ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระยาอู่"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Xiengyod~commonswiki (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 35:
==ต้นพระชนม์==
 
พระยาอู่ประสูติในเมื่อราวปลาย ค.ศ. 1323<ref group=note>พงศาวดาร ''Razadarit Ayedawbon'' (Pan Hla 2005: 161) ว่า พระยาอู่สิ้นพระชนม์ในวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน Tabodwe จ.ศ. 745 (ตรงกับวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 1384) พระชนม์ได้ 60 ปี แสดงว่า พระองค์ประสูติ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในช่วงวันขึ้น 11 ค่ำ เดือน Tabodwe จ.ศ. 684 (ตรงกับวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1323) ถึงวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน Tabodwe จ.ศ. 685 (ตรงกับวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1324) อนึ่ง พงศาวดารนี้บอกว่า (Pan Hla 2005: 40) เมื่อพระยาอู่ประสูตินั้น พระบิดาของพระยาอู่ได้ขึ้นครองราชย์แล้ว และบอก (Pan Hla 2005: 41) อีกว่า พระบิดาขึ้นครองราชย์ในเดือน Thadingyut จ.ศ. 685 (ตรงกับช่วงวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1323 ถึงวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 1323) ข้อมูลทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า พระยาอู่จะต้องประสูติ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในช่วงเดือน Thadingyut (ตรงกับเดือนกันยายน ค.ศ. 1323) จนถึงวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน Tabodwe จ.ศ. 685 (ตรงกับวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1324)</ref> ทรงเป็นพระโอรสพระองค์เดียวของ[[พระเจ้ารามมะไตย|พระยารามมะไตย]] (Binnya Ran De) พระมหากษัตริย์แห่งหงสาวดีซึ่งตั้งเมืองหลวงอยู่[[เมาะตะมะ]] กับ[[พระนางจันทะมังคละ]] (Sanda Min Hla) ผู้เป็นพระมเหสี พระยาอู่มีพระพี่นางสองพระองค์ คือ เม้ยเน (Mwei Ne) ซึ่งสิ้นพระชนม์แต่ยังเยาว์ กับเม้ยนะ (Mwei Na) ซึ่งภายหลังได้พระนามใหม่ว่า พระมหาเทวี นอกจากนี้ พระยาอู่มีพระอนุชาสองพระองค์ซึ่งร่วมพระบิดากัน คือ มิฉาน (Mi Ma-Hsan) กับ[[มังลังกา]] (Min Linka)<ref name=nph-40>Pan Hla 2005: 40</ref>
 
ด้วยสถานะดังกล่าว พระยาอู่จึงเป็นที่คาดหมายว่า จะได้สืบราชสมบัติต่อจากพระบิดา แต่เมื่อพระบิดาถูกปลงพระชนม์ใน ค.ศ. 1330 พระมารดา คือ พระนางจันทะมังคละ ก็ทรงยึดอำนาจและตั้งพระเชษฐาของพระนางเอง คือ [[พระยาอายลาว]] (Binnya E Law) ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ และตั้งตนเองเป็นพระมเหสีของพระเชษฐา เพื่อจะได้อยู่ในอำนาจต่อไป<ref name=nph-41-42>Pan Hla 2005: 41–42</ref> ทำให้เกิดความตึงเครียดทางการเมืองเรื่องผู้ใดจะสืบราชสมบัติต่อจากพระยาอายลาว ระหว่าง[[พระยาอายลอง]] (Binnya E Laung) พระโอรสของพระยาอายลาว กับพระยาอู่ พระโอรสของพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน ความตึงเครียดดังกล่าวยิ่งทวีขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1340 เมื่อพระพลานามัยของพระยาอายลาวทรุดโทรมลงตามลำดับ จนที่สุดแล้ว พระยาอายลองกับพระยาอู่ก็กระทำยุทธหัตถีกัน และพระยาอู่ทรงมีชัยเหนือพระยาอายลอง ทำให้พระยาอายลาวพิโรธและรับสั่งให้จับพระยาอู่ไปฆ่า<ref name=nph-43>Pan Hla 2005: 43</ref> แต่พระนางจันทะทังคละมังคละทรงห้ามไว้ พระยาอายลาวจึงทรงให้ปล่อยพระยาอู่ ไม่นานหลังจากนั้น พระยาอายลองสิ้นพระชนม์เพราะไข้ทรพิษ จึงเหลือพระยาอู่เป็นผู้มีสิทธิขึ้นสืบราชบัลลังก์แต่ผู้เดียว ครั้น ค.ศ. 1348 พระยาอายลาวสิ้นพระชนม์ พระยาอู่ขณะนั้นมีพระชนม์ 25 ชันษา จึงได้สืบราชสมบัติต่อ<ref name=nph-44>Pan Hla 2005: 44</ref><ref name=app-67>Phayre 1967: 67</ref>
พระยาอู่เป็นพระโอรสพระองค์เดียวของ[[พระเจ้ารามมะไตย|พระยารามมะไตย]] (Binnya Ran De) พระมหากษัตริย์แห่งหงสาวดีซึ่งตั้งเมืองหลวงอยู่[[เมาะตะมะ]] กับ[[พระนางจันทะมังคละ]] (Sanda Min Hla) ผู้เป็นพระมเหสี พระยาอู่มีพระพี่นางสองพระองค์ คือ เม้ยเน (Mwei Ne) ซึ่งสิ้นพระชนม์แต่ยังเยาว์ กับเม้ยนะ (Mwei Na) ซึ่งภายหลังได้พระนามใหม่ว่า พระมหาเทวี นอกจากนี้ พระยาอู่มีพระอนุชาสองพระองค์ซึ่งร่วมพระบิดากัน คือ มิฉาน (Mi Ma-Hsan) กับ[[มังลังกา]] (Min Linka)<ref name=nph-40>Pan Hla 2005: 40</ref>
 
