ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สวนสัตว์ยุคใหม่ ( Modern Zoo )"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Kongkham6211 (คุย | ส่วนร่วม)
Kongkham6211 (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 35:
ระบบนิเวศจะใช้บ่งถึงพื้นที่ที่ค่อนข้างเล็ก เช่นสระน้ำที่บีเวอร์อาศัยอยู่ เมื่อจะต้องกล่าวถึงถึงพื้นที่ใหญ่ขึ้น เช่น พื้นที่ป่าสน ( Coniferous Forest) ระบบนิเวศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเราจะใช้คำว่า ชีวนิเวศ ( biomes) ซึ่งหมายถึงพื้นที่ของโลกจะประกอบด้วยพืชที่คล้ายกันและสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ชีวนิเวศจะประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์หลายชนิด รวมทั้งสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น หินและดิน ตัวอย่างเช่น ป่าเขตร้อน ( Tropical forest ) ที่มีลักษณะสำคัญคือ เป็นพื้นที่ในบริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตรมีฝนตกชุก มีความหลากหลายของชนิดพืช ทะเลเป็นชีวนิเวศที่รวมเอาตั้งแต่สาหร่าย แพลงตอนที่เป็นอาหารของปลาวาฬสีน้ำเงิน โดยที่องค์ประกอบของแต่ละชีวนิเวศจะประกอบด้วยถิ่นที่อยู่และสังคมที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ทะเลทรายโมเจวี ( Mojave ) ทะเลทรายซาฮาร่าและทะเลทรายโกเบ จะมีลักษณะจำเพาะและลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันแต่ทั้งหมดจัดอยู่ในชีวนิเวศเดียวกัน
 
== การปรับตัวของสัตว์ป่าเพื่อความเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม ( Finding a Nich ) ==
สัตว์หลาย ๆ ชนิดที่ดำรงชีวิตในชีวนิเวศ ( biomes ) เดียวกัน จะมีวิธีการปรับตัวที่ช่วยให้ตัวเองอยู่รอดในสิ่งแวดล้อมแห่งนั้นๆ คล้ายกัน อย่างไรก็ตามสัตว์แต่ละชนิดจะมีการพัฒนาลักษณะทางร่างกายและพฤติกรรมให้เหมาะกับพื้นที่ที่ตัวเองอยู่โดยใช้คำศัพท์สำหรับความหมายดังกล่าวว่า niche หรือ ecological niche
ecological niche คือ บทบาทที่สัตว์หรือพืชแสดงออกมาในสิ่งแวดล้อมที่ตนเองอาศัยอยู่ ซึ่งบทบาทจะแสดงออกมาอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ตนเองอยู่ เช่น ลักษณะพื้นที่ สิ่งแวดล้อม อาหารที่สัตว์กิน วิธีการสืบพันธุ์ การที่สัตว์แต่ละชนิดมีบทบาทของตัวเองที่แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่น ๆ ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน จะมีประโยชน์ในแง่ของการใช้แหล่งอาหารที่ไม่แก่งแย่งกันเกินไป จำนวนของลูกที่เกิดใหม่ก็ไม่ออกมามากเกินปริมาณอาหารและพื้นที่ รวมทั้งพฤติกรรมที่ช่วยให้สัตว์แต่ละชนิดอยู่ร่วมกับสัตว์ชนิดอื่นได้
สัตว์เท้ากีบที่กินหญ้า-ใบไม้ในทุ่งหญ้าซาวันน่าในทวีปแอฟริกา เป็นภาพที่บทบาทของสัตว์แต่ละชนิดค่อนข้างลงตัว สัตว์แต่ละชนิดมีอาหารที่ตัวเองชอบและกินส่วนที่ต่างกันของพืช ซึ่งจะช่วยให้ไม่เกิดปัญหาขาดแคลนอาหารเกิดขึ้น ม้าลายที่มีฟันที่แข็งแรงจะกินหญ้าที่ใบแห้งหยาบ วิลเดอร์บีทจะกินหญ้าที่มีลำต้นยาว แอนติโลปจะกินส่วนโคนที่เหี่ยวแห้งของหญ้า ส่วนยีราฟจะกินยอดอ่อนของใบไม้
การที่สัตว์แต่ละชนิดมีบทบาทของตัวเองที่แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่น ๆ ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน จะมีประโยชน์ในแง่ของการใช้แหล่งอาหารที่ไม่แก่งแย่งกันเกินไป จำนวนของลูกที่เกิดใหม่ก็ไม่ออกมามากเกินปริมาณอาหารและพื้นที่ รวมทั้งพฤติกรรมที่ช่วยให้สัตว์แต่ละชนิดอยู่ร่วมกับสัตว์ชนิดอื่นได้
 
 
สัตว์เท้ากีบที่กินหญ้า-ใบไม้ในทุ่งหญ้าซาวันน่าในทวีปแอฟริกา เป็นภาพที่บทบาทของสัตว์แต่ละชนิดค่อนข้างลงตัว สัตว์แต่ละชนิดมีอาหารที่ตัวเองชอบและกินส่วนที่ต่างกันของพืช ซึ่งจะช่วยให้ไม่เกิดปัญหาขาดแคลนอาหารเกิดขึ้น ม้าลายที่มีฟันที่แข็งแรงจะกินหญ้าที่ใบแห้งหยาบ วิลเดอร์บีทจะกินหญ้าที่มีลำต้นยาว แอนติโลปจะกินส่วนโคนที่เหี่ยวแห้งของหญ้า ส่วนยีราฟจะกินยอดอ่อนของใบไม้
ดังนั้นสัตว์และพืชหลายชนิดจึงมีบทบาทของตัวเองในแต่ละถิ่นที่อยู่ และต้องมีการปรับให้เกิดความสัมพันธ์กับสัตว์ชนิดอื่นเพื่อให้สิ่งมีชีวิตอยู่รอดได้ ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างสิ่งมีชีวิต 2 ชนิดที่มีสัตว์ชนิดหนึ่งหรือทั้งสองชนิดได้ประโยชน์ เราจะเรียกความสัมพันธ์โดยใช้คำศัพท์ว่า การอยู่ร่วมกันแบบอิงอาศัย ( Symbiosis ) ยกตัวอย่างเช่น นกในทวีปแอฟริกาชื่อออคเปคเกอร์ ( oxpecker ) จะจิกกินแมลงบนหลังแรด สัตว์ทั้ง 2 ชนิดได้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ดังกล่าว นกหาแมลงเพื่อกินเป็นอาหาร ส่วนแรดก็ไม่มีแมลงมารบกวน