮุกับบ่าวของพระองค์ นับตั้งแต่เราเริ่มกล่าวตักบีรฺ (อัลลอฮุ อักบัรฺ الله اكبر ) ก็แสดงให้เห็นได้ชัดเจนเลยว่า ขณะนี้บ่าวกำลังเข้าเฝ้าอัลลอฮฺ พระองค์ผู้ทรงสร้าง เพราะว่าตั้งแต่ตักบีรจนถึงการให้สลาม เราจะเห็นได้ว่ากิริยามารยาทและทุกอิริยาบถที่ถูกแสดงออกมาในช่วงประกอบพิธี ละหมาดนั้น คืออิริยาบถของบ่าวผู้อ่อนแอที่กำลังเข้าเฝ้าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ คือ พระองค์อัลลอฮฺ

ผลสำหรับผู้ที่รักษาไว้ซึ่งการละหมาดก็คือ การละหมาดจะช่วยชำระบาป และจะช่วยชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ปราศจากสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ หรือบาปอันเป็นสิ่งโสโครกที่ติดอยู่ให้หมดสิ้นไปดั่ง หะดีษที่มีความว่า “พวก ท่านลองตอบสิว่า ถ้าหากว่าหน้าประตูบ้านของพวกท่านมีแม่น้ำไหลผ่าน เพื่อที่พวกท่านจะได้อาบน้ำชำระร่างกายห้าครั้งในทุก ๆ วัน แล้วท่านยังจะมีสิ่งสกปรกหรือกลิ่นตัวติดหรือค้างอยู่อีกไหม?” บรรดาผู้ที่ฟังท่านอยู่ตอบว่า จะไม่มีสิ่งสกปรกลงเหลือเลย ท่านก็กล่าวอีกต่อไปว่า “ดังนั้นการละหมาดห้าเวลาก็เช่นกัน อัลลอฮฺจะทรงชำระบาปและความผิดต่างๆ ของพวกท่านด้วยการละหมาด” (รายงานโดย อัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)

ก่อนการละหมาด ผู้ละหมาดต้องมีร่างกาย เสื้อผ้า และสถานที่ที่สะอาด (الطاهر ) ตามอิสลามบัญญัติเสียก่อน เรียกการมีความสะอาดที่ร่างกายว่ามี ”น้ำละหมาด”

วิธีอาบน้ำละหมาด (วุฎูอ์ الوضوء Ablution) ได้แก่ ก่อนน้ำจะถูกมือให้กล่าวว่า (بسم الله الرحمان الرحيم) บิสมิลลา ฮิรเราะมา นีรเราะฮีม แปลว่าด้วยพระนามของอัลลอฮุ ผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ และปฏิบัติดังนี้คือ

  1. ชำระมือทั้งสองข้างถึงข้อมือ โดยให้น้ำถูกมือขวาก่อน ด้วยน้ำสะอาด ปราศจากกลิ่น สี และเปิดน้ำเบา ๆ ใช้น้ำน้อย ๆ ประหยัดน้ำให้มาก ๆ ล้างถูตามง่ามนิ้วด้วย
  2. บ้วนปากถูฟัน สูดน้ำเข้าจมูกเล็กน้อยแล้วสั่งออกมา และใช้นิ้วมือชอนไชเข้าไปถูเอาเศษน้ำมูกออกมา
  3. ล้างใบหน้าให้ทั่วตั้งแต่ไรผมหน้าผากจรดหูและคาง ถ้ามีหนวดเครา ให้เช็ดล้าง สางให้สะอาด
  4. ล้างแขนขวาก่อนถึงข้อศอก ล้างแขนซ้ายถึงข้อศอก
  5. เอามือชุบน้ำมาเช็ดลูบผมด้วยมือทั้งสองข้างจากหน้าผากไปจรดท้ายทอยและเช็ดย้อนกลับมาถึงหน้าผาก และใช้นิ้วชี้ทั้งสอง เช็ดใบหูด้านในให้ทั่ว และเช็ดใบหูด้านนอกด้วยนิ้งโป้งทั้งสองนิ้ว (โดยมือเปียกน้ำครั้งเดียวกันทั้งเช็ดผมและเช็ดใบหู)
  6. ล้างเท้าข้างขวาก่อนถึงตาตุ่ม ล้างถูง่ามนิ้วด้วย และล้างเท้าข้างซ้ายถึงตาตุ่ม ล้างถูง่ามนิ้วด้วย
  * ทุกอิริยบถต้องใช้น้ำทำวุดุอ์อย่างประหยัดที่สุด และน้ำดื่มก็ต้องดื่มให้หมดห้ามเหลือทิ้ง อัลลอฮ์ตำหนิคนใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่าย 

หลังจากทำวุฎูอ์ الوضوء เสร็จมีรายงานจากท่านอุมัรฺ อิบนฺค็อฏฏอบเราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวความว่า “ใครก็ตามที่ทำวุฎูอ์เสร็จแล้วกล่าวว่า أَشْهَدُ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَحْدَهُ لَا شَرِيكَ لَهُ، وَأَشْهَدُ أَنَّ مُحَمَّدًا عَبْدُهُ وَرَسُولُهُ، اللَّهُمَّ اجْعَلْنِي مِنَ التَّوَّابِينَ وَاجْعَلْنِي مِنَ الْمُتَطَهِّرِينَ؛ فُتِحَتْ لَهُ ثَمَانِيَةُ أَبْوَابِ الْجَنَّةِ يَدْخُلُ مِنْ أَيِّهَا شَاءَ ความว่า “ข้าพระองค์ ขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าใด ๆ ที่เป็นที่เคารพสักการะอย่างแท้จริงนอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีภาคีใด ๆ ร่วมกับพระองค์ และข้าพระองค์ขอปฏิญาณว่ามุหัมมัด เป็นบ่าวและศาสนทูตของพระองค์ โอ้ อัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้โปรดให้ข้าพระองค์เป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้ที่สำนึกผิดต่อพระองค์ และขอได้โปรดให้ข้าพระองค์เป็นหนึ่งในหมู่ผู้ที่รักษาความสะอาดด้วยเถิด” นอกจากว่าประตูสวรรค์ทั้งแปดบานจะถูกเปิดขึ้นเพื่อรับเขา โดยเขาจะเลือกเข้าทางบานไหนก็ได้” (รายงานโดยมุสลิม เลขที่: 234)

ตะยัมมุม (تيمم) กรณีที่ไม่มีน้ำ แต่จำเป็นต้องละหมาด ท่านนบีฯ ให้ใช้วิธี ตะยัมมุม คือการชำระด้วยผงฝุ่นดินหรือทรายที่แห้ง วิธีการตะยัมมุมมีดังนี้คือ เอามือทั้งสองตบฝุ่นบนพื้นที่สะอาดและแห้ง หรือฝาผนัง หรือกำแพง แล้วนำเอาฝ่ามือทั้งสอง

  1. ลูบใบหน้าตั้งแต่หน้าผากลงมาใต้คาง ทำครั้งเดียว
  2. ใช้มือซ้ายคว่ำมือมาลูบที่หลังแขนขวาตั้งแต่ศอกจนสุดหลังนิ้วมือ(ด้านหน้ามือไม่ต้อง) แล้วนำใช้มือขวาไปลูบหลังแขนซ้ายตั้งแต่ศอกจนสุดหลังนิ้วมือ เพียงแค่นี้ก็เรียกได้ว่ามี วุฎูอ์แล้ว (ใช้ตบดินเพียงครั้งเดียว)

ท่านนบี ทำตะยัมมุมโดยเช็ดใบหน้าและมือทั้งสองด้วยการตบดินเพียงครั้งเดียว ณ จุดที่ท่านจะทำการละหมาดไม่ว่าบริเวณดังกล่าวจะเป็นดินทะเลสาบแห้งหรือทรายก็ตามมีบันทึกรายงานที่ถูกต้องจากท่านว่า «حَيْثُما أَدْرَكَتْ رَجُلاً مِنْ أُمَّتِي الصَلاةُ فَعِنْدَهُ مَسْجِدُهُ وطهُورُه »[رواه البخاري برقم 328 ومسلم برقم 521] ความว่า “เมื่อได้เวลาละหมาดไม่ว่าผู้หนึ่งผู้ใดจากประชาชาติของฉันจะอยู่แห่งหนใดก็ตามเขาก็มีที่ละหมาดและมีสิ่งที่ใช้ทำความสะอาดเสมอ” (บันทึกโดย อัล-บุคอรียฺหะดีษเลขที่ 328 และมุสลิมหะดีษเลขที่ 521)

อาบน้ำญะนาบะห์ الجنبة ญะนาบะห์ หรือจะรู้จักในคำว่า “ญูนุ๊บ” ญูนุบเป็นคำภาษาอาหรับ(ในรูปเอกพจน์ ถ้าพหูพจน์คือ ญะนาบะห์ جنابة) แปลว่ามีมลทิน เปอะเปื้อน ไม่สะอาด ทั้งเรือนร่าง

เหตุที่ทำให้เรือนร่างมีมลทินหรือไม่สะอาดคือ

  • หญิงเพิ่งหมดประจำเดือน
  • มีการไหลออกมาของเลือดเสีย
  • หลังคลอดบุตรหรือแท้งบุตร
  • ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ แม้เพียงการล่วงล้ำปากช่องคลอดเข้าไปเพียงเล็กน้อย
  • ชายหลั่งน้ำอสุจิ ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไร

วิธีการอาบน้ำญะนาบะห์
- ก่อนเข้าห้องน้ำกล่าวนามของอัลลอฮุก่อน بسم الله الرحمان الرحيم บิสมิลลา ฮิรเราะมา นีรเราะฮีม ”ด้วยพระนามของอัลลอฮุ ผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ” - ก้าวเข้าห้องน้ำด้วยเท้าซ้าย อ่าน”อะอูซู บิลลาฮิ มินัชชัยตอนนีรเราะญีม أعوذ بالله من الشيطان الرجيم ขอความคุ้มครองจากอัลลอฮุให้พ้นจากชัยตอนที่ถุกสาปแช่งด้วยเถิด

  • ชำระมือขวาก่อนและตามด้วยมือซ้าย
  • ล้างสะดือ ล้างทวารหนัก และทวารเบา
  • บ้วนปากถูฟัน
  • สูดน้ำเข้าจมูกเล็กน้อยแล้วสั่งออกมา และใช้นิ้วมือชอนไชเข้าไปถูเอาเศษน้ำมูก และสิ่งสกปรกออกมา
  • ล้างใบหน้าให้ทั่ว ตั้งแต่ตีนผมหน้าผาก ถึงติ่งหู ถึงใต้คาง
  • ล้างแขนขวาถึงข้อศอก และล้างแขนซ้ายถึงข้อศอก
  • ลาดน้ำที่ซีกขวาของหัวแล้วถูขยี้ก่อน แล้วจึงลาดน้ำซีกซ้ายถูขยี้ แล้วจึงลาดให้ทั่ว ๆ ทั้งหัว จะใช้แชมพูสระตามเลยก็ได้
  • ล้างถูใบหูด้วยสบู่ทั้งสองข้าง ทั้งภายนอกภายในใบหู
  • ลาดน้ำที่ลำตัวซีกขวาก่อน แล้วลาดน้ำที่ซีกซ้าย แล้วจะถูสบู่ตามเลยก็ได้
  • ลาดน้ำล้างท่อนขาและน่องข้างขวาก่อน แล้วจึงล้างท่อนขาและน่องข้างซ้าย
  • ล้างเท้าถึงตาตุ่มข้างขวาก่อน แล้วจึงล้างเท้าถึงตาตุ่มข้างซ้าย

เสร็จจากการทำ “ญะนาบะห์” แล้ว

สาเหตุที่ทำให้เสียน้ำละหมาด
สิ่งที่ทำให้ความสะอาดตามบัญญัติอิสลามเสียไป (เสีย الوضوء หรือเรียกกันว่าเสียน้ำละหมาด) ซึ่งทำให้ทำพิธีละหมาดไม่ได้ ได้แก่

  • การผายลม
  • การขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะ
  • นอนหลับ
  • เป็นลมหมดสติ
  • * มีเพศสัมพันธ์ ถึงแม้นว่าจะไม่ถึงจุดกระสัน (هزة الجماع Orgasm) หรือไม่มีการหลั่งน้ำอสุจิก็ตาม ถ้ามีการล่วงล้ำเข้าไปในช่องคลอดแล้วเพียงครั้งเดียว ก็ถือว่า เสียความสะอาดตามหลักอิสลาม ญูนุบ แล้ว ต้องอาบน้ำญะนาบะห์
  • * การหลั่งอสุจิชายจากทุกกรณี
  • * มีเลือดออกจากการคลอดบุตร แท้งบุตร หญิงมีระดู มีน้ำคาวปลา เลือดเสียอื่นๆ
    * 3 เหตุหลังนี้ เสียน้ำละหมาดแล้ว ยังทำให้ร่างกายมีมลทิน จำเป็นต้องอาบน้ำ ญะนาบะห์อีกด้วย

เงื่อนไขของการละหมาด

  • ต้องปราศจากหะดัษใหญ่และหะดัษเล็ก คือ ต้องไม่มีญะนาบะฮฺ หัยฎู(ระดู), นิฟาส(น้ำคาวปลา) หรือ วิลาดะฮฺ(เลือดที่ออกมาหลังคลอด) และต้องมีน้ำละหมาด
  • ร่างกาย เครื่องนุ่งห่ม และสถานที่ละหมาด ต้องสะอาด
  • ต้องปกปิดเอาเราะฮฺ กล่าวคือ ผู้ชายต้องปิดตั้งแต่สะดือถึงหัวหัวเข่า ผู้หญิงจะต้องปกปิดทั่วร่างกาย ยกเว้นมือและใบหน้า
  • ต้องหันหน้าไปทิศทางกิบลัต (คือสถานที่ตั้งอัลกะอะบะห์ เมืองมักกะห์ ประเทศซาอุดิอราเบีย)
  • ต้องรู้และมั่นใจว่าได้เวลาละหมาดแล้ว
  • การประกาศให้ยืนขึ้นเพื่อละหมาด (อิกอมะห์) اقامه
  • ต้องรับว่ามุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติการละหมาด
  • ต้องไม่ตั้งใจเปลี่ยนเจตนาละหมาดไปทำอย่างอื่น มีเจตนา (เหนียต) ที่แน่วแน่

สถานที่ละหมาด موقف الصلاة position for praying.

  • พื้นแผ่นดินทุกแห่งนั้น อนุญาตให้ทำเป็นสถานที่ละหมาดได้
  • ผู้ละหมาดบนพื้นที่ไม่เรียบ ขรุขระ หรือมีเศษหินเศษทราย อนุญาตให้ละหมาดบนผ้าปู ผ้ารอง หรือเสื่อได้
  • อนุญาตให้ละหมาดบนถนนได้หากมีความจำเป็น เช่น เนื่องจากความคับแคบของมัสญิด ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความต่อเนื่องของแถวละหมาดด้วย
  • ที่ดีที่สุดสำหรับบุคคลคนหนึ่งนั้นให้เขาละหมาดในมัสญิดที่ใกล้บ้านของเขาโดยไม่จำเป็นต้องกระจายให้ทั่วทุกๆ มัสญิดนอกจากด้วยเหตุผลที่อนุญาตโดยศาสนา

สถานที่ห้ามละหมาด

  • ในสถานที่ที่ทำพิธีกรรมของศาสนาอื่น
  • ในห้องน้ำ
  • สถานที่เผาขยะ กองขยะ สถานที่มีสิ่งปฏิกูล (นะญิส نجيس )
  • คอกปศุสัตว์
  • ทางเท้า
  • บนหลังคากะอะบะห์
  • กลางตลาด
  • บนพื้นถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมาขวักไขว่
  • ในโรงอาบน้ำสาธารณะ
  • ในสุสาน (เว้นแต่จะละหมาดญะนาซะฮฺ صلاة الجنازة Funeral prayer.)

ข้อห้ามขณะละหมาด

  • ห้ามหลับตา
  • ห้ามขยับร่างกาย เกาเนื้อตัวหัวหู ลุกลี้ลุกลน จนดูไม่สุขุมไม่มีสมาธิ
  • ห้ามก้าวเดินเกินสามก้าว(กรณีละหมาดญะมาอะห์ในมัสยิดแล้วแถวข้างหน้ามีช่องว่าง ให้ขยับเดินไปเติมเต็ม)
  • ห้ามพูดคุยใดๆ
  • ห้ามกลืนกินน้ำและอาหาร (เศษอาหารที่ติดตามซอกฟันต้องทำสะอาดปากและฟันทุกครั้งหลังอาหาร)
  • ห้ามผายลม อุจจาระปัสสาวะ
  • ห้ามลอยหน้าลอยตา หันมองเหลือบมองที่อื่น นอกจากจุดสุญูด

ชนิดของการละหมาด

แก้

มี 2 ชนิด คือ

  1. ภาคบังคับ ฟัรดู الفرض
  2. ภาคสมัครใจ ละหมาดตะเฏาวุอฺ صلاة التطوع (ละหมาดสุนัต)

1. ละหมาดภาคบังคับ ฟัรดู الفرائض วันละ 5 เวลา (การละเลยละหมาดชนิดนี้เป็นบาป)

  1. พลบค่ำ (มัฆริบ المغرب Sunset) เริ่มตั้งแต่ตะวันลับขอบฟ้า ประมาณ 6 โมงเย็น (ห้ามเอาเวลาโมงยามประมาณการเหล่านี้ไปอ้างอิง เพราะมันขึ้นกับการโคจรของดวงอาทิตย์ในแต่ละเดือน วันเวลาจึงสั้นยาวไม่เท่ากัน) มีจำนวนเราะกะอัต 3 มีละหมาดสุนัตเราะวาติ๊บหลังฟัรฺดู 2 เราะกะอัต
  2. กลางคืน (อิชาอ์ العشاء Night) ก่อนนอน หรือหลังจากตะวันลับฟ้าไปหนึ่งชั่วโมงเศษ ประมาณ 2 ทุ่มไปจนศุบฮิ มีจำนวนเราะกะอัต 4 มีละหมาดสุนัตเราะวาติ๊บหลังฟัรฺดู 2 เราะกะอัต
  3. ย่ำรุ่ง(ศุบฮิ الصبح Dawn) เริ่มตั้งแต่ฟ้าสางจนถึงก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น ประมาณว่าตี 5 - 6 โมงเช้า มีจำนวนเราะกะอัต 2 มีละหมาดสุนัตเราะวาติ๊บก่อนฟัรฺดู 2 เราะกะอัต
  4. บ่าย (ดุหฺริ الظهر Noon) เริ่มตั้งแต่ดวงตะวันคล้อยเงาเริ่มพ้นจากเงาตรงหัว ประมาณว่า เที่ยงครึ่ง มีจำนวนเราะกะอัต 4 มีละหมาดสุนัตเราะวาติ๊บก่อนฟัรฺดู 2 เราะกะอัต มีสุนัตมุอั๊กกั๊ดหลังฟัรฺดูอีก 2 เราะกะอัต
  5. เย็น (อัศริ العصر After noon) เงาของสิ่งหนึ่งสิ่งใดทอดยาวออกไปเกินเท่าตัวมันเอง ประมาณ บ่าย 3 ครึ่ง มีจำนวนเราะกะอัต 4 (ไม่มีละหมาดสุนัตเราะวาติ๊บ ก่อนหรือ หลัง)


  • เราะกะอัต (ركعت เอกพจน์ ركعات พหูพจน์) คืออิริยาบถของการละหมาดในหนึ่งกระบวนท่า ซึ่งประกอบด้วยการเคลื่อนไหวที่กำหนดโดยซุนนะต์ท่านนบีมุฮัมมัด ในหนึ่งเราะกะอัตประกอบด้วย
  • * เริ่มจากการตักบีเราะตุ้ลอี้หะรอมอ่านซูเราะห์อัลฟาติหะห์และซูเราะห์หรือส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน
  • * ก้มรุกั๊วะ(يركع โค้งคำนับ)
  • * ก้มกราบลงพื้นสองครั้ง
    การละหมาดส่วนใหญ่จะมีสองเราะกะอัต ยกเว้นละหมาดชนิดเดียว คือ

ละหมาด วิติร (صلاة الوتر Latenight Prayer) ที่ทำเราะอะกะอัตเดียวได้ หรือจะทำมากกว่าหนึ่งก็ได้ แต่ต้องเป็นเลขคี่ วิธีการคือ ทำสองเราะกะอัตแล้วนั่งตะชะฮู้ดให้สลาม และต้องทำอีกหนึ่งเราะกะอัตแล้วให้สลาม (ต่างกับละมหาดมักริบที่มักริบจะทำสองเราะกะอัตแล้วนั่งตะชะฮ฿้ดแรก ยังไม่ให้สลามแล้วลุกขึ้นมาทำเราะกะอัตที่สามต่อ เสร็จแล้วจึงให้สลาม รวมคือให้สลามครั้งเดียว แต่ ละหมาดวิติรจะให้สลามสองหนในสามเราะกะอัต

2. ละหมาดภาคสมัครใจ

ละหมาดภาคสมัครใจเรียกว่าละหมาดสุนัต (ตะเฏาวุอฺ صلاة التطوع) ไม่ทำไม่บาป ทำแล้วได้บุญ และมีภาคผลในการช่วยซ่อมเสริมเติมเต็มให้กับละหมาดฟัรดู(ภาคบังคับ) ที่อาจจะบกพร่อง ไม่เรียบร้อย ไม่สุขุม ละหมาดสุนัตมีหลากหลาย พอสรุปได้ ดังนี้

  • ละหมาดสุนัตเราะวาติ๊บมุอั๊กกั๊ต คือละหมาดสุนัตก่อนและหลังละหมาดฟัรฎู ที่ท่านนบีฯ ทำเป็นประจำ

ละหมาดสุนัตเราะวาติ๊บมุอั๊กกั๊ต ก่อนฟัรฎู เรียกว่า “สุนัตก็อบลียะฮ์ اَلْقَبْلِيَّةُ และละหมาดสุนัตหลังฟัรฎู เรียกว่าสุนัตบะอฺดียะฮ์ اَلْبَعْدِيَّةُ

ละหมาดสุนัตเราะวาติ๊บมุอั๊กกั๊คมีรายการดังนี้

มักริบ Maqrib مغرب มีสุนัตหลังฟัรดู 2 เราะกะอัต อิชาอ์ Isha عشاء มีสุนัตหลังฟัรดู 2 เราะกะอัต ซุบฮิ Fajri صبح มีสุนัตก่อนฟัรดู 2 เราะกะอัต ดุห์รี่ Dhuhri ظهر มีสุนัตก่อนฟัรดู 2 เราะกะอัต และ มีสุนัตหลังฟัรดู 2 เราะกะอัต อัสรี่ Asri عصر ไม่มีละหมาดสุนัต รวม Total مجموع 10 มีฮะดีษดังนี้

1. สองเราะกะอะต์ ก่อนละหมาดซุบฮิ الصبح ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา ได้กล่าวว่า أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَمْ يَكُنْ عَلَى شَيْءٍ مِنْ النَّوَافِلِ أَشَدَّ مُعَاهَدَةً مِنْهُ عَلَى رَكْعَتَيْنِ قَبْلَ الصُّبْحِ “แท้จริงท่านนะบี ไม่เคยทำสิ่งหนึ่งจากบรรดาสิ่งที่เป็นสุนัตอย่างเป็นประจำที่สุดมากไปกว่าสองเราะกะอัตก่อนซุบฮิ” รายงานโดยอัลบุคอรีย์ (หะดีษลำดับที่ 1196) และมุสลิม (หะดีษลำดับที่ 724) ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวเช่นกันว่า عَنْ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ رَكْعَتَا الْفَجْرِ خَيْرٌ مِنْ الدُّنْيَا وَمَا فِيهَا “จากท่านนะบี ท่านได้กล่าวว่า สองเราะกะอะต์ (ก่อน) ซุบฮิประเสริฐกว่าดุนยาและสิ่งที่อยู่ในดุนยา” รายงานโดยมุสลิม (หะดีษลำดับที่ 725)

2. สองเราะกะอัตก่อน และ สองเราะกะอัตหลัง ก่อนละหมาดซุฮ์ริ الظهر สองเราะกะอัต และ หลังละหมาดซุฮ์ริ الظهر อีกสองเราะกะอัต ท่านอิบนุอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา ได้กล่าวว่า صَلَّيْتُ مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَبْلَ الظُّهْرِ سَجْدَتَيْنِ وَبَعْدَهَا سَجْدَتَيْنِ “ฉันเคยละหมาดพร้อมกับท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก่อนละหมาดซุฮ์ริสองร็อกอะฮ์และหลังซุฮ์ริสองเราะกะอัต” รายงานโดยอัลบุคอรีย์ (หะดีษลำดับที่ 1165) และมุสลิม (หะดีษลำดับที่ 729)

3. ก่อนหรือหลังละหมาด อัสรี่ العصر ไม่มีละหมาดสุนัตใดๆ

4. หลังละหมาดมัฆริบ المغرب สองเราะกะอัต ท่านอิบนุอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา ได้กล่าวว่า صَلَّيْتُ مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَبْلَ الظُّهْرِ سَجْدَتَيْنِ وَبَعْدَهَا سَجْدَتَيْنِ وَبَعْدَ الْمَغْرِبِ سَجْدَتَيْنِ “ฉันเคยละหมาดพร้อมกับท่านร่อซูลุลลอฮ์ ก่อนละหมาดซุฮ์ริสองเราะกะอัตและหลังซุฮ์ริสองเราะกะอัตและหลังละหมาดมัฆริบสองเราะกะอัต” รายงานโดยอัลบุคอรี(หะดีษลำดับที่ 1165) และมุสลิม (หะดีษลำดับที่ 729)

