ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สโมสรฟุตบอลเชลซี"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Flix11 (คุย | ส่วนร่วม)
fix
กานเชลซี (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 77:
===แชมป์ยุโรป 2 ถ้วย 2 ปีซ้อนและแชมป์เก่าที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ (2011 - ปัจจุบัน)===
[[ไฟล์:Chelsea_3_Sunderland_1_Champions!_(17540678104).jpg|thumb|right|นักเตะเชลซีกำลังฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2014-15]]
[[File:Chelsea_vs._Arsenal,_29_May_2019_32.jpg|thumb|left|แชมป์ยูโรปาลีกสมัยที่สองของเชลซี ฤดูกาล 2018-19]]
 
ซีซั่น 2011-12 เป็นซีซั่นที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร เมื่อพวกเขาเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกและเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิก]]ในการดวลจุดโทษ โดยพวกเขาเกือบจะแพ้เมื่อ[[โทมัส มึลเลอร์]]โหม่งผ่าน[[ปีเตอร์ เช็ก]]เข้าไป แต่ในนาทีที่ 88 ดีดีเย ดรอกบาก็โหม่งผ่าน[[มานูเอล นอยเออร์]]ตีเสมอเป็น 1-1 และดวลจุดโทษเอาชนะ 4-3 และเป็นแชมป์ไปในที่สุด อีกทั้งยังคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้อีกสมัยด้วยการเอาชนะลิเวอร์พูลในรอบชิงชนะเลิศ แม้ในลีกจะจบเพียงที่6ก็ตาม ปีต่อมา [[ราฟาเอล เบนิเตซ]]ได้เข้ามาคุมทีมและคว้าแชมป์[[ยูฟ่ายูโรปาลีก]]ไปได้จากการเอาชนะสโมสรฟุตบอลไบฟีกา 2 ประตูต่อ 1 จากประตูชัยของ [[เฟร์นานโด ตอร์เรส]] และ [[บรานิสลาฟ อีวานอวิช]] ในปีต่อมาพวกเขาได้ดึงโชเซ มูรีนโยกลับมาคุมทีมอีกครั้ง แต่ไม่ได้แชมป์อะไรเลยในปีแรก แต่ในปีต่อมาพวกเขาคว้าดับเบิ้ลแชมป์ด้วยการคว้าแชมป์[[พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2014–15]] ได้สำเร็จ และคว้าแชมป์แคปิตอลวันคัพด้วยการเอาชนะ[[สโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์]]ไป 2-0 จากจอห์น เทอร์รี่และ [[เดียโก โกสตา]]
 
