วิชา เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน รหัส 09130042

แก้

เรื่อง หัวข้อการเรียนในวิชาเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน

แก้
  • จัดทำโดย นาย ภูวภัทร์ แสงวงศ์

รหัสนักศึกษา115610705004-8

  • สาขาวิชา หัตถกรรม

คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

ประวัติส่วนตัว

แก้
  • ชื่อ นาย ภูวภัทร์ แสงวงศ์
  • ชื่อเล่น ตั้ง
  • วัน/เดือน/ปีเกิด 8 กรกฎาคม 2536
  • อายุ 20
  • กรุ๊ปเลือด โอ
  • สัญชาติ ไทย
  • ศาสนา พุทธ
  • ที่อยู่ 75/85 ถนน เสรีไทย เขต คันนายาว


การศึกษา

แก้
  • จบระดับชั้นมัธยมศึกษา&ปวช.ที่ วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมกรุงเทพ
  • ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่ สาขาวิชา หัตถกรรม คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

วิชาเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน

แก้

เอกสารทางวิชาการที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนหรือนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ได้ E-mail กับการนิเทศศึกษานิเทศก์ สามารถให้การนิเทศได้ทั้งทางตรง และทางอ้อม การนิเทศทางอ้อมที่ประหยัด รวดเร็ว ไม่จำกัด ช่วงเวลา ได้แก่การใช้ E-mail ในการติดต่อสื่อสาร ซี่งขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่จะประยุกต์นำไปใช้ เพราะ E-mail ไม่ได้หมายถึงเฉพาะเขียนจดหมายโต้ตอบกันเท่านั้นแต่ยังสามารถที่จะส่งแฟ้มเอกสาร แฟ้มรูปภาพ และแฟ้มข้อมูล ต่าง ๆ ได้อีกด้วย การใช้โปรแกรมที่ติดต่อกันแบบReal time เช่น โปรแกรม ICQ เราสามารถใช้โปรแกรม ICQให้เป็นประโยชน์ต่อการนิเทศก์ ได้ในลักษณะเดียวกับ E-mailครู-อาจารย์ หรือนักเรียนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเรียนการสอน สามารถที่จะพูดคุยโต้ตอบกันได้ทันที และสามารถสื่อสารพร้อมกัน ได้หลาย ๆ คน

ประโยชน์และโทษของอินเทอร์เน็ต

แก้

ประโยชน์และโทษของอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องเทคโนโลยีสื่อสารที่เอื้ออำนวยความสะดวกให้แกผู้ใช้ บริการ ในลักษณะของการสื่อสารที่ผ่านทางคอมพิวเตอร์ และช่องทางการสื่อสารชนิดต่างๆ ไม่ได้เป็นการสื่อสารจากบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่งโดยตรง จึงทำให้เกิดทั้งประโยชน์และโทษในการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต

ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ต

แก้

1.สามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นทั่วโลก

2.สามารถค้นหาข้อมูลต่างๆได้เสมือนกับเราไปนั่งอยู่ที่ห้องสมุดขนาดใหญ่ได้ข้อมูลมากมายจากทั่วทุกมุมโลก

3.เปรียบเสมือนเวที่ให้เข้าไปแสดงความคิดเห็นได้ภายในห้องสนทนา (chat room) และกระดานข่าว(Web room) เป็นการเปิดโลกกว้างและวิสัยทัศน์ในเรื่องที่น่าสนใจ

4.สามารถติดตามเคลื่อนไหวจากข่าวสารทั่วโลกอย่างรวดเร็ว

5.สามารถเปิดการค้าได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องหาที่จัดตั้งร้านหรือพนักงานบริการ แต่สามารถทำการค้าได้ด้วยตัวเองคนเดียว

6.สามารถ ซื้อสินค้า โดยไม่ต้องเดินทางไปยังร้านค้า ซื้อผ่านทางเว็บไซต์ที่ให้บริการ การชำระเงินก็สะดวก เช่น ชำระผ่านบัตรเครดิต การหักเงินผ่านบัญชีธนาคาร

7.สามารถรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์(E-mail) เป็นการส่งจดหมายที่ไม่ต้องเสียค่าบริการและรับส่งจดหมายได้ภายในและภายนอก ประเทศ นอกจากจดหมายที่เป็นข้อความแล้ว ยังส่งบัตรอวยพรในเทศการต่างๆได้อีก

8.สามารถอ่านนิตยสาร หนังสือพิมพ์ บทความ และเรื่องราวต่างๆได้ฟรีเหมือนกับเราซื้อหนังสือฉบับนั้นมาอ่านเอง

9.สามารถติดประกาศข้อความต่างๆที่ต้องการประกาศให้ผู้อื่นทราบได้ เช่น ประกาศขายบ้าน ประกาศสมัครงาน ประกาศขอความช่วยเหลือ

10.มีของฟรีอีกมากมายที่สามารถใช้บริการได้จากอินเทอร์เน็ต เช่น ภาพ เพลง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ดูหนัง เกม

โทษของอินเทอร์เน็ต

แก้

1.อิน เทอร์เน็ตเป็นเครืข่ายขนาดใหญ่ที่มีผู้คนมากมายเข้ามาใช้บริการ เป็นเวทีเปิดกว้างและให้อิสระกับทุกคนที่เข้ามาเขียนข้อมูล หรือติดประกาศต่างๆโดยปราศจากการกลั่นกรองที่ดี ทำให้ข้อมูลที่ได้รับไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นจริงหรือไม่

2.เกิดปัญญาหาของการละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น การดาวน์โหลดเพลง หรือรูปภาพมารวบรวมขาย หรือเป็นปัญหาอย่างยิ่งคือ การตัดต่อภาพบุคคลที่มีชื่อเสียงให้กลายเป็นภาพแบบอนาจารหรือเสียหายได้

