ผลต่างระหว่างรุ่นของ "วิกฤตรัฐธรรมนูญออสเตรเลีย ค.ศ. 1975"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Kelos omos1 (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
Kelos omos1 (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 198:
}}
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์คนก่อนเคอร์ เซอร์ พอล แฮสลัค เชื่อว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตขึ้นคือการขาดความเชื่อใจและความไว้วางใจระหว่าง
==คำกล่าวหาว่ามีความเกี่ยวข้องกับซีไอเอ==
ระหว่างที่เกิดวิกฤต วิทแลมกล่าวหาว่าหัวหน้าพรรคชนบท ดัก แอนโธนี มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ[[สำนักข่าวกรองกลาง]]ของสหรัฐฯ
โจนาธาน ควิทนีย์จากหนังสือพิมพ์[[เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล]] กล่าวว่าซีไอเอ "ออกค่าเดินทางให้กับเคอร์ สร้างสมบารมีให้... เคอร์ยังคงไปหาซีไอเอเพื่อขอเงิน" ในปี 1974 ทำเนียบขาวส่ง มาร์แชล กรีน มาเป็นเอกอัครราชฑูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศออสเตรเลีย ผู้เป็นที่รู้จักในฉายา "เจ้าแห่งการรัฐประหาร" เพราะมีบทบาทสำคัญต่อการรัฐประหารในปี 1965 เพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี[[ซูการ์โน]]แห่ง[[อินโดนีเซีย]]
วิทแลมเขียนในเวลาต่อมาว่า เคอร์ไม่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากซีไอเอ อย่างไรก็ตาม เขายังกล่าวว่าในปี 1977 ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา วอร์เร็น คริสโตเฟอร์ เดินทางมาซิดนีย์เป็นการพิเศษ เพื่อพบกับเขา และบอกเขาว่า ในนามของประธานาธิบดีสหรัฐฯ [[จิมมี คาร์เตอร์]] เขาพร้อมที่จะร่วมงานกับรัฐบาลใด ๆ ก็ตามที่ประชาชนออสเตรเลียเลือกตั้งเข้ามา และสหรัฐฯ จะไม่แทรกแซงกระบวนการทางประชาธิปไตยของออสเตรเลียอีก เคอร์ปฏิเสธว่าตนเองเกี่ยวกับข้องซีไอเอ และไม่มีหลักฐานว่าเขาเกี่ยวข้อง ในบันทึกส่วนตัวของเขา อดีตอธิบดีองค์การข่าวกรองความมั่นคงออสเตรเลีย เซอร์เอ็ดเวิร์ด วูดเวิร์ด ปฏิเสธความคิดที่ว่าซีไอเอเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ผู้พิพากษาโรเบิร์ต โฮป ผู้อยู่ในคณะกรรมธิการสอบสวนหน่วยข่าวกรองออสเตรเลียถึงสองครั้ง พูดในปี 1998 ว่าเขาพยายามที่จะตามหาและสัมภาษณ์พยานที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ให้หลักฐานจากกล้องถ่ายภาพให้กับคณะกรรมาธิการเชิร์ช ในเรื่องของความเกี่ยวข้องของซีไอเอในการปลดนายกรัฐมนตรี แต่ไม่สามารถหาพยานหรือคำให้การได้ ในปี 2015 นักประวัติศาสตร์ชาวออสเตรเลีย ปีเตอร์ เอ็ดเวิร์ดส ปฏิเสธคำอ้างที่กล่าวหา ซึ่งเขาเรียกว่าเป็น "ทฤษฎีสมคบคิดที่อยู่มาอย่างยาวนาน"▼