ในฤดูกาล 2015-16 พวกเขามาพร้อมกับความคาดหวังที่สูงมาก แต่พวกเขาไม่สามารถเอาชนะได้เลยในปรีซีซั่น และแพ้ศึกเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ต่ออาร์เซนอลไป 0-1 และเป็นครั้งแรกด้วยที่โชเซ มูรีนโยแพ้ให้กับอาร์แซน แวงแกร์ด้วย และพวกเขาแพ้ได้ทุกทีมไม่เว้นแม้กระทั่งน้องใหม่จากการพ่ายสโมสรฟุตบอลบอร์นมัทไป 0-1 และหลังจากการพ่ายแพ้เลสเตอร์ซิตี 1-2 ทำให้อบราโมวิชต้องตัดสินใจปลดโชเซ มูรีนโยออก และดึงกุส ฮิดดิ้งค์เข้ามาแทน ถึงแม้จะดีขึ้นบ้าง แต่ก็เสมอบ่อยมาก และตกรอบทุกถ้วยที่ลงเล่น ทำให้จบฤดูกาลด้วยอันดับ10ไม่ได้ไปฟุตบอลระดับทวีป ในปีต่อมาอันโตนีโอ กอนเตได้เข้ามาคุมทีมหลังจบศึกยูโร 2016 ที่ประเทศฝรั่งเศสและทำทีมชนะสามนัดแรก ก่อนที่จะเสมอให้กับสโมสรฟุตบอลสวอนซีไป 2-2 หลังจากนั้นก็แพ้ลิเวอร์พูล 1-2 และแพ้อาร์เซนอล 0-3 แต่หลังจากได้เปลี่ยนแผนเป็น 3-4-3 พวกเขาก็ชนะ 13 นัดรวดเป็นสถิติสโมสร ก่อนที่จะพ่ายท็อตแนมฮ็อทสเปอร์สไป 0-2 ที่ไวต์ฮาร์ทเลน และยังไม่แพ้ใครหลังจากแพ้ท็อตแน่มอีกเลยจนกระทั่งพ่ายให้กับคริสตัลพาเลซ 1-2 คาสแตมฟอร์ดบริดจ์ แต่ก็สามารถคว้าแชมป์ได้หลังจากการเอาชนะเวสบรอมมิชอัลเบี้ยนไป 1-0 ที่เดอะฮอว์ธอร์นส์ ก่อนจะทำสถิติแชมป์ที่ชนะ 30 นัดรวดในเวลาต่อมา
ต่อมาในฤดูกาล 2017-18 เชลซีพลาดท่าพ่ายเบิร์นลีย์ 2-3 ในนัดแรก แต่ในนัดต่อ ๆ มา ก็สามารถรักษามาตรฐานของตัวเองไว้ได้ จนกระทั่งท้ายฤดูกาลกลับฟอร์มหลุดดื้อๆ จากที่เคยการันตีพื้นที่ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กลายเป็นหลุดและไป [[ยูฟ่ายูโรปาลีก]] แทน เชลซีได้ปลดกอนเตและให้ [[เมาริซิโอ ซาร์รี่]] เข้ามาคุมทีมแทน เขาได้สร้างสถิติชนะหลายนัดร่วมกับลิเวอร์พูลและแมนซิตี้ แต่เล่นไปเล่นมาผลงานกลับสะดุดดื้อๆ และแพ้บอร์นมัธไปถึง 0-4 ทำให้อนาคตของซาร์รี่ในช่วงนั้นไม่ค่อยดีนัก รวมถึงถูกแมนเชสเตอร์ซิตีถล่มแบบหมดสภาพไปถึง 0-6 แพ้เละที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกของสโมสรเชลซี แถมยังตกรอบเอฟเอคัพด้วยการพ่ายแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 0-2 คาเดอะบริดจ์ รวมไปถึงการพ่ายจุดโทษแมนฯ ซิตี้ในศึกลีกคัพในการดวลจุดโทษ 3-4 แต่นั่นเป็นลางดีเพราะการรับมือแมนฯ ซิตี้ในเวลา 120 นาทีได้สำเร็จ แต่ก็มีปัญหาเมื่อ[[เกปา อาร์ริซาบาลากา]]ดันขัดคำสั่งให้เปลี่ยนตัวของ[[เมาริซิโอ ซาร์รี]]ทำให้หลายคนกังวลถึงสปิริตของทีม ซึ่งทั้งคู่ก็ออกมาขอโทษเสร็จสรรพ พร้อมการดร็อปเกปาในนัดที่เอาชนะท็อตแน่มฮ็อทสเปอร์สไป 2-0 และนัดต่อมาก็เอาชนะฟูแลมไป 2-1 ถึงคราเวนคอตเทจโดยที่เกปาได้ลงสนาม นับเป็นสัญญาณที่ดีของความสัมพันธ์ของทั้งคู่ หลังจากนั้นเชลซีแม้จะสะดุดบ้าง แต่ด้วยความที่อีกสามทีมที่ชิงสามอันดับแรกสะดุดทั้งหมด ทำให้เชลซีสามารถคว้าสามอันดับแรกได้สำเร็จ ส่วนในฟุตบอลสโมสรยุโรปอย่างยูฟ่า ยูโรปาลีก พวกเขาชนะทุกนัดตั้งแต่รอบ 32 ทีมถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย จนกระทั่งสะดุดในรอบรองชนะเลิศกับไอน์ทรัคค์ แฟรงค์เฟิร์ต ด้วยการเสมอ 1-1 ทั้งสองนัด แต่ก็สามารถชนะจุดโทษได้ด้วยสองเซฟของเกปา เข้าชิงชนะเลิศกับอาร์เซนอลที่กรุง[[บากู]] [[ประเทศอาเซอร์ไบจาน]] และเอาชนะไปได้อย่างท่วมท้น 4-1 ด้วยประตูของ ชิรูด์,อาซาร์,และเปโดร คว้าแชมป์ยูโรปาลีกสมัยที่สอง และยังเป็นแชมป์แรกในชีวิตของ [[เมาริซิโอ ซาร์รี]] ตั้งแต่ทำงานกุนซือมาด้วย
 
แต่หลังจากนั้นเชลซีก็ต้องเสียทั้งเอแด็ง อาซาร์, ดาวิด ลุยส์ รวมไปถึงกุนซืออย่างเมาริซิโอ ซาร์รี และยังไม่สามารถซื้อนักเตะทั้งฤดูกาล 2019-20 ได้จากการผิดกฏผู้เล่นเยาวชนถึง 31 คน แต่แฟนเชลซีก็ได้ยินดีอีกครั้งเมื่อได้[[แฟรงค์ แลมพาร์ด]] มาคุมทีม และยังได้เปลี่ยนถ่ายผู้เล่นหลายคน ด้วยนักเตะที่มีไม่เยอะทำให้ช่วงแรกเชลซีฟอร์มไม่นิ่งอย่างมาก โดยเฉพาะนัดแรกที่ถูกแมนฯ ยูถล่มถง 4-0 แต่เมื่อปรับตัวได้แล้ว เชลซีก็มีฟอร์มที่ร้อนแรงในลีก ชนะ 6 นัดรวด
 
== สแตมฟอร์ดบริดจ์ ==