3.ก่อให้เกิดปัญหาด้านอาชญากรรม เพราะการเล่นอินเทอร์เน็ต เช่น การล่อล่วงหญิงไปในทางที่ไม่ดี การก่อคดีข่มขืน เนื่องจากเว็บไซต์โป๊

4.ก่อให้เกิดปัญหาการหมกหมุ่นของเยาวชนที่เข้าไปในเว็บไซต์ จนทำให้เกิดโรคติดต่อทางอินเทอร์เน็ต ทำให้เกิดอันตรายต่อตนเองและสังคมได้

โรคติดต่อทางอินเทอร์เน็ต

แก้

เป็นอาการทางจิตประเภทหนึ่ง นักจิตวิทยาชื่อ Kimberly S.Youngได้วิเคราะห์ไว้ว่า บุคคลใดมีอาการต่อไปนี้ อย่างน้อย 4 ประการ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี แสดงว่าเป็นอาการติดอินเทอร์เน็ต

  • รู้สึกหมกหมุ่นกับอินเทอร์เน็ต แม้ในเวลาไม่เข้าอินเทอร์เน็ต
  • มีความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้นอยู่เรื่อยๆ
  • ไม่สามารถควบคุ้มการใช้อินเทอร์เน็ตได้
  • รู้สึกหงุดหงิดเทื่อใช้อินเทอร์เน็ตน้อยลง
  • คิดว่าเมือใช้อินเทอร์เน็ตแล้วทำให้ตัวเองรู้สึกดี
  • ใช้อินเทอร์เน็ตในการหลีกเลี่ยงปัญหา
  • หลอกคนใช้ในครอบครัวหรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเทอร์เน็ต
  • มีอาการผิดปกติเมื่อเลิกใช้อินเทอร์เน็ต เช่น หดหู่ กระวนกระวาย

อาการ ดังกล่าวมี่มากกว่า 4 ประการในช่วง 1 ปี จะถือว่าเป็นอาการติดอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีผลเสียต่อระบบร่างกาย ทั้งการกิน การขับถ่าย และกระทบต่อการเรียน

internet marketing

แก้

การตลาดอินเทอร์เน็ต (อังกฤษ: Internet marketing) หรืออาจใช้ว่า i-marketing, web-marketing, Digital Marketing, การตลาดออนไลน์ (online-marketing) หรือ การตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-Marketing) หมายถึง การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดโดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ มาผสมผสานกับวิธีการทางการตลาด การดำเนินกิจกรรมทางการตลาด อย่างลงตัวกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายขององค์กรอย่างแท้จริง ซึ่งในรายละเอียดของการทำการตลาด E-Marketing จะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


1 เป็นการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในลักษณะเฉพาะเจาะจง (Niche Market)
2 เป็นลักษณะเป็นการสื่อสารแบบ 2 ทาง (2 Way Communication)
3 เป็นรูปแบบการตลาดแบบตัวต่อตัว (One to One Marketing หรือ Personalize Marketing) ที่ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายสามารถกำหนดรูปแบบสินค้าและบริการได้ตามความต้อง การของตนเอง
4 มีการกระจายไปยังกลุ่มผู้บริโภค (Dispersion of Consumer)
5 เป็นกิจกรรมที่นักการตลาดสามารถสื่อสารไปยังทั่วทุกมุมโลก ตลอด 24 ชั่วโมง (24 Business Hours)
6 สามารถติดต่อสื่อสาร โต้ตอบ ปฏิสัมพันธ์ได้อย่างรวดเร็ว (Quick Response)
7 มีต้นทุนต่ำแต่ได้ประสิทธิผล สามารถวัดผลได้ทันที (Low Cost and Efficiency)
8 มีความสัมพันธ์กับกิจกรรมการตลาดแบบดั้งเดิม (Relate to Traditional Marketing)
9 มีการตัดสินใจในการซื้อจากข้อมูลข่าวสารที่ได้รับ (Purchase by Information)

การปรับตัวของไดเร็กต์มาร์เก็ตติ้ง แนวใหม่=

แก้

การตลาดแบบขายตรง หรือ Direct Marketing เป็นหนึ่งในแนวทางของการดำเนินงานทางการตลาดที่เก่าแก่ที่สุดและยืนนานแบบหนึ่งของโลก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดขายตรงแบบดั้งเดิมไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการปรับตัวเช่นเดียวกับแนวคิดทางการตลาดแบบอื่น ๆ จะทำให้กิจการนี้สามารถอยู่รอดได้ต่อไป

ปัจจัยที่ถือได้ว่าเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานทางการตลาดของกิจการตลาดแบบขายตรงค่อนข้างมากคือ

  • ประการแรก การออกกฎระเบียบมาควบคุมการดำเนินงานของการตลาดแบบขายตรงมีมากขึ้นทุกวัน ทำให้การดำเนินงานการตลาดแบบขายตรงต้องปรับตัวสอดรับกับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้น
  • ประการที่สอง ต้นทุนการดำเนินงานการตลาดแบบขายตรงไม่ใช่ช่องทางที่ถูกที่สุดอย่างที่เคยเป็นในอดีต เพราะอัตราค่าไปรษณีย์ในทุกวันนี้ไม่ได้ถูกอีกต่อไป แถมต้นทุนการสร้างแคตตาล็อกที่ส่วนใหญ่ทำมาจากกระดาษก็แพงแสนแพง
  • ประการที่สาม สภาพการแข่งขันทางธุรกิจในการตลาดแบบขายตรงรุนแรงไม่แพ้การตลาดแบบอื่นๆ โอกาสที่จะทำให้ลูกค้าเป้าหมายใส่ใจ และอ่านเอกสารจากผลของการดำเนินงานทางการตลาดแบบขายตรงทุกฉบับเป็นเรื่องที่เพ้อฝันและหลอกตัวเองหากยังคิดเช่นนั้น
  • ประการที่สี่ การส่งข้อมูลข่าวสารออกไปจะต้องมั่นใจว่าเป็นไปอย่างครบถ้วนและถูกต้อง ได้ประสิทธิผลที่สุดด้วยความถี่ที่เหมาะสมในการส่งข้อมูลเป็นช่วง ๆ และซ้ำ ๆ กัน

