ผู้ใช้:Ophconsultant/กระบะทราย

=== เกี่ยวกับโค้ช === วีย์รฎา กวิณรวีบริรักษ์ โค้ชหญิงรุ่นใหม่กับพลังบวกความตั้งใจสู่แนวคิด "คิดดี ทำดี ต้องได้ดี" และเส้นทางการดำเนินชีวิตบนถนนวิทยากรอิสระ ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่ผ่านมาอะไรคือจุดเปลี่ยนของการก้าวเข้ามาสู่ถนนสายโค้ชนักพูดปลุกพลังบวก วิทยากรผู้สร้างภาวะผู้นำ การขาย การบริการ การบริหารและการพัฒนาตนเอง

ไฟล์:C:/AppServ/www/weby/images/4.jpg
คุณพ่อมาโนช - คุณแม่เรียม

===เสียงแรกของชีวิต===

 คุณพ่อเล่าให้ฟังว่ามีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เกิดบนผืนแผ่นดินถิ่นจันทบูร  น้ำหนักไม่ถึง 2 กิโลกรัม หลับตาแผดเสียงร้องจ้า ในเช้าวันพุธ เวลา 08.00 น. แต่พลังเสียงร้องของเธอก้องดังกังวาน  ทำลายความเงียบงันในบริเวณห้องสีขาวของโรงพยาบาล ทุกสายตาของผู้หญิงผู้ชายในชุดสีเขียวจ้องมองด้วยความแปลกใจ “เธอรอดมาได้ยังไงตัวเท่านี้”    ขณะช่วงเวลาพี่น้องชาวไทยทุกท่านยืนตรงสงบเคารพธงชาติ…หลายครั้งที่คุณพ่อเล่าให้ฟัง ดิฉันยังอดนึกไม่ได้ว่านี่หรือคือการดิ้นรนต่อสู้ของลมหายใจแรกเมื่อมาเยือนพื้นโลก “นั่นคือครั้งแรกที่ฉันใช้พลังเสียงเพื่อทักทายโลกมนุษย์
ไฟล์:C:/AppServ/www/weby/images/1.jpg
50*100px
ไฟล์:C:/AppServ/www/weby/images/5.jpg
50*100px

===ประวัติครอบครัวและการศึกษา=== คุณพ่อมาโนชและคุณแม่เรียมสอนพวกเราพี่น้อง 3 คนเสมอตั้งแต่จำความได้ "คิดดี ทำดี ต้องได้ดี" และแม้ทุกวินาทีที่ก้าวเดินไม่เคยมีวันไหนเลยที่ดิฉันไม่นึกถึงคำสอนทุกประโยค ในสมัยเรียนประถมดิฉันเรียนโรงเรียนสฤษดิเดช จันทบุรี ก่อนนั้นคุณพ่อและคุณแม่ไม่มีเวลาดูแลเรา 3 คน ดิฉันค่อนข้างเกเรกว่าพี่ชายและน้องชาย เพราะพี่เลี้ยงที่ดูแลต้องเปลี่ยนไปหลายคน จำได้ว่าช่วงเรียน ป. 4 ครูประจำวิชาคณิตศาสตร์เขียนตัวประมาณ 1 นิ้วกลางหน้ากระดาษสมุดการบ้านว่า “ชุ่ยมาก” ด้วยความเจ็บใจและอีกส่วนหนึ่งคือกลัวคุณพ่อมาอ่านแล้วเสียใจที่ลูกไม่เอาไหน ดิฉันกลับมานั่งคัดลายมือแบบหัวกลม หัวเหลี่ยม ทุกวันวันละชั่วโมง ท่านเชื่อไหมต่อมาทุกปีดิฉันได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดคัดลายมือและการทำกิจกรรมมาตลอด