ด้วยสถานะดังกล่าว พระยาอู่จึงเป็นที่คาดหมายว่า จะได้สืบราชสมบัติต่อจากพระบิดา แต่เมื่อพระบิดาถูกปลงพระชนม์ใน ค.ศ. 1330 พระมารดา คือ พระนางจันทะมังคละ ก็ทรงยึดอำนาจและตั้งพระเชษฐาของพระนางเอง คือ [[พระยาอายลาว]] (Binnya E Law) ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ และตั้งตนเองเป็นพระมเหสีของพระเชษฐา เพื่อจะได้อยู่ในอำนาจต่อไป<ref name=nph-41-42>Pan Hla 2005: 41–42</ref> ทำให้เกิดความตึงเครียดทางการเมืองเรื่องผู้ใดจะสืบราชสมบัติต่อจากพระยาอายลาว ระหว่าง[[พระยาอายลอง]] (Binnya E Laung) พระโอรสของพระยาอายลาว กับพระยาอู่ พระโอรสของพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน ความตึงเครียดดังกล่าวยิ่งทวีขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1340 เมื่อพระพลานามัยของพระยาอายลาวทรุดโทรมลงตามลำดับ จนที่สุดแล้ว พระยาอายลองกับพระยาอู่ก็กระทำยุทธหัตถีกัน และพระยาอู่ทรงมีชัยเหนือพระยาอายลอง ทำให้พระยาอายลาวพิโรธและรับสั่งให้จับพระยาอู่ไปฆ่า<ref name=nph-43>Pan Hla 2005: 43</ref> แต่พระนางจันทะทังคละทรงห้ามไว้ พระยาอายลาวจึงทรงให้ปล่อยพระยาอู่ ไม่นานหลังจากนั้น พระยาอายลองสิ้นพระชนม์เพราะไข้ทรพิษ จึงเหลือพระยาอู่เป็นผู้มีสิทธิขึ้นสืบราชบัลลังก์แต่ผู้เดียว ครั้น ค.ศ. 1348 พระยาอายลาวสิ้นพระชนม์ พระยาอู่ขณะนั้นมีพระชนม์ 25 ชันษา จึงได้สืบราชสมบัติต่อ<ref name=nph-44>Pan Hla 2005: 44</ref><ref name=app-67>Phayre 1967: 67</ref>
 
เมื่อขึ้นครองราชย์แล้ว พระยาอู่มีพระนามว่า "พระเจ้าช้างเผือก" เพราะทรงครอบครองช้างเผือกหนึ่งช้าง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์มงคลแห่งความเป็นราชาในคติพม่า<ref name=nph-44/>