การตลาดแบบขายตรงจะต้องไม่ใช่ช่องทางที่ทำให้ผู้ประกอบการเสียทั้งเงินทั้งเวลาทำการตลาดแล้วไม่ได้ลูกค้ากลับมาสักรายเดียว เพราะไม่มีการตอบโต้หรือการตอบสนองกลับจากลูกค้าเป้าหมาย ในทางการตลาดมีการศึกษาเทคนิคพิเศษที่จะช่วยทำให้การดำเนินกิจกรรมการตลาดแบบขายตรงมีโอกาสที่จะประสบกับความสำเร็จมากขึ้นไว้ และพบว่าอาจจะต้องหามาตรการหรือองค์ประกอบเสริมบางอย่างเพิ่มเติม เทคนิคพิเศษที่ว่านี้มีหลายอย่าง เช่น การให้ของชำร่วยฟรีเพื่อเพิ่มการตอบสนองในอนาคต ส่งเอกสารอย่างย่อไป หากสนใจสามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ เพื่อทดสอบผลการตอบสนอง การเคลียร์ปัญหาการร้องเรียนเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือหรือการใช้ภาพกราฟิกและสีสันสะดุดตาเพื่อเพิ่มการตอบสนองต่อข้อความและเนื้อหา หรือเสนอให้สินค้าตัวอย่างฟรีหากส่งเอกสารเพิ่มเติมไปขอจากผู้ขาย การจ้างนักออกแบบแผ่นงานโปรโมตแทนที่จะทำการผลิตเอกสารนั้นเอง การสัญญาล่วงหน้าในสิทธิประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นหากใช้สินค้าในอนาคต การนำงานไดเร็กต์เมลไปทดสอบในตลาดก่อนนำออกใช้จริง การใช้กระดาษสีเพื่อให้น่าสนใจและประหยัดการพิมพ์สี่สี การจ้างที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตงานด้านไดเร็กต์เมล


Bit Torrent มิติใหม่ของการดาวน์โหลดไฟล์

แก้

ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกท่านคงไม่มีใครที่ไม่เคยดาวน์โหลดไฟล์ และโปรโตคอลที่เราคุ้นเคยกันดีก็เห็นจะหนีไม่พ้น ftp และ http โปรโตคอลทั้ง 2 นี้เป็นการทำงานในลักษณะ client-server คือ ผู้ใช้ (client) จะต้องติดต่อไปยังผู้ให้บริการไฟล์ที่เราต้องการ (server) และทำการดาวน์โหลดไฟล์จากเซิร์ฟเวอร์นั้น ๆ ปัญหาที่เราพบกันบ่อยที่สุดก็เมื่อเราต้องการโหลดไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ หรือ เมื่อเราติดต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกเรียกใช้งานมากๆ มักจะทำให้เกิดปัญหาคอขวดที่เซิร์ฟเวอร์ทันที

การแก้ปัญหาแบบง่ายที่สุด

แก้

ก็คือการสร้างไฟล์เซิร์ฟเวอร์ขึ้นมาหลายๆ ตัว (mirror) เพื่อแบ่งภาระการทำงานกัน โดยผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะติดต่อกับเซิร์ฟเวอร์ตัวใด อย่างไรก็ดี ลักษณะการทำงานแบบนี้ก็ยังต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์อยู่ นั่นก็หมายความว่าถ้าเซิร์ฟเวอร์เกิดมีปัญหาขึ้นมา ก็จะส่งผลโดยตรงมายังการให้บริการจึงได้มีการหันเหแนวความคิดของการทำงานมาใช้หลักการของการกระจายการทำงาน ซึ่งนับเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับแนวโน้มในยุคปัจจุบันที่พยายามให้เกิดการทำงานในรูปแบบการกระจายหรือที่เรียกว่า Distributed Computing

Bit Torrent คือการแลกเปลี่ยนไฟล์ในลักษณะที่ว่านี้ กล่าวคือเป็นการทำงานแบบ peer-to-peer หรือ p2p ความหมายของ p2p คือ การทำงานที่เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีการติดต่อกันโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านเซิร์ฟเวอร์ นับเป็นการแก้ปัญหาคอขวดที่เซิร์ฟเวอร์อย่างตรงไปตรงมาที่สุด

Bit Torrent ใช้แนวความคิดของการเป็นทั้งผู้ให้ และ ผู้รับในเวลาเดียวกัน โดยไฟล์ที่เราต้องการจะถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ และในการรับ-ส่งไฟล์ก็จะทำงานทีละส่วน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ชิ้นส่วนที่ต่อเนื่องกันก็ได้ เมื่อเราได้ชิ้นส่วนครบเมื่อไหร่ก็แสดงว่าการดาวน์โหลดไฟล์ของเรา เสร็จสมบูรณ์

Bit Torrent ปลอดภัยหรือไม่

แก้

ในตอนที่แล้ว เราได้กล่าวแนะนำเรื่อง BT กันไปคร่าว ๆ แล้ว ซึ่งจะเห็นว่าแนวความคิดของ BT สอดคล้องกับการมุ่งไปสู่ระบบการทำงานแบบกระจาย (Distributed Computing) ซึ่งหากจะพูดถึงหลักการก็นับเป็นเรื่องที่ดี แต่การนำมาใช้นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผู้เขียนเกริ่นนำอย่างนี้ก็เพราะ เวลาที่เราพูดถึง BT โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้วัยรุ่น ก็มักจะนึกถึงแต่เรื่องของการดาวน์โหลด เกม หนัง โปรแกรม และ เพลงกัน ซึ่งสิ่งที่เขาดาวน์โหลดกันนี้ ส่วนมากเป็นไฟล์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์มา ดังนั้น เวลาที่เราพูดว่าแนวความคิดของ BT ดีหรือไม่ดี นั้น ต้องแยกให้ชัดเจนระหว่างแนวความคิดในเรื่องของเทคนิค กับรูปแบบการนำไปใช้

ตัวอย่าง' เช่น หาก BT ถูกนำไปใช้กับเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกใช้งานมาก ๆ โดยนำไปเสริมการทำงานแบบ Mirror ที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันก็น่าจะเป็นเรื่องที่เหมาะควร หรือใช้เฉพาะกับไฟล์ที่เป็นระบบเปิด เป็นต้น ย้อนกลับมาเรื่องของความปลอดภัย ซึ่งเราสามารถมองได้ 2 ฝั่ง คือ ในฐานะของการเป็นผู้ที่รับไฟล์มา (Download) และในฐานะของการเป็นผู้เปิดให้ผู้อื่นมาอ่านไฟล์เรา (Upload)

การดาวน์โหลดไฟล์จากแหล่งที่ไม่ปลอดภัยมีความเสี่ยงสูง ในการที่จะได้ของแถมที่ไม่พึงประสงค์มาด้วย ในปัจจุบัน มีศัพท์รวมเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า Malware อันรวมไว้ตั้งแต่ ไวรัส หนอน (Worm) ม้าโทรจัน (Trojan Horse) และ Spyware (เรื่องของSpyware อยู่ในรายการที่จะนำเสนอต่อไป) ในการทำงานของ BT เราจะได้รับข้อมูลจากผู้ให้จากหลากหลายที่ และได้มาเป็นส่วน ๆ ซึ่งจะนำส่วนเหล่านี้มาประกอบกันเป็นไฟล์ ซึ่งทั้งผู้ให้และผู้รับไม่สามารถควบคุมได้ว่าเราจะได้ชิ้นส่วนใดจากใคร ดังนั้น หากผู้ให้ข้อมูลคนใดพยายามแอบแฝง Malware เข้ามาด้วย ก็จะต้องพยายามให้อยู่ภายในชิ้นส่วนเดียว อย่างไรก็ดี ในการดาวน์โหลดจะมีการใช้ระบบแฮชชิ่ง (Hashing) คำนวณค่าของไฟล์ต้นฉบับไว้ นั่นก็หมายความว่า หากชิ้นส่วนใดมีการถูกเปลี่ยนแปลงไปจากต้นฉบับ ค่าแฮชชิ่งที่เราได้รับจะไม่ตรงกัน

แต่ในที่สุดแล้วเมื่อเราได้รับไฟล์มาแล้ว เราก็ควรผ่านให้โปรแกรมดักจับไวรัสตรวจสอบดูอีกครั้งหนึ่ง เท่าที่ติดตามข่าวมา การใช้ BT ค่อนข้างจะปลอดภัย โดยเฉพาะกับไฟล์ที่เป็นลักษณะดาต้า เช่นไฟล์หนัง เพลง หนังสือ จะไม่ปรากฏว่ามี Malware ติดมาด้วย ถ้าจะระวังก็คงเป็นไฟล์ที่เป็นโปรแกรม


วิธีการป้องกันจุดอ่อนที่ดีที่สุดก็คือการจัดหาไฟร์วอลล์ (Firewall) มาติดตั้งไว้ อย่างน้อยที่สุดก็ควรเปิดไฟร์วอลล์ที่มากับโอเอสเอาไว้ ซึ่งไฟร์วอลล์จะทำการปิดพอร์ตที่ไมได้ใช้ และสามารถกรองแพกเกตตามกฎที่เราระบุไว้ได้

การใช้ BT เท่ากับเป็นการเปิดพอร์ตมากขึ้น ตามจำนวนเพียร์ (Peer) ที่เราติดต่อด้วย โดยโปรเซส BT Client จะเป็นตัวรอรับการติดต่อมาที่พอร์ตเหล่านี้ หากต้องการดูว่าตอนนี้เรามีพอร์ตใดเปิดอยู่บ้างก็ทำได้ด้วยการออกคำสั่ง netstatดู ณ เวลานี้ ยังไม่มีรายงานที่น่าเป็นห่วงของการถูกโจมตีในการใช้งาน BT แต่สิ่งที่ต้องมีก็คือ ต้องเปิดไฟร์วอลล์ ติดตั้งโปรแกรมกันไวรัส และโปรแกรมกันสปายแวร์ .. แถมอีกนิดหนึ่งคือการอัพเดตระบบโอเอสตัวที่เราใช้อยู่อย่างสม่ำเสมอ


Bittorent

แก้
  • Bittorent: P2P Power Part 1 P2P หรือเต็มๆ Peer to Peer อาจจะมีคำอื่นอีกเช่น People to People ,Point to Point ซึ่งมีความหายคล้ายคลึงกัน Peer to Peer คือ ... - ระบบที่อนุญาติให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนไฟล์ระหว่างกันหรือใช้ทรัพยากรร่วมกันผ่านระบบเครือข่าย - ระบบการสื่อสารจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งโดยตรง - ฯลฯ แต่เดิมนั้นเมื่อเราต้องการดาวน์โหลดไฟล์จากแม่ข่ายโดยใช้ FTP*,HTTP** นั้น หากมีคนที่ต้องการไฟล์เดียวกับเรา 500 คนมาดาวน์โหลดบนแม่ข่ายเดียวกันพร้อมๆ กันโดยแต่ละคนมี Bandwidth คนละ 256kbps ถ้าจะให้ทุกคนนั้นได้ความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดตัวแม่ข่ายจะต้องมี Bandwidth เท่ากับ 256kbps * 500 (125mbit) เลยทีเดียวซึ่งไม่ใช่เพียงแต่จะเปลือง Bandwidth เท่านั้น แต่ยังจะต้องใช้แม่ข่ายที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย จากปัญหาดังกล่าวนี้เองทำให้โปรแกรมแชร์ไฟล์ P2P ถูกพัฒนาขึ้นมารองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นโดยใช้ทรัพยากรของ

แม่ข่ายให้น้อยลงนั้นเอง ระบบ P2P นั้นถูกพัฒนาเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนไฟล์ระหว่างกันโดยที่ไม่พึ่งแม่ข่ายในการแจกจ่ายไฟล์และทำให้สามารถหาไฟล์ที่ต้องการได้ง่ายขึ้น *FTP = File Transfer Protocal **HTTP = Hypertext Transfer Protocalจากความหมายนี้เองทำให้เราเรียกโปรแกรมที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนไฟล์ระหว่างกันโดยไม่ได้ร้องขอไฟล์จากแม่ข่ายว่า "P2P File Sharing" โปรแกรมประเภทนี้มีอยู่มากมายหลายตัวด้วยกัน เช่น Emule, Kazaa, Edonkeyฯลฯ หลักการทำงานคร่าวๆของโปรแกรมก็คือ 1.เชื่อมต่อไปยังแม่ข่ายเพื่อยืนยันตัวตนและส่งสารบัญไฟล์ที่เราแชร์ไว้ไปด้วย 2.หากเราต้องการหาไฟล์สักไฟล์หนึ่งเมื่อเราระบุ Keyword** โปรแกรมจะส่งคำร้องไปยังแม่ข่าย จากนั้นแม่ข่ายจะส่งรายชื่อไฟล์พร้อมข้อมูลตัวตนของคนที่มีไฟล์ที่ตรงกับ Keyword ที่เราระบุกลับมา 3.เมื่อเราพบไฟล์ที่ต้องการแล้วตัวโปรแกรมจะใช้ข้อมูลที่ได้จากแม่ข่ายติดต่อไปยังคนนั้นๆโดยตรงเพื่อร้องขอไฟล์ จากการทำงานจะเห็นได้ว่าตัวแม่ข่ายนั้นไม่ได้เป็นคนเก็บไฟล์จริงๆไว้เพียงแต่เก็บเป็นสารบัญไว้เท่านั้น **Keyword = คำหรือประโยคหรือที่ระบุเพื่ออ้างอิงในระบบการค้นหา

Bittorent

แก้
  • Bittorent: P2P Power Part 2 หลังจากที่ได้พูดถึงเรื่อง P2P ทั่วไปแล้วตอนแรก อ่านมาถึงตรงนี้คงจะเริ่มเข้าใจหลักการทำงานคร่าวๆของ P2P ไม่มากก็น้อยกันแล้วนะ แต่ก็อย่างที่ทุกคนเข้าใจกันดี "ไม่มีอะไรที่จะสมบูรณ์ไปมันทุกอย่าง" หรือเรียกว่า "Perfect" ทุกๆ อย่างต้องมีจุดอ่อน ถึงแม้ว่า P2P ที่ว่า จะแก้ปัญหาจุดอ่อนเรื่อง Bandwidth และทรัพยาการเครื่องแม่ข่ายที่สูงได้ แต่ถึงกระนั้นความเร็วที่ได้ก็ไม่ค่อยจะดีเอาเสียเลย เนื่องจากความเร็วที่ได้นั้น จะได้จากจากเชื่อมต่อผู้ใช้ด้วยกันเอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วความเร็ว Internet ในการรับส่ง ของผู้ใช้ตามบ้านนั้นไม่ได้เร็วเหมือนเครื่อง ที่ใช้เป็นแม่ข่ายโดยซึ่งเฉพาะที่จะตั่งอยู่ใน ISP ซึ่ง Bandwidth อย่างต่ำๆ นั้นเป็น 100Mbit และผู้ใช้เอง

ส่วนมากนั้นก็จะเห็นแก่ตัว คือไม่ปล่อยให้ตัวโปรแกรมส่งแบบเต็มๆ Bandwidth ที่มีจะกั้กเอาไว้ (มีน้อยแล้วยังจะกั้กอีก) ส่วน Bandwidth ดาวน์โหลดนั้นดันเปิดไว้เต็มๆ เอากับเขาสิ... ทำให้โปรแกรมประเภท P2P ที่กล่าวมานั้นความเร็วที่ได้จะขึ้นอยู่กับว่าคนที่มีไฟล์ที่เรากำลังโหลดอยู่นั้นมีความเร็วในการส่งข้อมูลให้เรามากแค่ไหน (กั้กอีกแค่ไหน) รวมถึงมีคนที่มีไฟล์เดียวกับเรานั้นมีมากแค่ไหน ซึ่งจะเห็นได้ว่าความเร็วที่ได้นั้นมีเงื่อนใขหลายอย่างประกอบกันมากพอสมควร ถึงตรงนี้ Bittorrentก็กำเนิดขึ้นมาซึ่งมีการทำงานแตกต่างจาก P2P ทั่วไปอยู่เล็กน้อยแต่ก็ทำให้ความเร็วที่ได้นั้น นำหน้า P2P ทั่วไปอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียวและมีความถูกต้องของข้อมูลสูงรวมถึงทำให้ทุกคนรู้จักถึงคำว่า "แบ่งปัน" หรือ "give and take" นั้นเอง