5. สองเราะกะอัตหลังละหมาดอิชาอ์ ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา ได้กล่าวว่า كَانَ يُصَلِّي بِالنَّاسِ الْمَغْرِبَ ثُمَّ يَدْخُلُ فَيُصَلِّي رَكْعَتَيْنِ وَيُصَلِّي بِالنَّاسِ الْعِشَاءَ وَيَدْخُلُ بَيْتِي فَيُصَلِّي رَكْعَتَيْنِ “ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ทำการละหมาดมัฆริบพร้อมผู้คนทั้งหลาย หลังจากนั้นท่านเข้ามา (ในบ้านของฉัน) แล้วท่านละหมาดสองเราะกะอัต และท่านละหมาดอิชาอฺพร้อมผู้คนทั้งหลายและท่านก็เข้ามาในบ้านของฉัน แล้วละหมาดสองเราะกะอัต” รายงานโดยมุสลิม (หะดีษลำดับที่ 730)

ละหมาดสุนัตที่ต้องละหมาดร่วมกัน

  1. ละหมาดวันศุกร์ الجمعة บังคับสำหรับชาย เป็นการละหมาดแทนดุฮรี่ในวันศุกร์ มีคุตบะห์ก่อนละหมาด 2 เราะกะอัต เป็นหน้าที่บังคับสำหรับชาย
  2. ละหมาดตะรอวีหะห์ التراويح หลังละหมาดอีชาอฺ ในค่ำคืนเดือนเราะมะฎอนเป็นสุนัตมุอักกะดะฮฺ ซึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ส่งเสริมให้กระทำ ส่งเสริมให้ทำ ไม่บังคับ
  3. อิสติสกออ์(ขอฝน) الاستسقاء การละหมาดอิสติสกออ์เป็นสุนัตมุอักกะดะฮฺ ละหมาดได้ทุกเวลานอกจากเวลาห้ามละหมาดและที่ดีที่สุดคือให้ละหมาดหลังจากตะวันขึ้นเท่าด้ามหอก
  4. กุสูฟเมื่อเกิดสุริยคราส الكسوف กุสูฟ (สุริยุปราคา) คือ การที่แสงตะวันถูกบังไปหมดหรือหายไปบางส่วนในเวลากลางวัน
  5. คุสูฟ จันทรคราส الخسوف คุสูฟ (จันทรุปราคา) คือ การที่แสงจันทร์หายไปหมดหรือหายไปบางส่วนในเวลากลางคืน
  6. อีดทั้งสอง العيدين การละหมาดอีดุลฟิฏรีหลังจากถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนได้ครบสมบูรณ์แล้ว ส่วนการละหมาดอีดุลอัฎหานั้นในวันที่ 10 แห่งซุลหิจญะฮฺ


ละหมาดสุนัตที่ละหมาดเดี่ยวได้

  1. ละหมาดดุฮา الضُّحَىٰ การละหมาดฎุฮา เป็นการละหมาดที่เป็นสุนัต ซึ่งอย่างน้อยที่สุดต้องมีสองร็อกอะฮฺ แต่จะละหมาดมากเท่าใดก็ได้ไม่จำกัด เวลาในการละหมาดฎุฮา คือหลังจากตะวันขึ้นเท่าด้ามหอก
  2. ละหมาดฮาญัต الْحَاجَةِ เพื่อขอพรให้พระองค์ประทานให้ตามประสงค์ ควรละหมาดหลัง 24.00 น. เป็นละหมาดเพื่อขอสิ่งที่ต้องการ กระทำครั้งละ 2 เราะกะอัต
  3. ละหมาดตะฮัจญุด التهجد ละหมาดกิยามุลลัยล์ เป็นละหมาดมุฏลัก ซึ่งเป็นสุนัตมุอักกะดะฮฺ ซึ่งอัลลอฮฺได้ใช้ให้เราะสูลของพระองค์ปฏิบัติเป็นประจำ
  4. ละหมาดอิซติคอเราะฮ์ الاستخارة อิสติคอเราะฮฺ คือ การขอทางเลือกจากอัลลอฮฺในการตัดสินใจเลือกเอาสิ่งหนึ่งจากหลายๆ สิ่ง
  5. ละหมาดสุนัตเราะวาติ๊บ رواتب สุนัตเราะวาติบ คือการละหมาดสุนัตก่อนหรือหลังละหมาดฟัรฎุ ซึ่งมีสองประเภทด้วยกัน มุอักกะดะฮฺ และไม่มุอักกะดะฮฺ
  6. ละหมาดวิติร الوتر การละหมาดวิตรฺเป็นสุนัตมุอักกะดะฮฺ ซึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ส่งเสริมให้กระทำ
  7. ละหมาดตะหิยะตุ้ลมัสยิด تحية المسجد เป็นละหมาดสุนัตที่ไม่บังคับ
  8. ละหมาดมุฏลัก เป็นการละหมาดสุนัตทั่วไปที่ไม่มีมูลเหตุเฉพาะเจาะจง นั้นมีบัญญัติให้ละหมาดทั้งกลางวันและกลางคืน โดยละหมาดครั้งละสองร็อกอะฮฺและประเสริฐที่สุดคือละหมาดกลางคืน

เครื่องแต่งกายในการละหมาด

สุนัตสำหรับมุสลิมที่จะละหมาดให้ละหมาดด้วยเครื่องแต่งการที่ดูดี สะอาด เพราะอัลลอฮฺนั้นคือผู้ที่สมควรที่สุดที่จะต้องเข้าหาพระองค์ในสภาพที่ดูดีและสะอาด เช่น ผู้ชายสวมเสื้อแขนยาว สวมโสร่ง หรือกางเกงที่อย่าให้เลยพ้นตาตุ่มลงมา เพราะเป็นสิ่งต้องห้าม(หะรอม) สำหรับผู้ชายในการที่จะส่วมใส่เสื้อผ้าหรืออื่นๆ ด้วยการปล่อยให้ยาวพ้นตาตุ่มลงมา (อิสบาล) ทั้งในละหมาดและนอกละหมาด ส่วนผู้หญิงนั้นอนุญาตให้ใช้ได้ จากอบูฮุร็อยเราะห์ว่า ท่านเราะซูล กล่าวว่า “สิ่งซึ่งเป็นชายผ้าหรือกางเกง ที่ยาวลงมาต่ำกว่าตาตุ่ม นั่นคือไฟนรก” (บันทึกโดย บุคอรี ลำดับหะดีษที่ 5341, นะซาอีลำดับหะดีษที่ 5236 และอะห์หมัดลำดับหะดีษที่ 9555) อีกหะดีษบทหนึ่งเป็นหะดีษที่ท่านเราะซูลลุลลอฮิ กล่าวไว้ว่า “ ผ้านุ่งของผู้ชาย (ปล่อยให้) ยาวประมาณครึ่งหน้าแข้ง และถือว่าไม่เป็นไร (คือไม่มีบาป,หาก) ปล่อยให้ยาวลงมาอยู่ระหว่างสองหน้าแข้งกับสองตาตุ่ม ส่วน (การปล่อย) ลงมาต่ำกว่าสองตาตุ่ม นั่นคือไฟนรก (ส่วน) บุคคลใดที่ลากชายผ้านุ่งของเขาในสภาพที่โอ้อวด แท้จริงพระองค์จะไม่มองเขา (ในวันกิยามะฮฺ) “ (บันทึกโดยอบูดาวูด หะดีษที่ 3570, อิบนุมาญะฮฺ หะดีษที่ 3563, อะหฺมัด หะดีษที่ 10587 และมาลิก หะดีษที่ 1426)

ขอบเขตเอาเราะห์ทั้งของผู้ชายและผู้หญิง

เอาเราะห์ اورة คือส่วนของร่างกายที่ควรนุ่งห่มให้ปกปิด
ของผู้ชายนั้นอยู่ในระหว่างสะดือและหัวเข่า
ส่วนของผู้หญิงนั้นทั่วทั้งร่าง นอกจากใบหน้า และสองมือ และสองเท้า
หะดีษของท่านอุมามะฮฺเล่าว่าเขาได้ยินท่านรสูลุลลอฮฺ กล่าวว่า“ บุคคลใดที่ปรากฏว่าเขาศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันสุดท้าย(วันสิ้นโลก) เช่นนั้นเขาอย่าได้สวมใส่ผ้าไหม และ ทองคำ “ (บันทึกโดยอะหฺมัด หะดีษที่ 21218) อีกหะดีษบทหนึ่งจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺจากท่านรสูลุลลอฮฺ โดยท่านรสูลห้ามสวมแหวนทองคำ “ (บันทึกโดยบุคอรีย์ หะดีษที่ 5415 และมุสลิมหะดีษที่ 3896) จากหะดีษทั้งสองข้างต้น ศาสนาห้ามมุสลิมชายสวมใส่ทองคำ และผ้าไหมอย่างเด็ดขาด

วิธีการละหมาด

แก้
(صفة الصلاة Description of Prayer)

วิธีการละหมาดตามแนวสุนะตุ้นนบี - เริ่มละหมาดด้วยการหาทิศทาง กิบลัต قبلت (สถานที่ตั้งของอัลกะอะบะห์ คือเมืองมักกะห์ ประเทศซาอุดิ อาราเบีย) - ถ้าเป็นละหมาดฟัรดูภาคบังคับ ทุกครั้งที่จะละหมาดฟัรดู ให้อิกอมะห์ก่อน กรณีละหมาดย่อและรวมต้องอิกอมะห์ทั้งสองเวลา - เวลาละหมาดจะใช้พรมหรือผ้าหรือกระดาษปูรองที่ที่จะละหมาดก็ได้ แต่ต้องมั่นใจว่าสะอาด - ยืนสงบนิ่งอยู่บนที่ที่จะใช้ทำละหมาดหรือเรียกว่ามุซ็อลลาฮิ สงบนิ่ง เท้าทั้งสองกางออกพอให้ยืนได้มั่นคงไม่โอนเอน ตามองดูอยู่ที่จุดลงก้มกราบ(สูญูด سجود Prostration) พร้อมแล้ว

1. ตักบีเราะตุลอี้หะรอม تكبيرة الإحرام ยกมือทั้งสองข้าง แบตั้งหันเอาฝ่ามือออกไปทางกิบลัต เสมือนว่าเราจะยื่นไปจับหินดำ ยกขึ้นเสมอไหล่ พร้อมกับกล่าวว่า"อัลลอฮุอักบัร الله اكبر (ใช้เรียกเฉพาะตักบีรแรกครั้งเดียว หลังจากนี้เรียกตักบีรเฉยๆ ) อ่านด้วยน้ำเสียงลากยาว (ถ้าเป็นอิหม่ามให้อ่านออกเสียงดังฟังชัด) ถ้าละเป็นมะอะมูมหรือละหมาดคนเดียว (กล่าวด้วยเสียงกระซิบ) ปล่อยมือลงมากอดอกโดยให้ฝ่ามือขวาทับบนหลังมือซ้าย ระดับใต้ราวนม (ถ้าละหมาดกัน 2 คน ผู้ตามยืนด้านขวาของอิหม่าม ต่ำกว่าอย่างน้อยหนึ่งคืบ) แล้วอ่านดุอาอ์อิฟติตะห์ (دعاء ا لإفتتاح ) الله اكر كبيرا و الحمد لله كثيرا و سبحان الله بكرة و اصيلا อ่านว่า “อัลลอฮุ อักบัร กะบี้รอ วัลหัมดุ ลิ่ลลาฮิ กะซีรอ วะ ซุบฮานัลลอฮิ บุครอเตา วะ อะซีลา” แปลว่า อัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่กว่าคำว่ายิ่งใหญ่ และการขอบคุณสรรเสริญอัลลอฮ์นั้นมีมากมาย และ มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮุยิ่งยงไปไกลกว่าพรุ่งนี้ (รายงานโดย มุสลิม, อบูอุวานะฮฺ และอบูนุอัยมฺ ใน อัคบาร อัศบะฮาน 1/210) พออ่านดุอาอ์อิฟติตะห์เสร็จแล้ว กล่าว يتعوذ ขอความคุ้มครองจากอัลลอฮุ ด้วยเพียงเสียงกระซิบ اعوذ بالله من الشيطان الرجيم "อะอูซุ บิลลาฮิ มินัชชัยตอ นิรเราะญีม” ” ขอความคุ้มครองจากอัลลอฮุให้ฉันพ้นจากชัยตอนผู้ถูกสาปแช่งด้วยเถิด” แล้วจึงอ่านซูเราะห์อัลฟาติหะฮฺ سورة الفاتحة يقرأ ละหมาดคนเดียวให้อ่านด้วยเสียงเบาประมาณว่ากระซิบอ่าน (ถ้าเป็นอิหม่ามละหมาดร่วมกันในเวลา 1. มักริบ 2. อิชาอ์ และ 3. ฟัจรี่ อ่านด้วยเสียงดัง ฟังชัด) ให้อ่านฟาติหะห์ช้าๆ ทีละอายะต์ อย่างชัดถ้อยชัดคำ เมื่ออ่านฟาติหะห์จบแล้ว กล่าว"อามีน آمِيْنَ” (ถ้าละหมาดคนเดียว อามีนเบาๆ ถ้าละหมาดร่วมกันในเวลา 1. มักริบ 2. อิชาอ์ และ 3. ฟัจรี่ กล่าวอามีนด้วยเสียงดัง ฟังชัด) หยุดสงบนิ่งเงียบชั่วขณะ (สักตะ سكت ) เมื่ออ่านฟาติหะห์จบแล้ว ให้อ่านซูเราะห์อื่น หรือบางส่วนจากอัลกุรอานอีกจะอ่านยาว หรือสั้นตามแต่จะอ่าน ถ้าอ่านไม่ได้ก็ให้ผ่านเลยไปไม่ต้องอ่าน (เสร็จจากอ่านฟาติหะห์และซูเราะห์อื่นแล้ว) ยกมือขึ้นเสมอไหล่หันฝ่ามืออกไปกิบลัต แล้วกล่าว ตักบีรฺ (تكبير อัลลอฮุ อักบัร และก้มลง

2. รุกูอะ ( يركع โค้งคำนับ) โดยวางฝ่ามือวางยันไว้บนหัวเข่า แขนตึงและหลังเหยียดตรงในลักษณะที่ศีรษะอยู่ในระนาบเดียวกับหลัง ไม่แหงนขึ้นหรือก้มลง วิธีรุกูอะที่ถูกคือ มือวางที่เข่า แขนตึง หลัง หัวเหยียดตรง ขณะรุกูอะ อ่าน سُبْحَانَ رَبِّيَ العَظِيْم “ซุบะฮาน่ะ ร็อบบิยัล อะซีม “ ความว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของฉันผู้ทรงยิ่งใหญ่เกรียงไกรพระองค์ทรงบริสุทธิ์จากความด่างพร้อยใดๆทั้งสิ้น” อย่างน้อยหนึ่งครั้ง หรือจะกล่าว 3 ครั้งก็ยิ่งดี เงยขึ้นจากรุกูอะ ยกมือขึ้นเสมอไหล่เอาฝ่ามือออก พร้อมกับกล่าวว่า “สะมีอัลลอฮุ ลิมัน ฮัมมิดะห์ سمع الله لمن حمده “ความว่า “พระองค์อัลลอฮฺทรงได้ยินผู้ที่กล่าวสรรเสริญพระองค์เสมอ” และ เมื่อยืนขึ้นมา ตัวตั้งตรง แล้วจึงลดมือลงแนบมือและแขนกับข้างตัวเรียกว่า เอี๊ยะติดาล แล้วอ่าน “ร็อบบะนา วะละกั้ลฮัมดุ رَبَّنَا وَلَكَ الحَمْدُ การสรรเสริญมีไว้สำหรับท่านผู้เป็นพระเจ้า กล่าวตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร กล่าวด้วยการลากเสียงอัลออออฮุ อักบัร จากยืนจนลงไป

3. ลงกราบ (สุญูด سجود จะต้องทำสองสุญูด) ให้ลดตัวลง เข่าถึงพื้นก่อน เอนกายไปข้างหน้าพร้อมกับวางมือทั้งสองลงพื้น มือแบเหยียดตรงไปข้างหน้า มือทั้งสองมีระยะห่างประมาณไหล่ ก้มหน้าผากและปลายจมูกแตะพื้นเบาๆ ข้อศอกไม่กางและตั้งไว้สูงเหนือพื้น ห้ามวางแขนและศอกนาบลงกับพื้นเสมือนท่าหมอบของสัตว์ เข่าทั้งสองอยู่บนพื้น ปลายเท้าตั้งชันกับพื้น รวม 7 จุดที่ติดพื้น แล้วอ่าน

سُبْحَانَ رَبِّيَ الأَعْلى  

“ซุบฮา นะ ร็อบบิยั้ล อ้าล่า” (อ่านอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แต่อ่านสามครั้งจะดีมากกว่า) ความว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของฉันผู้ทรงสูงส่งเหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากความด่างพร้อยใด ๆ ทั้งสิ้น” (สรุปท่าทางการกราบสุญูด 1. ปลายนิ้วเท้าทั้งสองตั้งอยู่บนพื้นส้นท้าตั้งชันขึ้นมา 2. หัวเข่าทั้งสองตั้งลงกับพื้น 3. ฝ่ามือทั้งสองวางนาบลงกับพื้นและวางห่างจากหน้าผากออกไปด้านข้างเท่าช่วงไหล่ และปลายนิ้วมือจะอยู่ระดับเดียวกับลูกตา 4. หน้าผากนาบลงกับพื้นและปลายจมูกสัมผัสพื้นเบาๆ // การก้มกราบสุญูดลงไปนั้น มีจุดที่สัมผัสอยู่บนพื้น 7 จุด คือ ปลายเท้า 2 จุด, หัวเข่า 2 จุด, มือทั้งสองข้าง 2 จุด และหน้าผาก 1 จุด รวม= 7 จุด أعضائه السبعة ) กล่าวตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร วิธีนั่งจากสุญูดครั้งที่ 1 นั่งทับบนน่องและฝ่าเท้าซ้าย นิ้วเท้าขวายันพื้นไว้ ส้นเท้าตั้งชันกับพื้น เงยขึ้นจากสุญูดที่หนึ่ง ลำตัวตั้งตรง นั่งสงบเสงี่ยม แล้วอ่าน اللهُمَّ اغْفِرْ لِي وَارْحَمْنِيْ وَعَافِنِيْ وَاهْدِنِيْ وَارْزُقْنِيْ “ “อัลลอฮุม มัค ฟิรลี วัรฮัมนี วะอาฟินี วะดินี วัรซุกนี คำแปล “โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงอภัยโทษให้แก่ฉัน, ทรงเมตตาต่อฉัน, ทรงทำให้ฉันมีสุขภาพแข็งแรง, ทรงให้ทางนำแก่ฉัน และทรงโปรดประทานปัจจัยยังชีพให้แก่ฉันด้วยเถิด” (อ่านหนึ่งครั้งก็พอ) กล่าวตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร ลงกราบสุญูดครั้งที่สอง เอนกายไปข้างหน้าพร้อมกับเท้ามือลงไปที่พื้น มือแบเหยียดตรงไปข้างหน้า มือทั้งสองมีระยะห่างประมาณไหล่ ก้มหน้าผากลงไปกราบ สุญูด ให้หน้าผากแตะพื้นและปลายจมูกแตะพื้นเบาๆ ข้อศอกไม่กางและตั้งไว้เหนือพื้น ห้ามวางแขนและศอกนาบลงกับพื้นเสมือนท่าหมอบของสัตว์ แล้วกล่าว “ซุบะฮา นะ ร็อบบิยั้ล อ้าล่า” سُبْحَانَ رَبِّيَ الأَعْلى (อ่านอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แต่อ่านสามครั้งจะดีมากกว่า) ความว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของฉันผู้ทรงสูงส่งเหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากความด่างพร้อยใด ๆ ทั้งสิ้น” ตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร ด้วยการลากเสียงอัลออออฮุ อักบัร จากท่ากำลังจะลุกขึ้นจนขึ้นมายืนตรง ตักบีรนี้ไม่ต้องยกมือแล้ว (จบกระบวนท่าของการละหใดหนึ่งเราะกะอัตตรงการกล่าวตักบีร)

4. ลุกขึ้นยืนทำเราะกะอัตที่สองต่อไป (ลุกขึ้นยืนจากการสุญูดไม่ต้องยกมือ เพียงแต่กล่าว ตักบีรอย่างเดียว) อ่านซูเราะห์อัลฟาติหะห์ และอ่านซูเราะห์อื่นอีกหนึ่งหรือบางส่วนจากอัลกุรอาน ยกมือทั้งสองเสมอไหล่พร้อมกับกล่าวตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร แล้วปล่อยมือลงเท้าหัวเข่าทำการก้มรุกูอะ

5. รุกูอะ يركع โค้งคำนับ เราะกะอัตที่สอง ก้มหลังลงเอามือวางบนหัวเข่า แขนตึงและหลังเหยียดตรงในลักษณะที่ศีรษะอยู่ในระนาบเดียวกับหลัง ไม่แหงนขึ้นหรือก้มลง กล่าว ซุบะฮาน่ะ ร็อบบิยัล อะซีม سُبْحَانَ رَبِّيَ العَظِيْم ความว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของฉันผู้ทรงยิ่งใหญ่เกรียงไกรพระองค์ทรงบริสุทธิ์จากความด่างพร้อยใดๆทั้งสิ้น” อย่างน้อยหนึ่งครั้ง หรือจะกล่าว 3 ครั้งก็ยิ่งดี กล่าวว่า “สะมีอัลลอฮุ ลิมัน ฮัมมิดะห์ سمع الله لمن حمده “ความว่า “พระองค์อัลลอฮฺทรงได้ยินผู้ที่กล่าวสรรเสริญพระองค์เสมอ” ขณะที่กล่าวสะมิอัลลอฮุ ฯให้เงยขึ้นตักบีร เงยขึ้นจากรุกูอะ ยกมือขึ้นเสมอไหล่เอาฝ่ามือออก แล้วกล่าว “ร็อบบะนา วะละกั้ลฮัมดุ رَبَّنَا وَلَكَ الحَمْدُ การสรรเสริญมีไว้สำหรับท่านผู้เป็นพระเจ้า แนบมือและแขนกับข้างตัวเรียกว่า เอี๊ยะติดาล กล่าวตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร (ตักบีรนี้ไม่ต้องยกมือแล้ว)

6. ลงกราบ สุญูดแรก เราะกะอัตที่สอง กล่าว “ซุบะฮา นะ ร็อบบิยั้ล อ้าล่า” سُبْحَانَ رَبِّيَ الأَعْلى (อ่านอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แต่อ่านสามครั้งจะดีมากกว่า) ความว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของฉันผู้ทรงสูงส่งเหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากความด่างพร้อยใด ๆ ทั้งสิ้น” กล่าวตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร เงยขึ้นจากสุญูดแรกเราะกะอัตที่สอง ลำตัวตั้งตรง นั่งสงบเสงี่ยม ให้นั่งทับน่องและฝ่าเท้าซ้ายไว้ ปลายเท้าขวายันพื้น แล้วอ่าน “อัลลอฮุม มัค ฟิรลี วัรฮัมนี วะอาฟินี วะดินี วัรซุกนี اللهُمَّ اغْفِرْ لِي وَارْحَمْنِيْ وَعَافِنِيْ وَاهْدِنِيْ وَارْزُقْنِيْ “ คำแปล “โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงอภัยโทษให้แก่ฉัน, ทรงเมตตาต่อฉัน, ทรงทำให้ฉันมีสุขภาพแข็งแรง, ทรงให้ทางนำแก่ฉัน และทรงโปรดประทานปัจจัยยังชีพให้แก่ฉันด้วยเถิด” (อ่านหนึ่งครั้งก็พอ) กล่าวตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร (ตักบีรนี้ไม่ต้องยกมือ) ก้มลงกราบสุญูดครั้งที่สอง เราะกะอัตที่สอง กล่าว “ซุบะฮา นะ ร็อบบิยั้ล อ้าล่า” سُبْحَانَ رَبِّيَ الأَعْلى (อ่านอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แต่อ่านสามครั้งจะดีมากกว่า) ความว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของฉันผู้ทรงสูงส่งเหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากความด่างพร้อยใด ๆ ทั้งสิ้น” อ่านจบแล้ว ตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร ตักบีรนี้ไม่ต้องยกมือ เงยหน้าขึ้นมาแล้วนั่งตะชะฮู้ดแรก

7. ตะชะฮู้ดแรก นั่งลำตัวตรง (บางทีก็เรียกนั่งตะหิย้าต) เพื่ออ่านดุอาอ์ตะชะฮู้ด التشهد الأول วิธีการนั่งตะชะฮู้ดแรก ด้วยการนั่งทับน่องและฝ่าเท้าซ้าย ส่วนปลายเท้าขวา นิ้วเท้าขวาตั้งยันพื้นไว้ ส้นเท้าตั้งชัน มือซ้ายเหยียดปลายนิ้วไปข้างหน้า ทั้งสองมือวางไว้ที่เข่า มือขวากำมือคว่ำลง นิ้วชี้แยกออกจากกำมือปล่อยห้อยเอาไว้ก่อน เมื่ออ่าน “อัตตะ ฮี่ยาตุ ลิลลาฮิ ฯ ...มาถึง "อัชฮะดุ้ อั้น ลา อี้ลาฮะ อิ้ลลัลลอฮุ ฯ ..." ให้ชูนิ้วชี้ขึ้นชี้ไปข้างหน้า

