วัคซีนป้องกันโรคท้องร่วงจากเชื้อไวรัสโรตา

วัคซีนป้องกันโรคท้องร่วงจากเชื้อไวรัสโรตา เป็นวัคซีนที่ป้องกันการติดเชื้อไวรัสโรตา ซึ่งเป็นไวรัสสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคท้องร่วงโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก วัคซีนสามารถป้องกันการเกิดท้องร่วงรุนแรงได้ร้อยละ 15-34 ในประเทศกำลังพัฒนา และ ป้องกันได้ถึงร้อยละ 37-96 ในประเทศที่พัฒนาแล้ว วัคซีนแสดงให้เห็นว่าสามารถลดอัตราการตายจากโรคท้องร่วงในเด็กเล็กได้ การให้ภูมิคุ้มกันในเด็กทารกสามารถลดการเกิดโรคท้องร่วงจากเชื้อไวรัสโรตาในคนที่มีอายุมากกว่า หรือคนที่ไม่ได้รับภูมิคุ้มกันได้ [1]

องค์การอนามัยโลกแนะนำวัคซีนป้องกันโรคท้องร่วงจากเชื้อไวรัสโรตาเป็นวัคซีนประจำ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พบอัตราป่วยได้บ่อย นอกจากการให้ภูมิคุ้มกันแล้ว ควรส่งเสริมการให้นมมารดา การรณรงค์การล้างมือ และ ส่งเสริมสุขาภิบาลอาหารและน้ำร่วมด้วย วัคซีนป้องกันโรคท้องร่วงจากเชื้อไวรัสโรตาบริหารวัคซีนโดยการให้ทางปาก และต้องให้ 2-3 ครั้ง สามารถเริ่มให้ได้ตั้งแต่เด็กมีอายุ 6 สัปดาห์เป็นต้นไป [2]

วัคซีนทำจากไวรัสที่ทำให้อ่อนแรงลง มีความปลอดภัยค่อนข้างสูงแม้ในกลุ่มผู้ป่วย HIV/AIDS แต่เดิมนั้น พบว่าวัคซีนป้องกันการติดเชื้อโรตารุ่นก่อนๆมีความสัมพันธ์กับการเกิดลำไส้กลืนกัน ( intussusception) แต่วัคซีนรุ่นใหม่ไม่พบว่ามีความสัมพันธ์ชัดเจนกับการเกิดภาวะลำไส้กลืนกัน อย่างไรก็ดีเนื่องจากอาจมีความเสี่ยงอยู่ จึงไม่แนะนำให้ให้วัคซีนในทารกที่เคยมีประวัติว่ามีภาวะลำไส้กลืนกันมาก่อน [2]

วัคซีนป้องกันการติดเชื้อโรตาใช้ครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2006 และยังเป็นวัคซีนที่อยู่ในทะเบียนยาที่จำเป็นขององค์การอนามัยโลก ราคาขายส่งในปี 2014 อยู่ที่  6.96 ถึง 20.66 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ 1 ครั้งการให้วัคซีน [2]

ข้อมูลอ้างอิง แก้

  1. Patel MM, Steele D, Gentsch JR, Wecker J, Glass RI, Parashar UD (January 2011). "Real-world impact of rotavirus vaccination". Pediatr. Infect. Dis. J. 30 (1 Suppl): S1–5. doi:10.1097/INF.0b013e3181fefa1f. PMID 21183833.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  2. 2.0 2.1 2.2 "Rotavirus vaccines. WHO position paper – January 2013" (PDF). Releve epidemiologique hebdomadaire / Section d'hygiene du Secretariat de la Societe des Nations = Weekly epidemiological record / Health Section of the Secretariat of the League of Nations. 88 (5): 49–64. 1 February 2013. PMID 23424730.