Torrent client

แก้

Torrent clientหรือที่เรียกกันติดปากว่า Program torrent ซึ่งมีให้เลือกกันลายตัวทีเดียว เช่น Bitcomet,BitTornado,Azureus,TorrentStormฯลฯ ซึ่งแต่ละตัวนั้นก็มีข้อแตกต่างกันนิดๆหน่อยในเรื่องความสามารถที่ผู้เขียนแต่ละคนเขียนเพิ่มลงไป แต่โดยพื้นฐานก็อยู่บน ProtocalBittorrentเดียวกัน ตัว Program เหล่านี้ ใช้ในการดาวน์โหลด ไฟล์ ด้วย Protocal Torrent นั่นเอง

Tracker server

แก้

Tracker serverเรียกสั่นๆว่า Tracker ทำหน้าที่เป็นแม่ข่ายกลางระหว่าง Torrent client ด้วยกันและโดยส่วนมากแล้วจะเก็บไฟล์ .torrent ไว้ด้วย แต่ก็มีคนชอบมีคนสับสนว่าตัว Torrent portal เช่นพวก suprnovaที่ชี้ไปยังไฟล์ Torrent ของ Tracker ที่อื่นนั้นเป็น Tracker สะเอง จริงๆแล้วผิดนะ (แต่ไฟล์บางส่วนบนนั้นเขาก็เป็น tracker เอง)

Torrent file

แก้

Torrent fileไฟล์นี้เป็นไฟล์ที่สำคัญมากๆ เพราะจะเก็บข้อมูลหลายอย่างเพื่อใช้ในการดาวน์โหลดไฟล์ ด้วย Protocal torrent นี้ ไฟล์นี้จะถูกใช้โดย Torrent client เพื่ออ่านข้อมูลที่บรรจุอยู่ เช่น ที่อยู่ของ Tracker,Check sum** ของไฟล์ที่เก็บไว้ **Check sum = ระบบการตรวจสอบไฟล์โดยการใช้ระบบ "ผลรวม" การทำงานของ Bittorrentแบบง่ายๆ (จริงอยากให้แบบละเอียดนะครับแต่มันซับซ้อนเดี๋ยวจะไม่รู้เรื่องกันเปล่าๆ เลยเอาแค่นี้พอ) ผมจะเริ่มเมื่อได้ไฟล์ .torrent มาแล้วนะ หลังจากเมื่อเราใช้ Torrent client เปิด file .torrent แล้ว -ตัว Program จะอ่านค่าที่อยู่ของ Tracker server ในไฟล์ที่เปิด แล้วติดต่อไปหาเพื่อทำการส่งข้อมูลเกี่ยวกับไฟล์ที่ต้องการไปหา -จากนั้น ทาง Tracker server จะตรวจสอบว่ามีไฟล์ที่ขอมามีการลงทะเบียนไว้ในระบบหรือไม่ ถ้ามีจะตรวจดูว่ามีคนเข้ามาโหลดไฟล์นี้อยู่เท่าไหร่ แล้วก็จะทำการส่งรายการ IP Address*** ของคนที่โหลดอยู่กลับไปรวมทั้งเก็บ IP Address ของเราไว้ด้วย

-เมื่อ Torrent client ได้ IP Address แล้วก็ มันก็จะทำการติดต่อไปยัง IP Address ทีได้มาโดยจะส่งคำถามไปว่า "นี้น้องๆ มีส่วนใหนอยู่บ้างละ?" ทางปลายทางจะตอบกลับมา "มีอยู่ ... เพ่" ตัว Torrent client จะตรวจว่าเรายังขาดส่วนใหน แล้วส่งคำร้องขอส่วนที่ต้องการไปให้ ทางปลายทางก็จะส่งสวนที่เราขอกลับมาให้ ขณะเดียวกันนั้นเองตัว Torrent client ก็จะเปิดรับคำร้องจากคนอื่นๆในแบบเดียวกัน


Social Network ยังเป็นการที่ผู้คนสามารถทำความรู้จัก และเชื่อมโยงกันในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง หากเป็นเว็บไซต์ที่เรียกว่าเป็น เว็บ Social Network ก็คือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกันนั่นเอง

เว็บไซต์ Social Network เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเว็บที่สร้างขึ้นมาเพื่อการตอบสนองความต้องการในการติดต่อธุรกิจหรือหาเพื่อนบนโลกไซเบอร์ทั้งสิ้น ดังที่พบได้ในปัจจุบัน ซึ่งมีความนิยมเป็นอย่างมากในโลกของอินเทอร์เน็ต ถัดไปเราจะมาทำความรู้จักเว็บไซต์ Social Network ของแต่ละบริษัทที่ได้รับความนิยมจากทั่วทุกมุมโลกรวมถึงในประเทศไทยกันครับ

เว็บ Hi5 เป็นเว็บที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย ที่มีผู้ใช้บริการกว่า 7 แสนคน สำหรับหลายคนที่รู้จักและใช้บริการอยู่คงจะไม่ต้องอธิบายกันมากนัก เพราะคงรู้จุดประสงค์และการใช้งานดีอยู่แล้ว แต่หลายๆคนยังไม่ทราบว่าเจ้า hi5 นี่ใช้งานยังไง มีทำไม และเพื่อประโยชน์อะไร

Hi5.com เป็นเว็บไซต์ที่ให้ผู้ใช้บริการมาฝาก profile ของตัวเอง มีลักษณะคล้ายกับ blog จะเน้นที่ตกแต่งหน้าตา profile เราให้สวยงาม ดึงดูดคนมาเข้า แต่จุดเด่นของมันอยู่ที่ ระบบ network ที่เรามีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ

ข้อดีของ Hi5

แก้

1. มีโอกาสได้เพื่อนใหม่ๆและเพื่อนเก่า ที่บางคนอาจจะเลือนหายไปกับความทรงจำ

2. มีการเก็บรักษาความส่วนตัว ที่ใช้ได้ในระดับหนึ่ง

3. วิธีการสมัครง่าย และวิธีการตกแต่ง hi5 ให้สวยงามก็ทำได้ง่าย

4. มีลักษณะเหมือน blog ทั่วไป แต่มีความทันสมัยและนิยมใช้งานกันมาก

ข้อเสียของ Hi5

แก้

1. หากมีการพัฒนาหรือปรับปรุงเว็บ เครือข่ายอาจจะล่มในบางครั้ง

2. การใส่ลูกเล่นหรือการปรับแต่งอาจมีน้อย เพราะมี pattern อยู่แล้ว สิ่งที่จะปรับได้ก็จะเป็นในส่วนของแบคกราวน์ สีตัวอักษร ตัวอักษร ใส่เพลง วิดีโอและคลิป

3. ไม่มีประโยชน์เท่ากับการทำบล็อก เพราะคนจะเข้ามาดูรูปและข้อความเป็นส่วนใหญ่


Friendster

แก้

Friendster ได้ก้าวขึ้นมาสู่แนวหน้าของเว็บไซต์ Social Network เมื่อประมาณเดือนเมษายน ปี 2004 ก่อนจะถูกครองตลาดโดย MySpace ในเรื่องของผู้เข้าชมและจากการจัดอันดับของ Social Network นั้น Friensterได้รับการยอมรับว่าเป็นคู่แข่งของทั้ง Windows Live,MySp3. MySpace (www.myspace.com)

บริษัทเสริช์เอนจิ้นยักษ์ใหญ่อย่าง Google เคยยื่นข้อเสนอขอซื้อ Friendster ในมูลค่า 30,000,000ดอร์ลาห์สหรัฐ แต่ก็ถูกปฏิเสธ เพราะทาง Friendster ตัดสินใจว่าต้องการเป็นของส่วนตัวมากกว่าที่จะยื่นขายให้กับ Google และในปัจจุบันเว็บ Social Network อย่าง Friendster.com มีผู้ใช้งานมากกว่า 7 ล้านคนภายในปีเดียว

My Space

แก้

My Spaceคือ เว็บบล็อก ที่ทาง msn ให้ผู้ที่ใช้ msn ได้เข้าไปใช้บริการกัน ก็ Web Blog อยากให้เรานึกง่ายๆ ว่ามัน คล้าย กับไดอะรี่ แต่ไม่ใช่นะครับ ย้ำ ว่า บล็อก ไม่ใช่ ไดอะรี่ โดยบล็อกจะมีความหลากหลายมากกว่า เพราะในบล็อก ผู้ที่เป็นเจ้าของเนื้อที่นั้น จะเป็นผู้ที่ดูแลเนื้อหาว่าจะให้เป็นแนวไหน หรือว่าจะเป็นเนื้อเรื่องอะไร ส่วนหลายคนเอามาเป็นไดอะรี่ นั้น ผิดไหม คงไม่ผิด คือมันแล้วแต่ว่า ผู้ดูแลจะเป็นอย่างไรaces,Yahoo!360 และ Facebook ซึ่งในเวลาต่อมาก็ยังมี Hi5 ก้าวเข้ามาเป็นคู่แข่งสำคัญอีกด้วย มายสเปซ(MySpace) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของเครือข่ายชุมชน ชื่อดังเว็บหนึ่ง ให้บริการทำเว็บส่วนตัว บล็อก การเก็บ ภาพ วิดีโอ ดนตรี และเชื่อมโยงเข้ากับกลุ่มคนอื่น มายสเปซมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ เบเวอร์ลีย์ฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มายสเปซก่อตั้งเมื่อ สิงหาคม ปี 2003 โดย ทอม แอนเดอร์สัน และ คริสโตเฟอร์เดอโวล์ฟ ในปัจจุบัน มายสเปซมีพนักงานกว่า 300 คน และในตัวเว็บไซต์มีผู้ลงทะเบียนมากกว่า 100 ล้านคน และมีผู้ลงทะเบียนใหม่ประมาณ 200,000 คนต่อวัน

ข้อดีของ MySpace

แก้

1. มีลูกเล่นค่อยข้างมากกว่าไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ Layout, Music ,Photoเป็นต้น รวมทั้ง

2. มีการแสดงให้เห็นใน Contact list ของ MSN อีกด้วย

3. สามารถกำหนดสิทธิคนที่จะเข้าดูได้หลายระดับ

ข้อเสียของ MySpace

แก้

1. เปิดแสดงผลได้ช้ามาก หากบล็อกมีลูกเล่นเยอะ

2. ยังไม่สามารถใส่ script แบบไดอารี่ หรือ บล็อกในหลายๆ ที่ได้

3. การเลือกจำนวนของ Entry หรือบทความที่จะแสดงในหน้าแรกของบล้อกได้ต่ำสุดที่ 5

4. ความสามารถ ในส่วนของการกำหนดขนาดตัวอักษร ยังไม่มีมีการให้ใส่หรือเลือกขนาดตัวอักษรสำหรับบทความได้ในจุดไหน ซึ่งอันนีมีความสำคัญทีเดียว การเล่นตัวอักษรเล็กและใหญ่

Face Book

แก้

Mark Zuckerbergก่อตั้ง Facebook เว็บชุมชนออนไลน์ (Social Networking Site) ที่กำลังได้รับความนิยมสุดขีดในขณะนี้ เมื่อ 3 ปีก่อน ขณะยังเรียนอยู่ที่ Harvard ก่อนจะลาออกกลางคัน เจริญรอยตาม Bill Gates แห่ง Microsoft เพื่อเป็น CEO ของเว็บชุมชนออนไลน์ที่เขาก่อตั้งขึ้น ด้วยวัยเพียง 22 ปี เท่านั้น

ภายในเวลาเพียง 3 ปี เว็บที่เริ่มต้นจากการเป็นเว็บชุมชนออนไลน์สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย กลายเป็นเว็บที่มีผู้ใช้ที่ลงทะเบียน 19 ล้านคน ซึ่งรวมถึงข้าราชการในหน่วยงานรัฐบาล และพนักงานบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ใช้ เข้าเว็บนี้เป็นประจำทุกวัน และขณะนี้กลายเป็นเว็บที่มีผู้เข้าชมมากเป็นอันดับ 6 ในสหรัฐ 1% ของเวลาทั้งหมดที่ใช้บน Internet ถูกใช้ในเว็บ Facebook

นอกจากนี้ยังได้รับการจัดอันดับเป็นเว็บที่ผู้ใช้ Upload รูปขึ้นไปเก็บไว้มากเป็นอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ โดยมีจำนวนรูปที่ถูก Upload ขึ้นไปบนเว็บ 6 ล้านรูปต่อวัน และกำลังเริ่มจะเป็นคู่แข่งกับ Google และเว็บยักษ์ใหญ่อื่นๆ ในการดึงดูดวิศวกรรุ่นใหม่ใน Silicon Valley นักวิเคราะห์คาดว่า Facebook จะทำรายได้ 100 ล้านดอลลาร์ในปีนี้

Orkutเว็บไซต์หาเพื่อนสำหรับกลุ่มนักท่องเว็บขี้เหงานั้นครองความนิยมมายาวนาน จนเกิดเว็บไซต์ใหม่ขึ้นมา Social Network ขึ้นมามากมาย แม้เต่เจ้าพ่อเสิร์จเอนจินอย่างกูเกิล (Google) ก็ไม่ยอมน้อยหน้า ก้าวเท้าเดินตามรอยเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Friendster เพื่อเข้าสู่วงการ social networking ด้วยการเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาโดยให้ทีมวิศวกรของกูเกิลทำเป็นโปรเจคของตัวเอง กูเกิลใช้กลยุทธโปรเจคส่วนตัวนี้เพื่อสร้างเว็บไซต์ใหม่ๆขึ้นมาได้อย่างชาญฉลาด โดยเว็บไซต์นี้ใช้ชื่อว่า Orkut.com เพื่อใช้เป็นเว็บไซต์เชื่อมต่อระหว่างเพื่อนถึงเพื่อน ให้คุณสามารถสร้างความสนิทสนมได้บนความสะดวกสบาย

การเป็น social networking นั้นอาจจะเรียกได้ว่า เป็นเน็ตเวิร์กกระชับมิตร เพราะด้วยความที่ให้บริการเป็นชุมชนออนไลน์ ยูสเซอร์อาจจะใช้เครือข่ายนี้เป็นตัวเชื่อมต่อเพื่อพูดคุยกับเพื่อนฝูง หรืออาจจะหาเพื่อนใหม่เพื่อนัดเดท ซึ่งไม่ต่างอะไรจากเว็บไซต์หาเพื่อน ที่เคยฮอตฮิตในเมืองไทยบ้านเราอยู่พักใหญ่ เว็บไซต์ที่เข้าข่าย social networking นี้จะเปิดให้ยูสเซอร์ตั้งชื่อและเลือกชุมชนที่ต้องการ โดยจะสามารถโต้ตอบกับผู้คนที่อยู่บนเครือข่ายได้อย่างง่ายดาย แต่ในบางประเทศก็มีการนำเอา social networking นี้มาใช้ในการพัฒนาชุมชน โดยใช้เครือข่ายเป็นเครื่องมือในการเชื่อมต่อ

ประชาชนในชุมชนกับกลุ่มองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้ประชาชนในชุมชน สามารถถ่ายทอดปัญหาและความต้องการได้โดยตรง จุดนี้เป็นประโยชน์อย่างมากในด้านการแสดงความคิดเห็น การเฝ้าระวังข้อมูล การมีส่วนร่วม การสะท้อนมุมมอง และการระดมทุน

Bebo เป็นเครือข่ายทางสังคมแห่งยุคอนาคตที่ทำให้นักศึกษาระดับมัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัยสามารถติดต่อกับเพื่อน หาเพื่อนที่ขาดการติดต่อกันไปนาน และพบปะกับผู้คนใหม่ๆ หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฏาคมปีที่แล้วในเวลาเพียงแค่ 7 เดือน เครือข่ายทางสังคมแห่งนี้ก็มีสมาชิกจดทะเบียนมากกว่า 22 ล้านรายที่เข้ามาดูหน้าเว็บเพจถึงกว่า 700 ครั้งต่อเดือน Beboเป็นบริษัทเอกชนที่บริหารงานโดยทีมบริหารที่มีประสบการณ์ในเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยซีอีโอและผู้ก่อตั้งบริษัทได้เปิดตัวเว็บไซท์เครือ ข่ายสังคมลำดับแรกๆคือ Ringo.com ซึ่งต่อมาเขาได้ขายเว็บดังกล่าวให้แก่ Tickle (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท Monster ในปัจจุบัน) และล่าสุด อดีตประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจจาก Friendster ได้เข้ามาร่วมงานกับ Beboนอกจากนี้ ทีมงานของ Bebo.com ยังเปิดเว็บไซท์อีกเว็บที่ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบปากต่อปาก (word of mouth) นั่นคือ BirthdayAlarm.com ซึ่งมีสมาชิก 40 ล้านคน

Beboเป็น Social Network ที่ถูกออกแบบมาดี โทนสีของเว็บไซต์ดูแล้วสบายตา ใช้งานง่าย มีการจัดระบบติดต่อผู้ใช้ได้ดี คนที่ไม่มีพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้แบบไม่ติดขัด รูปร่างหน้าตาของบล็อกดูไม่รกหูรกตา รองรับการปรับแต่งได้หลากหลาย