ดุอาอ์ขณะนั่งตะชะฮุด (นั่งตะฮี่ย๊าต) อ่านดุอาอ์ตะชะฮู้ด اَلتَّحِيَاتُ للهِ وَ الصَّلَوَاتُ وَالطَّيِبَاتُ , اَلسَّلاَم عَلَيْكَ أَيُّهَا النَّبِيُ وَرَحْمَةُ اللهِ وَبَرَكَاتُهُ, اَلسَّلاَم عَلَيْنَا وَعَلَى عِبَادِ اللهِ الصَّالِحِيْنَ أَشْهَدُ أَنْ لا إِلَهَ إِلاَّ اللهُ و أَشْهَدُ َأَنَّ مُحَمَّدًا عَبْدُهُ وَرَسُوْلُهُ คำอ่าน 1. “อัตตะฮิยาตุ ลิ่ลลาฮิ วัศเศาะละวาตุ วัฏฏ็อยยี่บาตุ 2. อัสลามุ อ้าลัยกะ อัยยุฮั่นนะบียุ วะเราะห์มะตุลลอฮิ วะบะรอกาตุฮุ, 3. อัสลามุ อ้าลัยนา วะอาล่า อิบาดิลลา ฮิศศอลีฮีน 4. อัชชะดุ้ อั้นลา อิลาฮะ อิ้ลลัลลอฮุ วะอัชชะฮดุ้ อั้นนะ มุฮัมมัดดัน อับดุฮู วะเราะซูลุฮุ” คำแปล 1. “การเคารพภักดี ความจำเริญ และสิ่งดีงามทั้งหลายนั้นล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์อัลลอฮฺ (เพียงผู้เดียวเท่านั้น), 2. ขอความสันติสุข, ความเมตตา และความจำเริญจากพระองค์อัลลอฮฺจงประสบแด่ท่าน โอ้ผู้เป็นนบี, 3. ขอความสันติสุขจงประสบแด่พวกเรา และแด่ปวงบ่าวที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมของพระองค์อัลลอฮฺด้วยเถิด, 4. ฉันขอปฏิญาณตนว่า ไม่มีการเคารพภักดีใด นอกจากพระองค์อัลลอฮฺ เพียงองค์เดียวเท่านั้น และฉันขอปฏิญาณตนว่าแท้จริง นบี มุหัมมัดนั้นเป็นศาสนทูตของพระองค์”

นั่งตะชะฮู้ดแรก อ่านอัตตะฮิ้ยาตุ ฯ เสร็จก็จะต้องลุกขึ้นยืนละหมาดเราะกะอัตที่ 3 หรือ 4 ต่อ) แต่ถ้าละหมาดนั้นมีเพียง 2 เราะกะอัต ให้นั่งแบบ ตะวัรรุก เลยคือเอาฝ่าเท้าซ้ายสอดไปใต้แข้งข้างขวา ให้นิ้วเท้าขวายันกับพื้น ส้นเท้ายกชันขึ้น มือและนิ้วมือทำเหมือนๆ กันกับนั่งตะชะฮู้ดแรก แล้วอ่านดุอาอ์ “อัตตะฮี้ยาตุ ลิลลาฮิ ฯ” จนจบแล้วอ่านเซาะละวาตนบีต่อไป

วิธีนั่งแบบ”ตะวัรรุก” (นั่งตะชะฮู้ดสุดท้าย) ถ้าละหมาดสองเราะกะอัต หรือกี่เราะกะอัตก็ตามที่เรานั่งตะชะฮู้ดสุดท้ายต้องนั่งแบบตะวัรรุก (ตะชะฮู้ดสุดท้าย) อ่านดุอาอ์ตะชะฮู้ด(อัตตะฮี้ยาตุ ...ฯ) และอ่านเซาะละวาตนบี และ

บทเซาะละวาตนบี اللهم صل على محمد وعلى آل محمد كما صليت على إبراهيم وعلى آل إبراهيم إنك حميد مجيد، اللهم بارك على محمد وعلى آل محمد كما باركت على إبراهيم وعلى آل إبراهيم إنك حميد مجيد “อัลลอฮุมม่า ซ็อลลิ อ้าลา มุฮัมหมัด วะ อ้าลา อาลิ มุฮัมหมัด กามา ซ็อลลัยตะ อาล่า อิบรอฮีม วะ อ้าลา อาลิ อิบรอฮีม อินนะก้า ฮะมีดุม ม่าญีด อัลลอฮุมม่า บาริก อ้าลา มุฮัมหมัด ว่า อ้าลา อาลิ มุฮัมหมัด กามา บาร็อกตะ อ้าลา อิบรอฮีม วะ อ้าลา อาลี อิบรอฮีม อินนะก้า ฮะมีดุม ม่าญีด” ความหมาย “โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงโปรดเมตตา (สดุดี) แด่(นบี)มุหัมมัด และวงศ์วานของท่าน(นบี) มุหัมมัด เสมือนที่พระองค์ทรงเมตตา แก่วงศ์วานของท่าน(นบี) อิบรอฮีม และวงศ์วานของท่าน(นบี)อิมรอฮีม, แท้จริงพระองค์ทรงเป็นที่สดุดีสรรเสริญ ทรงเป็นที่สรรเสริญพระเกียรติยิ่ง” “โอ้อัลลอฮฺขอพระองค์ทรงประทานความจำเริญให้แด่(นบี)มุหัมมัด และวงศ์วานของ(นบี)มุหัมมัด, เสมือนที่พระองค์ทรงประทานความจำเริญให้แก่(นบี)อิบรอฮีม และวงศ์วานของ(นบี)อิบรอฮีม , แท้จริงพระองค์ทรงเป็นที่สดุดีสรรเสริญ ทรงเป็นที่สรรเสริญพระเกียรติยิ่ง” (บันทึกหะดิษโดยบุคอรีย์ หะดิษเลขที่ 3119 มุสลิม หะดิษเลขที่ 614 และนาซาอีย์ หะดิษเลขที่ 1270 เป็นหะดิษที่เศาะเฮียะฮฺ) อ่านดุอาอ์ตะชะฮู้ดครั้งที่สองจบ อ่านบทเซาะละวาตนบีจบ

  • ถ้าละหมาดสองเราะกะอัตหรือทำละหมาดเราะกะอัตสุดท้าย อ่านเซาะละวาตนบีแล้ว ให้กล่าวสลามขวา-ซ้ายได้เลย

วิธีการกล่าวสลาม

หันหน้าไปทางไหล่ขวา แล้วกล่าวว่า السلام عليكم ورحمة الله อัสลามุ อ้าลัยกุ้ม วะ เราะห์มะตุ้ลลอฮิ "ขอความสันติสุขจงมีแด่พวกท่าน" และ

หันไปทางไหล่ซ้ายกล่าวว่า السلام عليكم ورحمة الله อัสลามุ อ้าลัยกุ้ม วะ เราะห์มะตุ้ลลอฮิ "ขอความสันติสุขจงมีแด่พวกท่าน"

ให้สลามทั้งมะลาอิกะห์ที่อยู่บนไหล่ขวา-ซ้ายของเราคอยจดบันทึกการกะทำ (อาม้าล عامل) ของเรา และให้สลามแก่คนข้าง ๆ ด้วย(ถ้ามี) "ก็เป็นอันจบการละหมาดสองเราะกะอัต ถ้ามีละหมาดมากกว่าสองเราะกะอัตก็กล่าวตักบีร ยกมือทั้งสองเสมอไหล่ ยืนขึ้นทำเราะกะอัตที่สาม ต่อไป

8. เราะกะอัตที่ 3 อ่านฟาติหะห์ อย่างเดียว จบแล้ว ยกมือตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร ก้มโค้งคำนับ

9. รุกูอะ กล่าว ซุบะฮาน่ะ ร็อบบิยัล อะซีม سُبْحَانَ رَبِّيَ العَظِيْم ความว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของฉันผู้ทรงยิ่งใหญ่เกรียงไกรพระองค์ทรงบริสุทธิ์จากความด่างพร้อยใดๆทั้งสิ้น” อย่างน้อยหนึ่งครั้ง หรือจะกล่าว 3 ครั้งก็ยิ่งดี กล่าวว่า “สะมีอัลลอฮุ ลิมัน ฮัมมิดะห์ سمع الله لمن حمده “ความว่า “พระองค์อัลลอฮฺทรงได้ยินผู้ที่กล่าวสรรเสริญพระองค์เสมอ” เงยขึ้นจากรุกูอะ ยกมือขึ้นเสมอไหล่เอาฝ่ามือออก กล่าว “ร็อบบะนา วะละกั้ลฮัมดุ رَبَّنَا وَلَكَ الحَمْدُ การสรรเสริญมีไว้สำหรับท่านผู้เป็นพระเจ้า กล่าวตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร (ไม่ต้องยกมือ) แล้วลงสุญูด

10. ลงกราบสุญูด ครั้งที่หนึ่ง เราะกะอัตที่สาม ขณะลงกราบอยู่อ่าน “ซุบะฮา นะ ร็อบบิยั้ล อ้าล่า” سُبْحَانَ رَبِّيَ الأَعْلى (อ่านอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แต่อ่านสามครั้งจะดีมากกว่า) ความว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของฉันผู้ทรงสูงส่งเหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากความด่างพร้อยใด ๆ ทั้งสิ้น” กล่าวตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร เงยหน้าขึ้นมานั่งตัวตรงนิ่ง อ่าน “อัลลอฮุม มัค ฟิรลี วัรฮัมนี วะอาฟินี วะดินี วัรซุกนี اللهُمَّ اغْفِرْ لِي وَارْحَمْنِيْ وَعَافِنِيْ وَاهْدِنِيْ وَارْزُقْنِيْ “ คำแปล “โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงอภัยโทษให้แก่ฉัน, ทรงเมตตาต่อฉัน, ทรงทำให้ฉันมีสุขภาพแข็งแรง, ทรงให้ทางนำแก่ฉัน และทรงโปรดประทานปัจจัยยังชีพให้แก่ฉันด้วยเถิด” (อ่านหนึ่งครั้งก็พอ) กล่าวตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร ลงกราบสุญูดครั้งที่สองเราะกะอัตที่สาม อ่าน “ซุบะฮา นะ ร็อบบิยั้ล อ้าล่า” سُبْحَانَ رَبِّيَ الأَعْلى (อ่านอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แต่อ่านสามครั้งจะดีมากกว่า) ความว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของฉันผู้ทรงสูงส่งเหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากความด่างพร้อยใด ๆ ทั้งสิ้น” กล่าวตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร (ไม่ต้องยกมือ) ลากเสียงอัลลออออฮุ ยาวจนกว่าจะยืนได้ตรง

11. อ่านฟาติหะห์เราะกะอัตที่ 4 ตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร ยกมือทั้งสองเสมอไหล่ ก้มโค้งคำนับ

12. รุกูอะครั้งที่ 4 เราะกะอัตที่ 4 กล่าว ซุบะฮาน่ะ ร็อบบิยัล อะซีม سُبْحَانَ رَبِّيَ العَظِيْم ความว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของฉันผู้ทรงยิ่งใหญ่เกรียงไกรพระองค์ทรงบริสุทธิ์จากความด่างพร้อยใดๆทั้งสิ้น” อย่างน้อยหนึ่งครั้ง หรือจะกล่าว 3 ครั้งก็ยิ่งดี กล่าวว่า “สะมีอัลลอฮุ ลิมัน ฮัมมิดะห์ سمع الله لمن حمده “ความว่า “พระองค์อัลลอฮฺทรงได้ยินผู้ที่กล่าวสรรเสริญพระองค์เสมอ” เงยขึ้นจากรุกูอะ ยกมือขึ้นเสมอไหล่เอาฝ่ามือออก กล่าว “ร็อบบะนา วะละกั้ลฮัมดุ رَبَّنَا وَلَكَ الحَمْدُ การสรรเสริญมีไว้สำหรับท่านผู้เป็นพระเจ้า กล่าวตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร

13. ลงกราบสุญูด ครั้งที่หนึ่ง เราะกะอัตที่สี่ขณะลงกราบอยู่อ่าน “ซุบะฮา นะ ร็อบบิยั้ล อ้าล่า” سُبْحَانَ رَبِّيَ الأَعْلى (อ่านอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แต่อ่านสามครั้งจะดีมากกว่า) ความว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของฉันผู้ทรงสูงส่งเหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากความด่างพร้อยใด ๆ ทั้งสิ้น” กล่าวตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร

เงยหน้าขึ้นมานั่งตัวตรงนิ่ง อ่าน “อัลลอฮุม มัค ฟิรลี วัรฮัมนี วะอาฟินี วะดินี วัรซุกนี اللهُمَّ اغْفِرْ لِي وَارْحَمْنِيْ وَعَافِنِيْ وَاهْدِنِيْ وَارْزُقْنِيْ “ คำแปล “โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงอภัยโทษให้แก่ฉัน, ทรงเมตตาต่อฉัน, ทรงทำให้ฉันมีสุขภาพแข็งแรง, ทรงให้ทางนำแก่ฉัน และทรงโปรดประทานปัจจัยยังชีพให้แก่ฉันด้วยเถิด” (อ่านหนึ่งครั้งก็พอ) กล่าวตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร ลงกราบสุญูดครั้งที่สองเราะกะอัตที่สี่ อ่าน “ซุบะฮา นะ ร็อบบิยั้ล อ้าล่า” سُبْحَانَ رَبِّيَ الأَعْلى (อ่านอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แต่อ่านสามครั้งจะดีมากกว่า) ความว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของฉันผู้ทรงสูงส่งเหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ทรงบริสุทธิ์จากความด่างพร้อยใด ๆ ทั้งสิ้น” กล่าวตักบีร تكبير อัลลอฮุ อักบัร

14. เงยหน้าขึ้นมานั่งตะชะฮู้ดครั้งสุดท้าย ท่าการนั่งตะชะฮู้ดครั้งสุดท้าย ให้นั่งแบบตะวัรรุก (กล่าวมาแล้วข้างต้น ตอนเสร็จจากเราะกะอัตที่สอง) ใช้เท้าซ้ายสอดเข้าใต้แข้งขวา ปลายนิ้วเท้าขวายันพื้นไว้ส้นเท้าตั้งชันขึ้นมือซ้ายแบเหยียดตรงวางบนเข่าซ้าย มือขวาคว่ำกำแยกนิ้วชี้ไว้ รออ่านถึง “อัชฮะดุ้ อั้นลาอิลาฮะ . . .” แล้วค่อยชี้นิ้วชี้ออกไป

ดุอาอ์ขณะนั่งตะชะฮุด (นั่งตะฮี่ย๊าต) اَلتَّحِيَاتُ للهِ وَ الصَّلَوَاتُ وَالطَّيِبَاتُ , اَلسَّلاَم عَلَيْكَ أَيُّهَا النَّبِيُ وَرَحْمَةُ اللهِ وَبَرَكَاتُهُ, اَلسَّلاَم عَلَيْنَا وَعَلَى عِبَادِ اللهِ الصَّالِحِيْنَ أَشْهَدُ أَنْ لا إِلَهَ إِلاَّ اللهُ و أَشْهَدُ َأَنَّ مُحَمَّدًا عَبْدُهُ وَرَسُوْلُهُ คำอ่าน “อัตตะฮิยาตุ ลิ่ลลาฮิ วัศเศาะละวาตุ วัฏฏ็อยยี่บาตุ อัสลามุ อ้าลัยกะ อัยยุฮั่นนะบียุ วะเราะห์มะตุลลอฮิ วะบะรอกาตุฮุ, อัสลามุ อ้าลัยนา วะอาล่า อิบาดิลลา ฮิศศอลีฮีน อัชชะดุ้ อั้นลา อิลาฮะ อิ้ลลัลลอฮุ วะอัชชะฮดุ้ อั้นนะ มุฮัมมัดดัน อับดุฮู วะเราะซูลุฮุ” คำแปล “การเคารพภักดี ความจำเริญ การวิงวอน และสิ่งดีงานทั้งหลายนั้นล้วนเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์อัลลอฮฺ (เพียงผู้เดียวเท่านั้น), ขอความสันติสุข, ความเมตตา และความจำเริญจากพระองค์อัลลอฮฺจงประสบแด่ท่าน โอ้ผู้เป็นนบี, ขอความสันติสุขจงประสบแด่พวกเรา และแด่ปวงบ่าวที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมของพระองค์อัลลอฮฺด้วยเถิด, ฉันขอปฏิญาณตนว่า ไม่มีการเคารพภักดีใด นอกจากพระองค์อัลลอฮฺ เพียงองค์เดียวเท่านั้น และฉันขอปฏิญาณตนว่าแท้จริง นบี มุหัมมัดนั้นเป็นศาสนทูตของพระองค์”

      • ถ้ากรณีที่ละหมาดนั้นมี 2 เราะกะอัต ให้อ่านบทเซาะละวาตนบีนี้ต่อจาก บทดุอาอ์ตะชะฮู้ดเลย*** แต่ถ้าละหมาดนั้นมีมาก 2 เราะกะอัต ให้อ่านแต่ดุอาอ์ตะชะฮู้ดแรก

บทเซาะละวาตนบี

اللهم صل على محمد وعلى آل محمد كما صليت على إبراهيم وعلى آل إبراهيم إنك حميد مجيد، اللهم بارك على محمد وعلى آل محمد كما باركت على إبراهيم وعلى آل إبراهيم إنك حميد مجيد “อัลลอฮุมม่า ซ็อลลิ อ้าลา มุฮัมหมัด วะ อ้าลา อาลิ มุฮัมหมัด กามา ซ็อลลัยตะ อาล่า อิบรอฮีม วะ อ้าลา อาลิ อิบรอฮีม อินนะก้า ฮะมีดุม ม่าญีด อัลลอฮุมม่า บาริก อ้าลา มุฮัมหมัด ว่า อ้าลา อาลิ มุฮัมหมัด กามา บาร็อกตะ อ้าลา อิบรอฮีม วะ อ้าลา อาลี อิบรอฮีม อินนะก้า ฮะมีดุม ม่าญีด” ความหมาย “โอ้อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงโปรดเมตตา (สดุดี) แด่(นบี)มุหัมมัด และวงศ์วานของท่าน(นบี) มุหัมมัด เสมือนที่พระองค์ทรงเมตตา แก่วงศ์วานของท่าน(นบี) อิบรอฮีม และวงศ์วานของท่าน(นบี)อิมรอฮีม, แท้จริงพระองค์ทรงเป็นที่สดุดีสรรเสริญ ทรงเป็นที่สรรเสริญพระเกียรติยิ่ง” “โอ้อัลลอฮฺขอพระองค์ทรงประทานความจำเริญให้แด่(นบี)มุหัมมัด และวงศ์วานของ(นบี)มุหัมมัด, เสมือนที่พระองค์ทรงประทานความจำเริญให้แก่(นบี)อิบรอฮีม และวงศ์วานของ(นบี)อิบรอฮีม , แท้จริงพระองค์ทรงเป็นที่สดุดีสรรเสริญ ทรงเป็นที่สรรเสริญพระเกียรติยิ่ง” (บันทึกหะดิษโดยบุคอรีย์ หะดิษเลขที่ 3119 มุสลิม หะดิษเลขที่ 614 และนาซาอีย์ หะดิษเลขที่ 1270 เป็นหะดิษที่เศาะเฮียะฮฺ) อ่านดุอาอ์ตะชะฮู้ดครั้งที่สองจบ อ่านบทเซาะละวาตนบีจบ

15. หันหน้าไปทางขวาถึงไหล่ขวา กล่าว “สลาม” อย่างสั้น السلام عليكم ورحمة الله อัสลามุ อ้าลัยกุ้ม วะ เราะห์มะตุ้ลลอฮิ "ขอความสันติสุขจงมีแด่พวกท่าน" หันหน้าไปทางซ้ายถึงไหล่ กล่าว “สลาม” อย่างสั้น السلام عليكم ورحمة الله อัสลามุ อ้าลัยกุ้ม วะ เราะห์มะตุ้ลลอฮิ "ขอความสันติสุขจงมีแด่พวกท่าน"

  • ในอิสลามให้วนขวาตลอด (วนทวนเข็มนาฬิกา) เช่นการชงกาแฟก็คนกาแฟหมุนวนขวาออกไปกลับเข้าหาตัวทางด้านซ้าย

การเสริฟน้ำหรืออาหารก็จะเสริฟจากคนทางขวาก่อน ฯลฯ*

แค่นี้เป็นอันว่าละหมาดสี่เราะกะอัต เสร็จเรียบร้อย

ขณะยังนั่ง (หลังสลาม) อยู่นี้ให้อ่าน อิสติกฟาร “อัสตัก ฟิรุลลอฮุ่ล อ้าซีม” استغفرالله العظيم อ่านสามครั้ง และอ่าน اللَّهُـمَّ أَنْتَ السَّلامُ، وَمِنْكَ السَّلامُ، تَـبَارَكْتَ يَاذَا الجَلالِ وَالإكْرَام คำอ่าน อัลลอฮุมมะอันตัสสะลาม วะมินกัสสลาม ตะบาร็อกตะ ยาซัลญะลาลิ วัลอิกรอม ความหมาย “โอ้ พระผู้อภิบาลแห่งข้าพระองค์ พระองค์คืออัส-สลาม(ผู้เปี่ยมด้วยสันติ) จากพระองค์นั้นคือที่มาของสันติ ประเสริฐยิ่งเถิด โอ้ผู้เปี่ยมด้วยความยิ่งใหญ่และบุญคุณอันล้นเหลือ” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 592)

  • ซุบะฮานั้ลลอฮ์ 33 ครั้ง التسبيح
  • อัลฮัมดุ ลิลลาฮิ 33 ครั้ง التحميد
  • อัลลอฮุ อักบัร 33 ครั้ง التكبير
  • และ ‏لا إله إلا الله وحده لا شريك له ، له الملك وله الحمد وهو على كل شيء قدير

การละหมาดร่วมกัน

แก้
الصلاة الجماعة Prayer Group

การละหมาดร่วมกัน หมายถึง ต้องมีผู้ละหมาดมากกว่าหนึ่งคน คนที่เป็นคนนำละหมาดจะได้ชื่อว่าอิหม่าม (امام ) อิหม่ามต้องอ่านเสียงดังฟังชัด ถ้ามีผู้ร่วมละหมาดด้วยกันทั้งหมด 2 คน ให้ผู้ตาม (มะอ์มูม ) ยืนชิดทางด้านขวาอิหม่าม แต่ให้ยืนต่ำลงมาอย่างน้อยหนึ่งคืบ ไม่เกินหนึ่งก้าว เป็นอิหม่ามนำละหมาด อ่านดัง อ่านค่อยดังนี้ มักริบ Maqrib مغرب อ่านด้วยเสียงดังฟังชัด อิชาอ์ Isha عشاء อ่านด้วยเสียงดังฟังชัด ซุบฮิ Fajri صبح อ่านด้วยเสียงดังฟังชัด เวลาเปลี่ยนอิริยะบถ(ตักบีร) อิหม่ามอ่านดังทุกเวลา ทุกอิริยาบถ ดุห์รี่ Dhuhri ظهر อ่านด้วยเสียงเบาเท่ากระซิบ อัสรี่ Asri عصر อ่านด้วยเสียงเบาเท่ากระซิบ ส่วนมะอฺมูม (ผู้ตาม) ให้อ่านค่อยและตักบีรค่อย การละหมาดอยู่คนเดียวก็อ่านค่อยเหมือนเดิม มะอฺมูมหรือละหมาดคนเดียว วาญิบ(จำเป็น)ต้องอ่านฟาติหะห์ทุกเราะกะอัต

ผู้หญิงละหมาด

แก้

เมื่อผู้หญิงละหมาดไม่ว่าจะเป็นละหมาดฟัรดูหรือละหมาดสุนัตก็ตาม ในกรณีที่ละหมาดร่วมกันญะมาอะห์ ไม่ตักบีรและไม่อ่านด้วยเสียงดัง ความดังนั้นเปรียบได้ว่าขนาดเท่าพูดเบาๆ และไม่ยืนเข้าแถวแบบผู้ชาย ที่อิหม่ามจะยืนเดี่ยงข้างหน้า สำหรับผู้หญิงในกรณีญะมาอะห์ให้ยืนเข้าแถวในระดับเดียวกัน ให้ผู้ที่จะนำตักบีรยืนอยู่ซ้าย มะอฺมูม(ผู้ตาม)ให้ยืนด้านขวา

ละหมาดมัสบู๊ก

แก้

الصلاة المسبوك Prayer cast คือการมาร่วมละหมาดญะมาอะห์ไม่ทันในรุกูอะของเราะกะอัตนั้นๆ เมื่ออิหม่ามละหมาดเสร็จให้สลาม เรายังไม่ต้องให้สลามตามอิหม่าม แต่ต้องลุกขึ้นละหมาดเราะกะอัตนั้นเสียก่อน จึงจะนั่งตะชะฮู้ดครั้งสุดท้ายได้ การมาทันเราะกะอัตนั้นหรือไม่นั้น เอาการก้มรุกูอะเป็นเกณฑ์ ถ้ามะอะมูมมาได้ทำรุกูอะ ก็ถือมาทันเราะกะอัตนั้น เราขาดไปกี่รุกูอะก็ทำให้ครบตามจำนวนในเวลานั้นๆ

ละหมาดย่อ

แก้
قصر الصلاة Shorten Prayer  ผู้เดินทาง (صلاة المسافر) สามารถละหมาดย่อได้ตราบใดที่ผู้นั้นยังเป็นผู้เดินทาง ถ้าหากเขาลงพักเพื่อทำธุระที่รอการเสร็จสิ้นธุระนั้น เขาก็สามารถละหมาดย่อได้เช่นกัน เพราะถือว่าเขาเป็นผู้เดินทาง ถึงแม้ว่าเขาจะลงพักเป็นเวลาหลายปีก็ตาม และอิบนุ อัลก็อยยิม (ร.ฮ.) เลือกความเห็นที่ว่า การลงพักไม่ทำให้ออกจากฮุก่มของการเดินทางไม่ว่าจะยาวหรือสั้นก็ตาม (หมายถึงการลงพัก) ตราบใดที่ผู้นั้นไม่ได้ลงหลักปักฐานในสถานที่ที่เขาลงพักอยู่นั้น และซัยยิด ซาบิก ก็มีความเห็นตามนี้ด้วย (ดู ฟิกฮุซซุนนะฮฺ เล่มที่ 1 หน้า 268,269) คุณ hasan ก็เอาทัศนะทั้งหมดมาชั่งดู เห็นกับทัศนะไหนก็ว่าไปตามนั้น เรื่องนี้เปิดกว้าง 

ละหมาดที่ย่อได้ มี 3 ละหมาด คือละหมาดที่มี 4 เราะกะอัตเท่านั้นที่ย่อได้ให้เหลือ 2 เราะกะอัต

  1. ละหมาดดุฮรี่ الظهر
  2. ละหมาดอัสรี่ العصر
  3. ละหมาดอีชาอ์ العشاء

อิสลามได้กำหนดรูปแบบของการละหมาดฟัรดู(ที่ไม่ได้อยู่ระหว่างการทำศึก) ไว้ 3 ประเภทด้วยกันคือ

