ดาวมาคีมาคี

(เปลี่ยนทางจาก มาคีมาคี)

มาคีมาคี (การตั้งชื่อดาวเคราะห์น้อย: 136472 มาคีมาคี; อังกฤษ: Makemake; /ˌmɑːkiːˈmɑːkiː/[5]; ภาษาราปานุย: มาเกมาเก [ˈmakeˈmake];[6] สัญลักษณ์: 🝼)[7] เป็นดาวเคราะห์แคระที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในระบบสุริยะ (เท่าที่ค้นพบแล้วในขณะนี้) และเป็นหนึ่งในสองวัตถุที่ใหญ่ที่สุดของแถบไคเปอร์ (KBO) ซึ่งอยู่ในหมู่วัตถุชั้นเอกของแถบไคเปอร์[a] ดาวมาคีมาคีมีเส้นผ่านศูนย์กลางสามในสี่ของดาวพลูโต[8] ไม่มีดวงจันทร์บริวาร ซึ่งแปลกจากวัตถุขนาดใหญ่อื่น ๆ แถบไคเปอร์ด้วยกัน อุณหภูมิเฉลี่ยที่ต่ำมากของดาวดวงนี้ (ประมาณ 30 เคลวิน) แสดงให้เห็นว่าพื้นผิวของมันถูกปกคลุมด้วยมีเทน อีเทน และอาจจะมีไนโตรเจนแข็งด้วย[9]

มาคีมาคี  🝼
การค้นพบ
ค้นพบโดย:ไมเคิล อี. บราวน์,
ชาด ทรูจิลโล,
ดาวิด ราบิโนวิตซ์
ค้นพบเมื่อ:31 มีนาคม พ.ศ. 2548
ชื่ออื่น ๆ:2005 FY9
ชนิดของดาวเคราะห์น้อย:ดาวเคราะห์แคระ, พลูตอยด์,
วัตถุพ้นดาวเนปจูน (คิวบีวาโน) [1]
ลักษณะของวงโคจร[2][3]
ต้นยุคอ้างอิง JD 2,435,135.5
ระยะจุดใกล้ศูนย์กลางวงโคจรที่สุด:5,760.8 จิกะเมตร
(38.509 หน่วยดาราศาสตร์)
ระยะจุดไกลศูนย์กลางวงโคจรที่สุด:7,939.7 จิกะเมตร
(53.074 หน่วยดาราศาสตร์)
กึ่งแกนเอก:6,850.3 จิกะเมตร
(45.791 หน่วยดาราศาสตร์)
ความเยื้องศูนย์กลาง:0.159
อัตราเร็วเฉลี่ย
ในวงโคจร
:
4.419 กิโลเมตร/วินาที
มุมกวาดเฉลี่ย:85.13°
ความเอียง:28.96°
ลองจิจูด
ของจุดโหนดขึ้น
:
79.382°
มุมของจุด
ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด
:
298.41°
ดาวบริวารของ:ดวงอาทิตย์
จำนวนดาวบริวาร:ไม่มี
ลักษณะทางกายภาพ
มิติ:1300-1900 กิโลเมตร
เส้นผ่านศูนย์กลาง
ตามแนวศูนย์สูตร:
~1,500 กิโลเมตร[4]
พื้นที่ผิว:~7,000,000 ตารางกิโลเมตร
ปริมาตร:~1.8×109 ลูกบาศก์กิโลเมตร
มวล:~4×1021 กิโลกรัม
ความหนาแน่นเฉลี่ย:~2 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร (สันนิษฐาน)
ความโน้มถ่วง
ที่ศูนย์สูตร:
~0.47 เมตร/วินาที²
ความเร็วหลุดพ้น:~0.84 กิโลเมตร/วินาที
คาบการหมุน
รอบตัวเอง
:
ยังไม่ทราบ
อัตราส่วนสะท้อน:78.2+10.3
−8.6
(เรขาคณิต) [4]
อุณหภูมิ:30-35 เคลวิน[b]
อุณหภูมิพื้นผิว:
ต่ำสุดเฉลี่ยสูงสุด
ลักษณะของบรรยากาศ