  หลายครั้งที่นึกย้อนในวัยเด็กหลายสิ่งที่ครอบครัวปลูกฝังเป็นสิ่งที่ดีงามและให้ดิฉันทำงานรับราชการตามรอยเท้าของคุณพ่อ เมื่อ ปี พ.ศ. 2540  ครอบครัวดิฉันโดนภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจต้มยำกุ้งอย่างหนักประจวบกับคุณพ่อล้มป่วยแบบกระทันหันต้องเข้ารับการผ่าตัดเกี่ยวกับสมองและไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติมาแต่นั้น
  เมื่อตัดสินใจสอบเข้าเรียน มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นหลักสูตรภาคบังคับของดิฉันว่าต้องเรียนต่อ

ด้านสุขภาพ 4 ปี ให้จบเท่านั้นเพื่อจะได้ออกมาช่วยกิจการและดูแลคุณพ่อ โดยไม่มีโอกาสเลือกเรียน 6 ปี เหมือนอย่างใจหวังและขณะเรียนต้องทำงานหารายได้ช่วงเย็นตามร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารFast food ตัวแทนแนะนำสินค้า เพื่อนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างเรียนขณะคุณพ่อป่วยนานหลายปี เคยคิดตั้งใจทำงานด้านนักเขียนมากหลังเรียนจบแต่ใช้วิธีการส่งบทความ เรื่องสั้นไปตามสำนักพิมพ์ต่างๆ เช่น มหาสนุก ขายหัวเราะ เงินรางวัลที่ได้มาในสมัยนั้นครั้งละ 500 บาท ดิฉันก็ภาคภูมิใจและมีความสุขที่สุดแล้ว

ไฟล์:C:/AppServ/www/weby/images/2.jpg
รางวัลชนะเลิศแกะสลักระดับประเทศ

===เส้นทางอาชีพโค้ช===

    ปี พ.ศ. 2538 พระอาจารย์รูปหนึ่งธุดงค์มาไกลจากวัดเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ คุณพ่อพาดิฉันไปถวายน้ำปานะ ท่านนั่งวิปัสสนากรรมฐานที่ท้ายสวนของคุณพ่อและกล่าวกับดิฉันว่า “.ให้ทำแต่ความดี คิดดี พูดดีและทำงานด้านการสอน เป็นอาจารย์ให้ความรู้ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง”  เมื่อเติบโตมาจึงเข้าใจและทราบซึ้งถึงคำสอนของคุณพ่อและพระอาจารย์เป็นอย่างดี
   ดิฉันเคยทำงานประจำมาระยะหนึ่งเพื่อใช้วิชาชีพและจรรยาบรรณที่ร่ำเรียนมา ทั้งงานขาย งานสายประกัน งานอาจารย์ แต่ไม่เคยมีช่วงชีวิตการทำงานครั้งใดเลยที่ดิฉันทำงานว่างแล้วพักผ่อนเพื่อเก็บแรงไว้สู้ต่อ ทุกครั้งดิฉันจะรับทำงานนอกเวลาเพื่อเขียนบทความลงวารสาร ออกไปหาสินค้ามือสองค้าขายในตลาดเช้าหรือตลาดยามค่ำคืน นั่งวาดภาพศิลปะสีน้ำ  เขียนเสื้อเป็นรูปต่างๆตามอำเภอใจขาย บางครั้งกว่าจะกลับมาพักผ่อน ตี 3-4 อีกวันต้องไปทำงานต่อ หรือบางครั้งลงทุนเอาเวลาและเงินไปนั่งฟังสัมมนาทุกสิ่งที่น่าสนใจเพื่อเก็บเกี่ยวประโยชน์มาเป็นคลังความรู้แก่ตน  เพื่อนดิฉันเคยถามว่า “ไม่เหนื่อยหรือ?? พักบ้างเถอะสงสารสังขาร” แต่ชีวิตดิฉันเหมือนติดเทอร์โบไว้ที่ขาหากวันใดไม่ได้ทำงานหรือสรรหาความรู้ใส่ตนเองชีวิตเหมือนอาหารขาดรสชาติอร่อย
   ต่อมา ดิฉันสนใจงานด้านการตลาดจึงไปศึกษาต่อเพิ่มเติมด้านการบริหารธุรกิจและศึกษาอย่างจริงจังเรื่องงาน IMC (Integrated Marketing Communication) และ CSR (Corporate Social Responsibility) เพราะแรงบันดาลใจจากการมองเห็นปัญหาหลายบริษัท ไม่มีการดึงศักยภาพขององค์กรมาใช้อย่างแท้จริง  มีคนจำนวนไม่มากที่จะคิดปรับปรุงแต่ส่วนมากแล้วจะทำที่ปลายเหตุมากกว่า  ครั้งหนึ่งเพื่อนร่วมรุ่นเคยคุยผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คด้วยความท้อแท้ว่า” อยากเปลี่ยนงานเพราะที่ทำงานมีแต่สงครามกลางเมือง คนรวมกลุ่มต่อว่าใส่ความ หัวหน้าไม่สอนงาน มีแต่อารมณ์ระเบิดใส่ลูกน้อง “ดิฉันจึงพยายามหาอ่านหนังสือหลายเล่มและวิจัยทั้งในและต่างประเทศว่าวิธีการจัดการกับมนุษย์เจ้าปัญหาทุกประเภทและทำให้ดำรงชีวิตอย่างสงบสุขแบบไม่เบียดเบียน ไม่สันโดษแต่มั่งมีประสบความสำเร็จ ควรทำอย่างไร
   ดิฉันตัดสินใจเดินออกมาจากวงจรงานประจำเพราะเรียนรู้ที่จะให้มากกว่าได้รับและตั้งใจจริงด้วยพลังความคิดบวกที่เดินบนเส้นทางการเป็นผู้ให้ความรู้และที่ปรึกษาแก่ศิษย์ด้วยการสั่งสมประสบการณ์และการทำงานด้านวิทยากรมากว่า 10 ปี ในเกือบทุกจังหวัดของประเทศไทยที่ดิฉันได้เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จอีกหลายพันหลายหมื่นชีวิต ดังประโยคที่พระอาจารย์กล่าวไว้แก่ดิฉันเกือบ 20 ปีมาแล้ว
   ทุกวันนี้  ดิฉัน ยังเป็นอาจารย์คนเดิมของศิษย์ทุกท่านที่ให้คำปรึกษาและรู้สึกยินดียิ่งที่ศิษย์และผู้ร่วมอบรมสัมมนามีคุณภาพชีวิต ความคิดที่ดีขึ้น มีระบบการทำงานที่ดี เป็นนักขายมืออาชีพ องค์กรมีการปรับปรุงพัฒนา มีความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
ไฟล์:C:/AppServ/www/weby/images/1-2.jpg
50*100px

===คำขอบคุณผู้ให้แรงบันดาลใจ===

-  กราบขอบพระคุณพระคุณเจ้า พระอาจารย์วัดเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ผู้ชี้ทางสว่างและเบิกทางชีวิต
-  คุณพ่อมาโนช ผู้มอบพรสวรรค์ทางปัญญา คำพูดที่เป็นแรงบันดาลใจผลักดันให้ดำเนินชีวิตอย่างมีสติและตั้งอยู่ในความเพียร
- คุณแม่เรียม ให้กำลังใจทุกนาทีและผู้ให้กำเนิดหญิงร่างเล็กคนนี้ออกมาเป็นโค้ชนักพูดเพื่อสร้างรอยยิ้มและพัฒนาความรู้แก่ทุกท่าน
- คุณ พอลล์ กำลังใจที่ดีที่สุดและคลังสมองทางความคิด ทุกเวลา
-  มหาวิทยาลัยมหิดล และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ คณาจารย์รวมทั้งเพื่อนร่วมรุ่นทุกท่าน ที่ได้มอบความรู้ที่มีค่าที่สุดในชีวิต
- คุณ ปวีณา หงสกุล ผู้หญิงตัวจริงสวยทั้งจิตใจและใบหน้า ผู้เป็นแบบอย่างนักสู้เพื่อสิทธิสตรี
- ทุกกำลังใจจากพี่ๆและเพื่อนๆ บริษัทไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่ทุกท่าน

-ขอขอบคุณผู้รับการอบรมทุกท่านและลูกศิษย์ทุกท่านที่ติดตามเป็นกำลังใจตลอด มา และทุกประสบการณ์งานที่ร่วมงาน