วิทแลมเขียนในเวลาต่อมาว่า เคอร์ไม่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนใด ๆ จากซีไอเอ อย่างไรก็ตาม เขาเคยกล่าวว่าในปี 1977 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา วอร์เร็น คริสโตเฟอร์ เดินทางมายังซิดนีย์เป็นการพิเศษเพื่อพบกับเขา ส่งสาส์นในนามประธานาธิบดีสหรัฐฯ [[จิมมี คาร์เตอร์]] ว่าเขาพร้อมที่จะร่วมงานกับรัฐบาลใด ๆ ก็ตามที่ประชาชนออสเตรเลียเป็นผู้เลือกเข้ามา และสหรัฐฯ จะไม่แทรกแซงกระบวนการทางประชาธิปไตยของออสเตรเลีย''อีกต่อไป'' เคอร์ปฏิเสธว่าตัวเองเกี่ยวข้องกับซีไอเอ และไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่ระบุว่าเขาเกี่ยวข้องจากบันทึกส่วนตัวของเขา
จดหมายลับระหว่างเคอร์กับชาร์เทอริสที่ถูกเผยแพร่ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2020 เปิดเผยว่าเคอร์คิดว่าคำกล่าวหาว่าเขาเกี่ยวพันกับซีไอเอเป็น "เรื่องไร้สาระ" และเขายืนยันอย่างสม่ำเสมอถึง "ความจงรักภักดีเรื่อยมา" ต่อพระมหากษัตริย์▼
▲
▲จดหมายลับระหว่างเคอร์กับชาร์เทอริสที่ถูกเผยแพร่ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2020 เปิดเผยว่าเคอร์คิดว่าคำกล่าวหาที่ว่าเขาเกี่ยวพันกับซีไอเอเป็น "เรื่องไร้สาระ" และเขายืนยันอย่าง
==ความเกี่ยวข้องของวัง==
ทั้งวิทแลมและเคอร์ไม่เคย
หนึ่งใน ตั้งแต่ปี 2012 ฮอคกิงเริ่มพยายามที่จะขอให้มีการปล่อยจดหมายโต้ตอบระหว่างที่ปรึกษาของพระราชินีกับเคอร์ในเรื่องการปลดนายกรัฐมนตรี ซึ่งหอจดหมายเหตุแห่งชาติเป็นผู้เก็บไว้อยู่ ในปี 2016 ฮ็อคกิงยื่นคำร้องต่อศาลกลาง เพื่อเรียกร้องให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติทำการปล่อยจดหมายโต้ตอบระหว่างเคอร์ พระราชินี และชาร์เทอริส ที่เรียกว่า "จดหมายจากวัง" (palace letters) ที่หอจดหมายเหตุเก็บไว้อยู่แต่ไม่อนุญาตให้เห็น คำร้องตกไปในการพิจารณาแบบครบองค์คณะ คือเทียบเท่าชั้นอุทธรณ์ในระบบศาลของออสเตรเลีย แต่ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2020 ฮ็อคกิงที่ยื่นคำร้องฎีกาต่อศาลสูง ก็ประสบความสำเร็จในที่สุด โดยศาลสูงมีคำตัดสิน 6 ต่อ 1 ให้ถือว่าจดหมายจากวังเป็น "เอกสารของเครือรัฐ" คือเป็นเอกสารสาธารณะที่บุคคลทั่วไปสามารถขอดูได้ตามบทบัญญัติที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติจดหมายเหตุ ค.ศ. 1983
ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2020 จดหมายทั้งหมดถูกปล่อยทางออนไลน์โดยไม่มีการปกปิดใด ๆ ข้อความในจดหมายเหล่านี้เปิดเผยว่า ถึงแม้ว่าเคอร์จะเคยเขียนจดหมายโต้ตอบกับชาร์เทอริสในเรื่องของอำนาจทางรัฐธรรมนูญที่เขามีในการปลดวิทแลม แต่เขาไม่เคยทูลแจ้งให้พระราชินีทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับการตัดสินใจที่จะปลดวิทแลม แต่จดหมายก็เปิดเผยเช่นกันว่าเคอร์เคยเอ่ยถึงความเป็นไปได้ที่จะปลดวิทแลมมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1975 คือประมาณ 2-3 เดือนก่อนที่จะเกิดวิกฤต นอกจากนี้ ในวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1975 มาร์ติน ชาร์เทอริสยังยืนยันในจดหมายว่าเคอร์ได้พูดคุยกับเจ้าชายชาลส์ในเรื่องความเป็นไปได้ที่วิทแลมจะทูลเกล้าฯ ขอให้พระราชินีมีพระบรมราชโองการปลดเคอร์ให้พ้นจากตำแหน่ง
==อ้างอิง==
|