  1. ละหมาดของคนปกติ
  2. ละหมาดของคนมีอุปสรรค์
  3. ละหมาดของคนเดินทาง

ดังมีรายละเอียดดังนี้

  1. การละหมาดของคนที่อยู่ปกติก็ละหมาดไปตามเวลาและข้อกำหนดของแต่ละช่วงเวลาของมัน และแบบอย่างท่านนบี
  2. สำหรับผู้ที่อยู่ในสภาพมีอุปสรรค์ เช่น เจ็บป่วย กำลังรอพาหนะเดินทาง การไปยังสถานที่อื่นไกลบ้านแล้วคาดว่าจะกลับมาไม่ทันเวลาละหมาดข้างหน้า เช่นต้องออกไปหาหมอตอนบ่าย 3 คาดว่าคงจะกลับมาไม่ทันเวลาอัสรี่แน่ๆ หรือมีเหตุอันอาจจะทำให้ไม่สามารถละหมาดได้ตรงตามเวลาที่ถูกกำหนดไว้ ก็สามารถที่จะรวมละหมาดได้ (جمع الصلاة) วิธีการก็คือ นำละหมาดดุฮ์รี่ กับอัศรี่มาขึ้นมารวมกันในเวลาของดุฮรี่ (جمع تقديم) หรือจะเอาละหมาดดุฮ์รี่ลงไปรวมในเวลาอัศริ (جمع تاخير ) แต่ไม่ต้องย่อ และเอามัฆริบกับอีชามารวมกัน โดยจะเอามัฆริบลงไปรวมในเวลาอีชาอฺ หรือเอาอีชาอฺขึ้นมารวมในเวลามักริบก็ได้เช่นเดียวกัน โดยไม่ต้องย่อ (قصر )

อบูซุบัยร์ได้รายงานจากสะอี๊ด บินญุบัยร์ โดยฟังมาจากอิบนิอับาสว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์ ได้ละหมาดซุฮ์ริกับอัศริรวมกันที่มะดีนะห์ โดยที่ไม่ได้อยู่ในภาวะสงครามและไม่ได้เดินทาง อบูซุเบรกล่าวว่า ฉันถามสะอี๊ดว่า ทำใมจึงทำเช่นนั้น เขาตอบว่า ฉันก็เคยถามอิบนิอับบาสอย่างนี้เหมือนกัน เขาตอบว่า ท่านรอซูลไม่ต้องการให้เกิดความยากลำบากแก่ประชาชาติของท่าน (บันทึกโดย อิหม่ามมุสลิม ฮะดีษที่ 1147)

  1. ส่วนผู้ที่อยู่ในสภาพของผู้เดินทางนั้น สามารถที่จะรวมและย่อละหมาดได้ด้วย วิธีการก็คือ

- นำละหมาดซุฮ์ริ กับอัศริมารวมกัน โดยละหมาดย่ออย่างละ 2 ร็อกอัต (มีอิกอมะต์ 2 ครั้ง) ถ้าเอาอัสรี่ขึ้นมาย่อรวมในเวลาของดุฮรี่ เรียกว่า “جمع تقديم “ ย่อรวมต้นของรอบบ่าย ถ้าเอาเวลาของดุฮฺรี่ลงไปย่อรวมกับอัสรี่ เรียกว่า “جمع تاخير “ ย่อรวมหลังของช่วงบ่าย - นำเอาอีชาขึ้นมารวมกับมัฆริบ (ละหมาดมักริบเต็ม 3 ร็อกอัต) เสร็จแล้วละหมาดอีชาอีก 2 ร็อกอัต (มีอิกอมะต์ 2 ครั้ง) “جمع تقديم “ ย่อรวมต้นของละหมาดรอบค่ำ จะเอามัฆริบลงไปย่อรวมในเวลาอีชา (ละหมาดมักริบเต็ม 3 ร็อกอัต) เสร็จแล้วละหมาดอีชาอีก 2 ร็อกอัต (มีอิกอมะต์ 2 ครั้ง) “جمع تاخير” ย่อรวมหลังของช่วงค่ำ

แต่ถ้าการเดินทางสิ้นสุดลงแล้ว อาทิเช่น เดินทางไปทำอุมเราะห์และฮัจญ์ ระหว่างเดินทางอยู่บนเครื่องบินและสนามบิน คือช่วงเวลาเดินทาง ละหมาดย่อและรวมได้ แต่พอถึงที่พักในมักกะห์หรือมะดินะห์ก็ตาม ถือว่าพ้นจากภาวะเดินทางแล้ว เพราะมีที่พักพิงสะดวกสบายแล้ว ให้ละหมาดเต็มตามอิหม่ามในท้องที่นั้นๆ ครั้นเมื่อออกเดินทางไปถึงทุ่งมีนาในวันที่ 8 ซุลฮิจญะห์ ก็เริ่มย่อละหมาดได้ เพื่อจะไปรอวุกุฟในวันที่ 9 ซุลฮิจญะห์ (وقوف ) ในขณะอยู่ที่ทุ่งอารอฟาต เข้าเวลาดุฮรี่ก็ละหมาดโดยการนำเอาอัสรี่ขึ้นมาย่อและรวมกับดุฮฺรี่ ( جمع تقديم ) ถึงเวลามักริบยังไม่ละหมาดให้อพยบไปทุ่งมุซดาลิฟะห์เลย พอมาถึงทุ่งมุซดาลิฟะห์ ก็ให้เอาละหมาดมักริบ( ละหมาดเต็ม) มาละหมาดรวมย่อกับอิชาอฺ (جمع تاخير ) เมื่อกลับมาถึงที่พัก โรงแรม หรือ บ้าน ที่มีความสะดวกสบายแล้ว เป็นอันว่าสิ้นสุดของการเดินทางแล้ว ให้กลับมาละหมาดเต็ม กรณีนี้ไม่อนุญาตให้ละหมาดชดใช้ด้วยการย่อ และรวมได้ (ดูมัฏละอุ้ลบัดรอยน์ ; ชัยค์ ดาวูด อัลฟะฏอนี หน้า 44)

การรวมละหมาด

แก้

ผู้ที่อยู่ในสภาพมีอุปสรรค์ เช่น เจ็บป่วย กำลังรอพาหนะเดินทาง การไปยังสถานที่อื่นไกลบ้านแล้วคาดว่าจะกลับมาไม่ทันเวลาละหมาดข้างหน้า เช่นต้องออกไปหาหมอตอนบ่าย 3 คาดว่าคงจะกลับมาไม่ทันเวลาอัสรี่แน่ๆ หรือมีเหตุอันอาจจะทำให้ไม่สามารถละหมาดได้ตรงตามเวลาที่ถูกกำหนดไว้ ก็สามารถที่จะรวมละหมาดได้ (جمع الصلاة) วิธีการก็คือ
นำละหมาดดุฮ์รี่ กับอัศรี่มาขึ้นมารวมกันในเวลาของดุฮรี่ (جمع تقديم) หรือจะเอาละหมาดดุฮ์รี่ลงไปรวมในเวลาอัศริ (جمع تاخير ) แต่ไม่ต้องย่อ
และเอามัฆริบกับอีชามารวมกัน โดยจะเอามัฆริบลงไปรวมในเวลาอีชาอฺ หรือเอาอีชาอฺขึ้นมารวมในเวลามักริบก็ได้เช่นเดียวกัน โดยไม่ต้องย่อ (قصر )

ท่านอิบนุตัยมียะฮฺ (ร.ฮ.) ระบุว่า อิหม่ามอะฮฺมัดอนุญาตให้ละหมาดรวมได้ เมื่อไม่ว่าง (มีธุระยุ่ง) (ดูฟิกฮุซซุนนะฮฺ เล่มที่ 1/274) การละทิ้งการละหมาด ก็เท่ากับว่ามุสลิมผู้นั้นกำลังนำพาตนเองไปสู่การปฏิเสธ (กุฟร์) ซึ่งท่านนบีฯ ได้กล่าวว่า  : إِنَّ بَيْنَ الَّرجُلِ و بَيْنَ الشِّرْكِ وَالْكُفِر تَركَ الصَّلاَ ةِ “แท้จริงระหว่างบุคคลและระหว่างการตั้งภาคีกับการปฏิเสธนั้นคือการละทิ้งการ ละหมาด” (รายงานโดยมุสลิม -82-) ผู้ละทิ้งการละหมาดจะถูกใช้ให้สำนึกผิดและกลับตัว (เตาบะฮฺ) และทำการละหมาด แต่ถ้าหากเขายืนกรานที่จะละทิ้งการละหมาดก็จะต้องถูกลงโทษประหารชีวิต ถึงแม้จะเป็นการละหมาดเพียงเวลาเดียวก็ตาม ทั้งนี้มีหลักฐานจากอัลหะดีษระบุว่า  : أمِرْتُ أَنْ أُقَاتِلَ النَّاسَ حَتّى يَشْهَدُوْاأَنْ لاَإِلهَ إلا الله وأنَّ محمدً ارَسُولُ اللهِ ، ويُقِيْمُواالصَّلاَةَ ويُؤْتُواالزَّكَاةَ ، فإذافَعَلُوْاذٰلِكَ عَصَمُوْامِنِّىْ دِمَاؤَهُمْ وأَموالَهُمْ إِلاَّبِحَقِّ الإِسْلاَمِ ، وحِسَابُهُمْ عَلَى اللهِ “ฉันได้ ถูกบัญชาให้รณรงค์กับผู้คนทั้งหลายจนกว่าพวกเขาจะปฏิญาณว่าไม่มี พระเจ้าองค์ใดนอกจากอัลลอฮฺ และแท้จริงมุฮัมมัดคือศาสนทูตของอัลลอฮฺ และจนกว่าพวกเขาจะดำรงการละหมาดและจ่ายซะกาต ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้กระทำสิ่งดังกล่าวแล้ว พวกเขาก็ได้ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขาจากฉันแล้วเว้นเสียแต่ด้วย สิทธิแห่งอิสลาม และการพิพากษาพวกเขาเป็นกิจของอัลลอฮฺ” (รายงานโดยบุคอรี -25-/มุสลิม -22-)

วิธีการละหมาดญะนาซะห์

แก้

(ละหมาดคนตาย) صلاة الجنازة (كيفية لصلاة على الميت) ตำแหน่งการยืนของอิหม่ามต่อมัยยิต

  1. ให้ยืนทางด้านศีรษะสำหรับมัยยิตชาย
  2. มัยยิตที่เป็นหญิงให้อิหม่ามยืนตรงช่วงเอวหรือสะโพก

มะอะมูม(ผู้ละหมาดตาม) ให้เข้าแถวเรียงหน้ากระดานไปหลายๆ แถว เน้นให้ได้หลายๆ แถว (ไม่ต้องยืนเข้าแถวแบบละหมาดธรรมดา)

