ซอยเดียวกัน เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้น แต่งโดย วาณิช จรุงกิจอนันต์ ได้รับรางวัลซีไรต์ ประจำปี พ.ศ. 2527

ประวัติหนังสือ แก้

ที่มาของเรื่องซอยเดียวกัน หนังสือเรื่องซอยเดียวกันนี้ เกิดจากความตั้งใจของวาณิช จรุงกิจอนันต์ ผู้เขียน ที่ต้องการจะมีหนังสือรวมเรื่องสั้นเป็นของตนเอง เนื่องจากผู้เขียนให้ความสำคัญกับคำว่า "นักเขียน" มาก จึงรู้สึกกระดากปากที่จะเรียกตัวเองเช่นนั้น จนเมื่อได้ออกหนังสือเรื่องซอยเดียวกัน ผู้เขียนได้กล่าวไว้ในคำนำว่า "ผมเขียนหนังสือรวมพิมพ์เป็นเล่มมาแล้วหลายเล่ม แต่กล่าวได้ว่าเล่มที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นนักเขียนโดยสมบูรณ์คือเล่มนี้ เล่มที่ให้ชื่อว่าซอยเดียวกันนี้"

จากความตั้งใจของผู้เขียน ทำให้ซอยเดียวกันสำเร็จเป็นรูปเล่มในปี พ.ศ. 2526 เป็น 1 ใน 47 เล่มที่ผ่านเข้าพิจารณารางวัลซีไรต์ เนื่องจากมีกลวิธีการนำเสนอที่แปลกใหม่ กล้าสร้างสรรค์รูปแบบที่แตกต่าง มีเนื้อหาสะท้อนชีวิตได้อย่างโดดเด่น รวมถึงฝีมือทางวรรณศิลป์ของผู้เขียน และทำให้ซอยเดียวกันได้รับรางวัลซีไรต์ในปี พ.ศ. 2527 นอกจากนี้หนังสือยังได้รับความนิยมอย่างสูง ในยุคนั้นกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นไปอย่างกว้างขวางทั้งในแง่บวกและแง่ลบ โดยผู้เขียนเคยคิดที่จะนำบทวิจารณ์เหล่านั้นรวมตีพิมพ์เป็นหนังสือเล่มเดียว แต่ภายหลังก็ล้มเลิกโครงการนี้ไป

ซอยเดียวกัน เป็นการรวมเอาเรื่องสั้น 15 เรื่อง ที่ผู้เขียนเริ่มเขียนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514 - 2526 โดยแต่ละเรื่องล้วนเคยได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารชื่อดังในสมัยนั้นมาแล้ว เช่น "เพลงใบไม้" ตีพิมพ์ลงในสตรีสาร, "เมืองหลวง" "โนรี" "ซ้ายล่าสุด" และ "เวลานัด" ตีพิมพ์ลงในลลนา เป็นต้น มีเพียง "กา" เท่านั้นที่ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือเล่มนี้ และเหตุที่ผู้เขียนเลือกใช้ชื่อ "ซอยเดียวกัน" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชื่อหนังสือในเล่มคือ "บ้านเราอยู่ในนี้ ซอยเดียวกัน" เพราะผู้เขียนคิดว่าคำว่า "ซอย" มีความผูกพันกับคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย ฟังดูใกล้ชิดเป็นกันเองและสะท้อนภาพวิถีความเป็นไทยได้ชัดเจน ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงเหมือนเป็นการรวบรวมผลงานเรื่องสั้นอันโดดเด่นของวาณิช จรุงกิจอนันต์ ไว้นั่นเอง ในบทความนี้จะกล่าวตัวอย่างเรื้องสั้นที่รวบรวมไว้ในหนังสือเล่มนี้จำนวน 2 เรื่อง

เรื่องเพลงใบไม้ แก้

เพลงใบไม้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความต่างทางความคิดระหว่างคนสองวัยและการปลูกฝังสั่งสมวัฒนธรรมด้วยความเคยชิน เริ่มจากการนำเสนอชีวิตของสองยายหลาน ที่ยายหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นแม่เพลงอีแซวและใช้ชีวิตตามอัถตภาพ เมื่อยามไม่มีใครจ้างไปแสดงก็เก็บผลไม้ในสวนไปขายพอเลี้งชีวิตไปวัน ๆ ยายต้องการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมนี้ให้แก่หลาน โดยหวังให้เป็นเครื่องมือเลี้ยงชีพต่อไป แต่หลานไม่ชอบไม่สนใจ ท้ายที่สุดหลานก็ค่อย ๆ รับเอาความ สามารถที่ยายต้องการจะถ่ายทอด ในช่วงลมหายใจสุดท้ายของยาย

คำประพันธ์ในเรื่องนี้เริ่มต้นด้วยการใช้บรรยายโวหารเล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นไปในแต่ละวันและเรื่องราวในอดีตของตัวละคร ด้วยคำที่เป็นกันเอง ตรงตัวและเข้าใจง่าย มีการใช้คำตามบทบาทของตัวละคร เช่น ยายมักใช้คำพูดแบบคนแก่ กระไดแทนบันได หลานสาวใช้คำว่าฮิตแทนเป็นที่นิยม เป็นต้น และจุดเด่นของการเขียนคือ การนำเนื้อเพลงพื้นบ้าน ที่เป็นกลอนเปล่ามาสอด แทรกเล่าเรื่องราวเป็นระยะ ๆ การถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมบางครั้งก็ได้จากการค่อย ๆ สั่งสมและซึมซาบไปทีละเล็กละน้อย ดังนั้นการค่อยปลูกฝังให้เห็นคุณค่าและเรียนรู้วัฒนธรรมโดยตรงจึงเป็นสิ่งที่น่าจะนำมาใช้กัน

เรื่องเมืองหลวง แก้

เมืองหลวง เป็นเรื่องราวของคนต่างจังหวัดที่ต้องมาใช้ชีวิตในกรุงเทพมหานคร ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านความคิดของชายคนหนึ่งที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เดิมๆในกรุงเทพฯ อย่างรถติด คนเห็นแก่ตัว การดูถูกเพื่อนมนุษย์ที่ทำตัวต่างออกไป สถานการณ์ของเรื่องเริ่มต้นภายในรถเมล์คันหนึ่งช่วงเวลาหลังเลิกงาน ที่ผู้คนต่างยื้อแย่งกันเพื่อให้ได้นั่ง ได้รับความสะดวก สภาพอันน่าอึดอัดบนรถเมล์ยามที่การจราจรติดขัด โดยในเรื่องมีผู้ทำลายความตึงเครียดนั้นโดยการร้องเพลงขึ้นมา บางคนก็มองว่าบ้า บางคนก็ชื่นชม ส่วนตัวละครที่ดำเนินเรื่องนั้นก็จินตนาการชีวิตของตนเองตามเนื้อเพลงที่ร้องขึ้น และหวังที่จะหลุดพ้นวังวนที่วุ่นวายนี้สักที

คำประพันธ์ในเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมาผ่านความคิดของตัวละคร โดยบรรยายบรรยากาศรอบตัวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน สามารถเห็นภาพได้และบรรยายความรู้สึกของตนเองควบคู่กันไป ภาษาที่ใช้ก็สื่อความได้ตรงตัวจุดเด่นของเรื่องนี้คือการนำเอาเพลงลูกทุ่ง ที่เป็นที่นิยมและสอดคล้องกับเรื่องมาเป็นส่วนหนึ่งของการนำไปสู่การจินตนาการความคิดของตัวละคร สะท้อนภาพความจริงของสังคมเมืองหลวงที่เราทุกคนล้วนเจอกันอยู่เป็นประจำ คือ ความเห็นแก่ตัว ชิงดีชิงเด่น การดูถูกเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งเรารู้ว่ามันไม่ดีแต่สิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่ในทุกคนไม่มากก็น้อย.