จากเริ่มแรกที่มีชื่อว่า 2005 FY9 (และต่อมามีหมายเลขดาวเคราะห์น้อย 136472 กำกับ) ดาวมาคีมาคีถูกค้นพบเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2548 โดยไมเคิล อี. บราวน์ (Michael E. Brown) พร้อมทีมค้นหา ประกาศการค้นพบเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 และในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2551 สหภาพดาราศาสตร์นานาชาติได้รวมมาคีมาคีไว้ในรายชื่อวัตถุที่มีสภาพเหมาะสมที่จะได้รับสถานะ "พลูตอยด์" (Plutoid) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกประเภทของดาวเคราะห์แคระที่อยู่เลยวงโคจรของดาวเนปจูนออกไป บริเวณเดียวกับดาวพลูโตและดาวอีริส ในที่สุดมาคีมาคีก็ได้รับการจัดให้เป็นพลูตอยด์อย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2551[5][10][9][11]

การค้นพบ แก้

ดาวมาคีมาคีถูกค้นพบเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2548 จากพร้อมทีมค้นหาที่มีไมเคิล อี. บราวน์เป็นผู้นำ[3] มีการเผยแพร่ข่าวการค้นพบสู่สาธารณะเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่มีการประกาศค้นพบดาวอีริสและตามหลังการประกาศค้นพบดาวเฮาเมอาเมื่อสองวันก่อน[12]

แม้ว่าดาวมาคีมาคีจะมีความสว่างอยู่บ้าง แต่กลับไม่มีผู้ค้นพบมันจนกระทั่งหลังจากที่วัตถุแถบไคเปอร์อื่น ๆ จางลงมาก การค้นหาดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่จะค้นหาจากท้องฟ้าที่อยู่ใกล้กับแนวสุริยวิถี (บริเวณบนท้องฟ้าที่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ต่าง ๆ ปรากฏเมื่อมองจากโลก) เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะพบวัตถุฟากฟ้าใหม่ ๆ ที่บริเวณนั้น แต่เนื่องจากวงโคจรของดาวมาคีมาคีมีระนาบเอียงมาก และยังอยู่ในระยะไกลจากแนวสุริยวิถีมากที่สุดในขณะที่ถูกค้นพบ (ทางด้านเหนือของกลุ่มดาวผมเบเรนิซ[13]) จึงเป็นไปได้ว่ามันอาจจะรอดพ้นจากการถูกตรวจพบในการสำรวจครั้งก่อน ๆ ไปได้

นอกจากดาวพลูโตแล้ว ดาวมาเกมาเกเป็นดาวเคราะห์แคระเพียงดวงเดียวที่สว่างมากพอที่ไคลด์ ทอมบอ (Clyde Tombaugh) อาจค้นพบได้ระหว่างการค้นหาดาวเคราะห์พ้นดาวเนปจูนประมาณคริสต์ทศวรรษ 1930[14] ในช่วงเวลาที่ทอมบอทำการสำรวจอยู่นั้น มาคีมาคีมีตำแหน่งอยู่ห่างจากแนวสุริยวิถีเพียงไม่กี่องศา ใกล้กับเขตแดนของกลุ่มดาววัวและกลุ่มดาวสารถี[c] โดยมีอัตราความสว่างปรากฏอยู่ที่ 16.0[13] อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งนี้ก็ยังอยู่ใกล้กับทางช้างเผือก จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะพบดาวดวงนี้ท่ามกลางพื้นหลังที่หนาแน่นไปด้วยดวงดาว ทอมบอยังคงค้นหาต่อไปอีกหลายปีหลังจากที่เขาค้นพบดาวพลูโต[15] แต่เขาก็ประสบความล้มเหลวในการค้นพบดาวมาเกมาเกหรือดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูนออกไป

การตั้งชื่อ แก้

ดาวมาเกมาเกมีชื่อชั่วคราวว่า 2005 FY9 เมื่อข่าวการค้นพบได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะ โดยก่อนหน้านั้นทีมค้นหาได้ใช้ชื่อรหัสว่า อีสเตอร์บันนี (Easter Bunny) เรียกดาวดวงนี้ เพราะได้พบมันไม่นานหลังจากวันอีสเตอร์ได้ผ่านไป[16]

และในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2551 เพื่อให้สอดคล้องกับกฎการตั้งชื่อของสหภาพดาราศาสตร์นานาชาติสำหรับวัตถุชั้นเอกในแถบไคเปอร์ ดาว 2005 FY9 ก็ได้รับการตั้งชื่อตามชื่อของเทพผู้สร้างพระองค์หนึ่ง โดยชื่อมาคีมาคี (Makemake) เทพเจ้าผู้ให้กำเนิดมนุษยชาติและเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ในเทวตำนานของชาวราปานุยซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของเกาะอีสเตอร์[5] ได้รับการคัดเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาความเชื่อมโยงระหว่างดาวดวงนี้กับวันอีสเตอร์ไว้[16]

ดาวบริวาร แก้

มาคีมาคี มีดวงจันทร์ที่เป็นที่รู้จักเพียงดวงเดียว ซึ่งถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2558-2559 (ภาพการค้นพบในปี 2558 และประกาศเมื่อปี 2559) คาดว่าดวงจันทร์อาจมีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 200 กม. [17]

อ้างอิง แก้

  1. Brian G. Marsden (2008-07-17). "MPEC 2008-O05 : Distant Minor Planets (2008 Aug. 2.0 TT)". IAU Minor Planet Center. Harvard-Smithsonian Center for Astrophysics. สืบค้นเมื่อ 2008-09-27.
  2. Marc W. Buie (2008-04-05). "Orbit Fit and Astrometric record for 136472". SwRI (Space Science Department). สืบค้นเมื่อ 2008-07-13.
  3. 3.0 3.1 "JPL Small-Body Database Browser: 136472 (2005 FY9)". NASA Jet Propulsion Laboratory. 2008-04-05. สืบค้นเมื่อ 2008-06-11.
  4. 4.0 4.1 J. Stansberry; W. Grundy; M. Brown; และคณะ (February 2007). "Physical Properties of Kuiper Belt and Centaur Objects: Constraints from Spitzer Space Telescope" (abstract). The Solar System beyond Neptune. University of Arizona Press. สืบค้นเมื่อ 2008-08-04.
  5. 5.0 5.1 5.2 "Dwarf Planets and their Systems". Working Group for Planetary System Nomenclature (WGPSN). U.S. Geological Survey. 2008-11-07. สืบค้นเมื่อ 2008-07-13.
  6. Robert D. Craig (2004). Handbook of Polynesian Mythology. ABC-CLIO. p. 63. ISBN 1576078949. สืบค้นเมื่อ 2020-05-01.
  7. JPL/NASA (2015-04-22). "What is a Dwarf Planet?". Jet Propulsion Laboratory. สืบค้นเมื่อ 2022-01-19.
  8. Michael E. Brown (2006). "The discovery of 2003 UB313 Eris, the 10th planet largest known dwarf planet". California Institute of Technology. สืบค้นเมื่อ 2008-07-14.
  9. 9.0 9.1 Michael E. Brown. "The Dwarf Planets". California Institute of Technology, Department of Geological Sciences. สืบค้นเมื่อ 2008-01-26.
  10. Gonzalo Tancredi; Sofia Favre (June 2008). "Which are the dwarfs in the Solar System?" (PDF). Icarus. 195 (2): 851–862. doi:10.1016/j.icarus.2007.12.020. สืบค้นเมื่อ 2008-08-03.
  11. International Astronomical Union (2008-07-19). "Fourth dwarf planet named Makemake" (Press release). International Astronomical Union (News Release - IAU0806). สืบค้นเมื่อ 2008-07-20.
  12. Thomas H. Maugh II and John Johnson Jr. (2005). "His Stellar Discovery Is Eclipsed". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ 2008-07-14.
  13. 13.0 13.1 "Asteroid 136472 Makemake (2005 FY9)". HORIZONS Web-Interface. JPL Solar System Dynamics. สืบค้นเมื่อ 2008-07-01.
  14. M. E. Brown; M. A. van Dam; A. H. Bouchez; และคณะ (2006-03-01). "Satellites of the Largest Kuiper Belt Objects". The Astrophysical Journal. 639: L43–L46. doi:10.1086/501524.
  15. "Clyde W. Tombaugh". New Mexico Museum of Space History. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-09-25. สืบค้นเมื่อ 2008-06-29.
  16. 16.0 16.1 Mike Brown (2008). "Mike Brown's Planets: What's in a name? (part 2)". California Institute of Technology. สืบค้นเมื่อ 2008-07-14.
  17. Parker, A. H.; Buie, M. W.; Grundy, W. M.; Noll, K. S. (2016-04-25). "Discovery of a Makemakean Moon". The Astrophysical Journal. 825 (1): L9. arXiv:1604.07461. Bibcode:2016ApJ...825L...9P. doi:10.3847/2041-8205/825/1/L9.