1. การละหมาดญะนาซะห์ วาญิบผู้ละหมาดจะต้องอาบน้ำนมาซ 2. เหนียต (ตั้งเจตนา) ว่านมาซญะนาซะห์ โดยไม่อนุญาตให้กล่าวคำเหนียตออกมาเป็นคำพูด 3. ยกมือทั้งสองข้าง แบตั้งหันเอาฝ่ามือออกไปทางกิบลัต เสมือนว่าเราจะยื่นไปจับหินดำ ยกขึ้นเสมอไหล่กล่าว ตักบีเราะตุลอี้หะรอม (تكبيرة الإحرام) ว่า อัลลอฮุ อักบัรاللهُ أَكْبَرُ แล้วเอามือลงมากอดอก ฝ่ามือขวาทับอยู่บนหลังมือซ้าย กอดอกระดับใต้ราวนม 4. จากนั้นให้อ่านซูเราะห์ฟาติหะห์ 5. กล่าวตักบีรฺ (ครั้งที่สอง) ว่า “อัลลอฮุอั๊กบัรฺ اللهُ أَكْبَرُ ” โดยไม่ต้องยกมือ 6. และให้อ่านเศาะละวาตนบี 7. กล่าวตักบีรฺ (ครั้งที่สาม) ว่า “อัลลอฮุอั๊กบัรฺ اللهُ أَكْبَر ” แล้วอ่านดุอาอ์ว่า « اللَّهُمَّ اغْفِرْ لَهُ وَارْحَمْهُ وَاعْفُ عَنْهُ وَعَافِهِ وَأَكْرِمْ نُزُلَهُ وَوَسِّعْ مُدْخَلَهُ وَاغْسِلْهُ بِالماَءِ وَالثَلْجِ وَالبَرَدِ وَنَقِّهِ مِنَ الْخَطَايَا كَمَا يُنَقَّى الثَّوْبُ الأَبْيَضُ مِنَ الدَّنَسِ وَأَبْدِلْهُ دَارًا خَيْرًا مِنْ دَارِهِ وَأَهْلاً خَيْرًا مِنْ أَهْلِهِ وَزَوْجًا خَيْرًا مِنْ زَوْجِهِ وَأَدْخِلْهُ الجَنَّةَ وَأَعِذْهُ مِنْ عَذَابِ القَبْرِ وَمِنْ عَذَابِ النَّار » คำอ่าน “อัลลอฮุมมัฆฟิรฺ ล่าฮู วัรฺฮัมฮุ วะอฺฟุ อันฮุ ว่าอาฟี้ฮี ว่าอั๊กริม นุซุล่าฮู ว่าวัซเซี๊ยะอฺ มุดค่อล่าฮู วัฆซิลฮุ บิ้ลมาอี้ วัซซัลยี่ วัลบ้าร่อดี้ ว่านักกี้ฮี มินัลค่อฏอยาย่า ก้ามา ยุนักก็อยเซาบุลอั๊บย่าฎุ มินัดด้านัซ ว่าอั๊บดิ้ลฮุ ดาร็อนค็อยรอน มิน ดารี่ฮี ว่าอะฮฺลัน ค็อยรอน มินอะหฺลี่ฮี ว่าเซายัน ค็อยรอน มิน เซายี่ฮี ว่าอัดคิลฮุลญันน่าต้า ว่าอ้าอิซฮุ มิน อ้าซาบิ้ลก็อบรี่ ว่ามินอ้าซาบินนารฺ” คำแปล “โอ้อัลลอฮฺขอพระองค์ทรงอภัยโทษให้แก่เขา, ทรงเมตตาต่อเขาทรงให้เขามีความปลอดภัย, ทรงอภัยโทษให้แก่เขา, ทรงทำให้ที่ลงของมีเกียรติ, ทรงทำให้ที่ข้าวของเขากว้างขวาง, ขอพระองค์ทรงโปรดชำระล้างเขาด้วยน้ำ, น้ำหิมะ, และน้ำลูกเห็บ และทรงโปรดทำให้เขาบริสุทธิ์ผุดผ่องจากความผิดต่างๆ ของเขา เสมือนกับที่พระองค์ทำให้เสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ผุดผ่องจากสิ่งสกปรก, ขอพระองค์ทรงเปลี่ยนบ้านที่ดีกว่าบ้านของเขา และครอบครัวที่ดีกว่าครอบครัวของเขา, เปลี่ยนคู่ครองที่ดีกว่าคู่ครองของเขา, พระองค์ทรงทำให้เขาเข้าสวรรค์, ขอพระองค์ทรงปกป้องเขาจากการลงโทษในหลุมฝังศพ และการจากลงโทษในไฟนรกด้วยเถิด” 8. กล่าวตักบีรฺ (ครั้งที่สี่) ว่า “อัลลอฮุอั๊กบัรฺ اللهُ أَكْبَر ” (ซุนนะตุ้นนบีไม่ยกมือ) ไม่ต้องกล่าวอะไรทั้งสิ้น 9. ให้สลาม السَّلاَمُ عَلَيْكُمْ وَرَحْمَةُ اللَّهِ ครั้งเดียวหน้าตรง ไม่หันซ้ายขวา ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺเล่าว่า

 أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم صَلَّى عَلَى جَنَازَةٍ فَكَبَّرَ عَلَيْهَا أَرْبَعًا وَسَلَّمَ تَسْلِيمَةً وَاحِدَةً  

“แท้จริงท่านรสูลุลลอฮฺนมาซญะนาซะฮฺโดยตักบีรฺสี่ครั้ง และให้สลามเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” ให้สลามแล้วถือว่านละหมาดญะนาซะห์สมบูรณ์แล้ว จากนั้นให้แบกผู้ตาย (มัยยิต ميت ) ไปกุบูรฺทันที โดยไม่มีการอ่านดุอาอ์ หรืออ่านอัลกุรฺอานอะไรอีก

- ศาสนาอนุญาตให้ผู้หญิง (มุสลิมะฮฺ) นมาซให้แก่คนตายได้ มุสลิมะฮฺในยุคของท่านรสูลุลลอฮฺก็เคยนมาซในแก่ผู้ตายมาแล้ว - ***ท่านเราะซูลุลลอฮิสอนว่า “ถ้าใครละหมาดญะนาซะห์ เขาจะได้ผลบุญเท่ากับเขาอุหุด และถ้า ใครเดินตามมัยยิตไปส่งถึงที่กุบูรเขาก็จะได้ผลบุญเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าเขาอุหุด”

วิธีอาบน้ำมัยยิต

1. ควรวางมัยยิตไว้สถานที่สูง 2. เปลื้องผ้าของมัยยิต จากนั้นนำผ้ามาปิดเอาเราะห์ของเขา 3. ผู้อาบน้ำให้มัยยิตจะต้องเนียตอาบน้ำให้มัยยิต 4. ให้รีดท้องมัยยิตเบาๆ เพื่อนำสิ่งที่ค้างอยู่ภายในออกมา และให้ขจัดนะญิส บนร่างกายของเขา 5. ให้ผู้อาบน้ำให้มัยยิตนำผ้ามาพันมือ หรือถุงมือ ขณะถูอวัยวะที่เป็นเอาเราะห์ของผู้ตาย (เพราะการกระทบเอาเราะห์ของผู้ตายถือว่าต้องห้าม) 6. ให้ผู้อาบน้ำมัยยิตอาบน้ำละหมาดให้แก่มัยยิต 7. เสร็จแล้วให้อาบน้ำให้มัยยิต 3 ครั้งด้วยน้ำและสบู่ (หากเห็นว่าไม่สะอาดจะทำให้มัยยิต 5, 7 ครั้งก็ได้) 8. เมื่ออาบเสร็จแล้วให้นำผ้าสะอาดมาซับร่างกายมัยยิตให้แห้ง (เพื่อมิให้ผ้ากะฝั่งเปียก) 9. ขั้นตอนสุดท้ายให้พรมน้ำหอมตามร่างกายมัยยิต

ภาคผนวก - ไม่พบหลักฐานให้ตัดเล็บ ขลิบหนวด โกนขนรักแร้,ถอนขนในร่มผ้าของผู้ตาย แต่ควรหวีผมและสางเคราผู้ตายให้เรียบร้อย - อนุญาตให้สามีอาบน้ำมัยยิตให้แก่ภรรยา (หรือภรรยาอาบน้ำให้แก่สามีได้) ส่งเสริมให้ผู้อาบน้ำมัยยิตอาบน้ำเสมือนการอาบน้ำญะนาบะฮ - Salatul Janzah is Fard Kafayah ละหมาดญะนาซะห์เป็นฟัรดูกิฟายะห์ หมายถึงใครทำก็ได้บุญ ถ้ามีคนอื่นทำแล้วเราจะไม่ทำก็ไม่บาป แต่เราทำแล้วเราจะได้ผลบุญใหญ่เท่าเขาอุหุด ถ้าตามไปฝังด้วยก็จะได้บุญอีกหนึ่งเท่าเขาอุหุดอีก รวมได้สองเท่าเขาอุหุด ฉะนั้นเลือกที่ทำดีกว่าไปผลบุญมากมาย

อะซาน และ อิกอมะห์

แก้

اذان و اقامه

คำอะซานของท่านบิลาล(เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ رضي الله عنه ) ซึ่งท่านใช้อะซานในสมัยท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) (เป็นหะดีษหะสัน บันทึกโดยอบู ดาวูด หมายเลข 499 และอิบนุ มาญะฮฺ 706 ) ซึ่งมีทั้งหมด 15 ประโยค ดังนี้

ประโยคอะซาน اذان

1. อัลลอฮุอักบัรฺ (อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่) للهُ أَكْبَرُ
2. อัลลอฮุอักบัรฺ (อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่) للهُ أَكْبَرُ
3. อัลลอฮุอักบัรฺ (อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่) للهُ أَكْبَرُ
4. อัลลอฮุอักบัรฺ (อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่) للهُ أَكْبَرُ
5. อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ (ข้าปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ) َشْهَدُ أَنْ لا إلَـهَ إلَّا الله
6. อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ (ข้าปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ) َشْهَدُ أَنْ لا إلَـهَ إلَّا الله
7. อัชฮะดุอันนะ มุหัมมะดัร เราะซูลุลลอฮฺ (ข้าปฏิญาณว่า มุหัมมัดนั้นเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ) َشْهَدُ أَنَّ مُـحَـمَّداً رَسُولُ الله
8. อัชฮะดุอันนะ มุหัมมะดัร เราะซูลุลลอฮฺ (ข้าปฏิญาณว่า มุหัมมัดนั้นเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ) َشْهَدُ أَنَّ مُـحَـمَّداً رَسُولُ الله
9. หัยยะ อะลัศ เศาะลาฮฺ (มาละหมาดกันเถิด) حَيَّ عَلَى الصَّلَاةِ
10. หัยยะ อะลัศ เศาะลาฮฺ (มาละหมาดกันเถิด) حَيَّ عَلَى الصَّلَاةِ
11. หัยยะ อะลัล ฟะลาหฺ (มาสู่ความสำเร็จกันเถิด) حَيَّ عَلَى الفَلَاحِ
12. หัยยะ อะลัล ฟะลาหฺ (มาสู่ความสำเร็จกันเถิด) حَيَّ عَلَى الفَلَاحِ
* * อัซเซาะลาตุ ค็อยรุ่ม มินัลโนม อะซานเพิ่มเติมในเวลาฟัจรี่ (ซุบฮิ) الصلاة خير من النوم *
* * อัซเซาะลาตุ ค็อยรุ่ม มินัลโนม อะซานเพิ่มเติมในเวลาฟัจรี่ (ซุบฮิ) الصلاة خير من النوم *
13. อัลลอฮุอักบัรฺ للهُ أَكْبَرُ
14. อัลลอฮุอักบัรฺ للهُ أَكْبَرُ
15. ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ) لا إلَـهَ إلَّا الله


ประโยค อิกอมะห์

แก้

اقامه

1. อัลลอฮุอักบัรฺ (อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่) اللهُ أَكْبَرُ
2. อัลลอฮุอักบัรฺ (อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่) اللهُ أَكْبَرُ
3. อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ (ข้าปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ) أَشْهَدُ أَنْ لا إلَـهَ إلَّا الله
4. อัชฮะดุอันนะ มุหัมมะดัร เราะซูลุลลอฮฺ (ข้าปฏิญาณว่า มุหัมมัดนั้นเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ) أَشْهَدُ أَنَّ مُـحَـمَّداً رَسُولُ الله
5. หัยยะ อะลัศ เศาะลาฮฺ (มาละหมาดกันเถิด) حَيَّ عَلَى الصَّلَاةِ
6. หัยยะ อะลัล ฟะลาหฺ (มาสู่ความสำเร็จกันเถิด) حَيَّ عَلَى الفَلَاحِ
7. ก็อดกอมะติศ เศาะลาฮฺ (การละหมาดได้เริ่มแล้ว) قَدْ قَامَتِ الصَّلاةُ
8. ก็อดกอมะติศ เศาะลาฮฺ (การละหมาดได้เริ่มแล้ว) قَدْ قَامَتِ الصَّلاةُ
9. อัลลอฮุอักบัรฺ اللهُ أَكْبَرُ
10. อัลลอฮุอักบัรฺ اللهُ أَكْبَرُ
11. ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ) لا إلَـهَ إلَّا الله


มีสุนัตสำหรับผู้ที่ได้ยินเสียงอะซานไม่ว่าจะชายหรือหญิงให้กล่าวตามคำอะซาน ทุกประโยค ยกเว้นเมื่อรับประโยค “หัยยะอะลัศเศาะลาฮฺ” กับ “หัยยะอะลัลฟะลาหฺ” ให้กล่าวว่า (لَا حَوْلَ وَلَا قُوَّةَ إلَّا بِالله) (อ่านว่า ลาเฮาละ วะลา กุวะตะ อิ้ลลา บิ้ลลาฮิ) ทั้งนี้เพื่อที่จะได้รับผลบุญเหมือนกับผู้อะซาน

อ้างอิง

แก้


[1]
[2]
[3]
[4]

แหล่งข้อมูลอื่น

แก้


https://ar.wikipedia.orghttps://ar.wikipedia.org
http://www.prayerinislam.com
http://en.islamway.net
http://www.qataru.com
https://en.wikipedia.org/wiki/Salat
http://www.qss.org/articles/salah/toc.html

  1. คู่มือมุสลิมเบื้องต้น (ฉบับสมบูรณ์) โดย อาจารย์การีม อับดุลเลาะฮ์ สำนักพิมพ์ ส.วงศ์เสงี่ยม กรุงเทพ
  2. วิธีละหมาดตามบัญญัติอิสลาม พิมพ์ครั้งที่ 7 โดยอัล-อิศลาหฺสมาคม บางกอกน้อย สำนักพิมพ์ ทิพยวิสุทธิ์ กรุงเทพ นายฉลอง อัมไพรวรรณ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา
  3. นมาซของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ โดย อิสมาอีล อะหฺมัด สมาคมญัมอียะตุลอิสลาม (เจ้าของ) พิมพ์ครั้งที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 สำนักพิมพ์ บริษัท กรีน ออกัสท์ จำกัด กรุงเทพ
  4. หะดีษ เล่ม 2 โดยอาจารย์อิสมาอีล วิสุทธิปราณี และอาจารย์ชาฟิอี นภากร กรรมการอิลาม กรุงเทพมหานคร สำนักพิมพ์วุฒิกรการพิมพ์ กรุงเทพ ฃนายมานิตย์ งามมานะ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา