ผู้ใช้:Oammysoft/กระบะทราย

ที่มา ข้าวไรซ์เบอร์รี เป็นพันธุ์ข้าวที่ได้รับการปรับปรุงพันธ์ุจากศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว โดยได้รับความร่วมมือจากคณะกรรมการกรมวิจัยแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเกิดจากการผสมระหว่างข้าวหอมนิลและข้าวหอมมะลิ 105 ทำให้ได้พันธุ์ข้าวที่ลักษณะเด่นคือ เป็นข้าวสีม่วง เมล็ดข้าวเรียวยาวมีผิวมันวาว สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ต้านทานต่อโรครากไหม้ และทนต่อสภาพธาตุเหล็กเป็นพิษในดิน

ลักษณะเฉพาะ ข้าวไรซ์เบอร์รีมีลำต้นสูงประมาณ 105 ถึง 110 เซนติเมตร ลักษณะเป็นข้าวเจ้าสีม่วงเข้ม รูปร่างเมล็ดเรียวยาว ถ้าเป็นเปลือกยาว 11 มิลลิเมตร ข้าวกล้องยาว 7.5 มิลลิเมตร ข้าวขัดขาวยาว 7.0 มิลลิเมตร เมล็ดข้าวเมื่อหุงแล้วจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีความนุ่มนวลและยืดหยุ่น

การปลูกและการเก็บเกี่ยว การปลูกควรเลือกพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ติดต่อกัน มีความอุดมสมบรูณ์สูงของดินสูง และอยู่ห่างจากถนนสายหลักประมาณ 100 ถึง 200 เมตร เพื่อลดมลพิษทางอากาศ ในการปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี จะใช้วิธีปักดำต้นกล้า 20 วัน และทำการดำนาโดยใช้กล้าข้าว 1 ต้นต่อ 1 กอ เว้นระยะห่างระหว่างกอ 1 ไม้บรรทัด ในพื้นที่ 10 ไร่ ใช้พันธุ์ข้าวไรซ์เบอร์รีประมาณ 50 กิโลกรัม อายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 130 วัน

ข้อจำกัดในการปลูก สารอาหารและคุณค่าทางอาหารของข้าวไรซ์เบอร์รี่ขึ้นอยู่กับสีของเมล็ดข้าว การปลูกข้าวไรซ์เบอรี่เพื่อให้ได้ข้าวที่มีคุณภาพและมีคุณค่าทางอาหารที่ดีที่สุดมีปัจจัยหลักคือ เรื่องของอุณหภูมิ โดยเฉพาะในระยะข้าวกำลังติดเมล็ด อุณหภูมิในตอนกลางวันควรอยู่ที่ 32 องศา และช่วงกลางคืนควรอยู่ที่ 22 องศาหรือต่ำกว่า ซึ่งจะทำให้ได้เมล็ดข้าวที่มีสีเข้มมากขึ้น

การเก็บรักษา ข้าวไรซ์เบอร์รีมีวิธีการเก็บรักษาเหมือนข้าวสายพันธ์ุทั่วไปของไทย ควรเก็บไว้ในภาชนะที่ด้านในแห้ง สะอาด และมีฝาปิดมิดชิด

รูปแบบในการรับประทาน สำหรับผู้ที่ยังไม่ชินกับการรับประทานข้าวกล้อง ควรเอาข้าวไรซ์เบอร์รี่ผสมกับข้าวขาวในอัตราส่วน 1:2 ไปก่อน เมื่อเกิดความเคยชินจึงค่อยเพิ่มปริมาณข้าวไรซ์เบอร์รี่และลดปริมาณข้าวข้าว การซาวน้ำควรซาวเพียงครั้งเดียวไม่ควรทำซ้ำเพราะจะทำให้คุณค่าทางอาหารหายไป และหลังจากซาวเสร็จแล้วควรรินน้ำออกให้หมด การหุงให้ใช้ข้าว 1 ส่วน ต่อน้ำสะอาด 1.5 ส่วน

การแปรรูป ข้าวไรซ์เบอร์รี่สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารอยากหลากหลาย เช่น ชา กาแฟ เส้นขนมจีน ขนมครก ขนมปัง เบเกอรี่ และคุกกี้ เป็นต้น

สารอาหาร สารอาหารที่สำคัญที่อยู่ในข้าวไรซ์เบอร์รีประกอบด้วย

  1. โอเมกา 3 มีอยู่ 25.51 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมซึ่งเป็นกรดไขมันมีส่วนสำคัญต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง ตับและระบบประสาท ลดระดับโคเลสเตอรอล
  2. ธาตุสังกะสี 31.9 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม มีส่วนช่วยในการสังเคราะห์โปรตีน สร้างคอลลาเจน รักษาสิว ป้องกันผมร่วง กระตุ้นรากผม
  3. ธาตุเหล็ก 13-18 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ช่วยเสริมสร้างพลังงานในร่างกาย เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง และเอนไซม์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ออกซิเจนในร่างกายและสมอง
  4. วิตามินอี 678 ไมโครกรัม ต่อ 100 กรัม ช่วยชะลอความแก่ บำรุงผิวพรรณลดโอกาสเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจทำให้ปอดทำงานดีขึ้น
  5. วิตามินบี1 0.42 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งมีความจำเป็นต่อการทำงานของสมอง ระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร รวมทั้งป้องกันเหน็บชา
  6. เบต้าแคโรทีน 63 ไมโครกรัม ต่อ 100 กรัม ช่วยชะลอความแก่ ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง ช่วยบำรุงสายตา
  7. ลูทีน 84 ไมโครกรัม ต่อ 100 กรัม ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม บำรุงการไหลเวียนของเลือดในเส้นเลือดฝอยที่หล่อเลี้ยงตา
  8. โพลิฟีนอล 113.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ทำลายฤิทธิ์ของอนุมูลอิสระป้องกันโรคมะเร็ง
  9. แทนนิน 89.33 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม แก้ท้องร่วง แก้บิด สมานแผล
  10. แกมมา โอไรซานอล 462 ไมโครกรัม ต่อ 100 กรัม เส้นใยอาหาร มีอยู่ปริมาณมาก มีส่วนช่วยในการขับถ่าย และสุดท้ายคือ สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นสารที่พบมากในข้าวไรซ์เบอร์รี่ ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด และโรคมะเร็งได้

ประโยชน์ทางโภชนาการ

ผู้สูงวัย

ข้าวไรซ์เบอร์รี เป็นข้าวที่มีสารอาหารสูงและมีประโยชน์สูง จะช่วยบำรุงระบบประสาท ระบบการมองเห็น นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างระบบหมุนเวียนโลหิต และชะลอความแก่อีกด้วย

หญิงตั้งครรภ์

ข้าวไรซ์เบอรีจะมีสารโฟเลต ซึ่งจะสามารถป้องกันโรคปากแหว่งเพดานโหว่ ในข้าวไรซ์เบอร์รียังมีน้ำตาลต่ำช่วยให้สตรีมีครรภ์สามารถคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น และมีธาตุเหล็กสูงซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับสตรีมีครรภ์

ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคอ้วน

ข้าวไรซ์เบอรี เป็นข้าวที่มีน้ำตาลต่ำกว่าข้าวทั่วไป หากผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคอ้วนรับประทานแทนข้าวทั่วไปอยู่เป็นประจำ จะช่วยให้สามารถควมคุมปริมาณน้ำตาลและน้ำหนักได้ดียิ่งขึ้น

ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง

ข้าวไรซ์เบอรี เป็นข้าวที่มีธาตุเหล็กสูง หากผู้ป่วยโรคโลหิตจางรับประทานอยู่เป็นประจำ ผู้ป่วยจะได้รับธาตุเหล็กจากธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยบำรุงโลหิตและบำรุงร่างกาย