วัดเสมาเมือง

ประวัติความเป็นมา

          มีหลักฐานกล่าวถึงประวัติการสร้างวัดเสมาเมืองไว้ว่า พระเจ้าศรีธรรมโสกราช เป็นผู้ทรงสร้างวัดนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๓๑๘ ภายหลังที่ได้สร้างพระบรมธาตุแล้ว ๑๘ ปี สถานที่สร้างวัดนี้เป็นทำเลใจกลางเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยนั้น มีพระประสงค์ที่จะให้ภิกษุ ฝ่ายมหายานจำพรรษาเป็นแห่งแรก วัดนี้เป็นต้นกำเนิดของวัดทั้งหลายในเมืองนคร 
        ในการสร้างวัด ได้มีการสร้างศาสนสถานด้วยอิฐรวมสามหลัง สร้างและอุทิศถวายแด่พระพุทธองค์ผู้ทรงชำนะมาร พระโพธิสัตว์ปัทมปาณี และวัชรปาณี นอกจากนี้ก็มีสถูป ๓ องค์ซึ่งพระราชทานนามว่า ชยันตะ สร้างขึ้นตามพระราชโองการของพระราชาและเจดีย์อีก ๒ องค์ ความสำคัญต่อชุมชน เป็นสถานที่ทำพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
         วัดเสมาเมืองเป็นวัดที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของเมืองนครศรีวิชีย จารึกจากวัดเสมาเมืองซึ่งสลักบนหินทราย เป็นรูปใบเสมา สูง ๑.๐๕ เมตร ฐานกว้าง ๔๐ เซนติเมตร และส่วนยอดกว้าง ๕๐ เซนติเมตร ได้กลายเป็นหลักฐานที่ช่วยคลี่คลายปัญหาทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีลงได้อย่างมาก

จารึกวัดเสมาเมือง

     ประวัติเรื่องตำแหน่งเดิมของจารึกหลักนี้ยังคงหาข้อสรุปไม่ได้ เนื่องจาก มีข้อมูลกล่าวถึงหลายกระแส แต่อย่างไรก็ตาม หอสมุดแห่งชาติได้สรุปข้อมูลเป็นเบื้องต้นไว้ว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งยังเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้เสด็จตรวจราชการหัวเมืองชายทะเลตะวันตก ได้มีรับสั่งให้นำจารึกซึ่งพบในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราชนั้น เข้ามาเก็บรักษาไว้หอสมุดแห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติได้สรุปข้อมูลที่กล่าวถึงที่มาของจารึกหลักนี้ไว้เป็นข้อๆ ดังนี้คือ

๑. วัดเสมาเมือง ตำบลเวียงศักดิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช : หลักฐานเก่ามีหมายเหตุไว้ว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ทรงนำจารึกหลักนี้มาแต่ตำบลเวียงศักดิ์ แขวงเมืองนครศรีธรรมราช คราวเสด็จตรวจราชการหัวเมืองชายทะเลตะวันตก ได้โปรดเกล้าประทานไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และได้นำมาตรวจอ่าน เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๐ และข้อมูลนี้ก็มีกล่าวถึงอีกในหนังสือ “ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ ๒ ฉบับภาษาไทย (พ.ศ. ๒๔๗๒)” ความว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงได้มาจากวัดเสมาเมือง ตำบลเวียงศักดิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช แล้วได้รับสั่งให้ย้ายมาเก็บรักษาไว้ที่หอพระสมุดวชิรญาณ และยังมีข้อมูลจากบันทึกของนายประสาร บุญประคอง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ ที่กล่าวว่า ศิลาจารึกนี้ในขั้นแรกคิดกันว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงได้มาจากตำบลเวียงสระ ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี ต่อมาพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งเป็นชาวนครศรีธรรมราชมาเห็นเข้า จำได้ว่าศิลาจารึกหลักนี้เคยอยู่ในวัดเสมาเมืองที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ๒. ตำบลเวียงสระ อำเภอบ้านนา จังหวัดสุราษฏร์ธานี : สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงได้มาจาก ตำบลเวียงสระ แล้วได้รับสั่งให้ย้ายมาเก็บรักษาไว้ที่หอพระสมุดวชิรญาณ ข้อมูลนี้มีปรากฏอยู่ในหนังสือ “ประชุมศิลาจารึกสยาม ภาคที่ ๒ ฉบับภาษาฝรั่งเศส (พ.ศ. ๑๔๗๒)” ๓. วัดเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี : ในสำเนาหนังสือของพระยาคงคาวราธิบดี สมุหเทศาภิบาลมณฑลสุราษฎร์ ฉบับลงวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ว่าได้ส่งศิลาจารึกจำนวน ๒ หลักมายังพระนคร แต่เมื่อหอสมุดแห่งชาติตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่าจารึกทั้ง ๒ หลักดังกล่าวตรงกับจารึกวัดหัวเวียงเมืองไชยา ๑ (หลักที่ ๒๔ หรือ สฏ. ๓) และ จารึกวัดหัวเวียงเมืองไชยา ๒ (หลักที่ ๒๔ ก. หรือ สฏ. ๔) แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเปรียบเนื้อหาที่ปรากฏในจารึกที่กล่าวถึงปราสาทอิฐ ๓ หลัง กับหลักฐานทางโบราณคดีที่วัดเวียงแล้ว ก็น่าสนใจว่ามีเนื้อหาที่สอดคล้องกันยิ่ง กล่าวคือ ใน อำเภอไชยานั้น นอกจากจะมีโบราณสถานสำคัญเนื่องในพระพุทธมหายานคือพระบรมธาตุไชยาแล้ว ยังมีโบราณสถานที่ก่อด้วยอิฐอีก ๓ หลังคือ วัดเวียง วัดหลง และ วัดแก้ว ซึ่งเป็นแนวเรียงกัน ดังนั้น ประเด็นที่ว่าจารึกวัดเสมาเมืองนี้ มาจากที่ไหน ถ้าพิจารณาตามหลักฐานทางโบราณคดีแล้ว ก็มีความเป็นได้สูงว่าน่าจะมาจากอำเภอไชยาได้เช่นกัน ซึ่งตัวจารึกเองอาจถูกเคลื่อนย้ายจากไชยาไปยังเก็บรักษาไว้ที่วัดเสมาเมืองมานานแล้วก็เป็นได้ ในเมื่อขณะนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ฐานข้อมูลชุดนี้จึงขอนำเสนอข้อมูลตามที่หอสมุดแห่งชาติได้พิมพ์เผยแพร่ใน จารึกในประเทศไทย เล่ม ๑ ที่ระบุไว้เป็นเบื้องต้นว่า พบที่วัดเสมาเมือง ตำบลเวียงศักดิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช