ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สงครามอังกฤษ–พม่าครั้งที่หนึ่ง"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Setawut (คุย | ส่วนร่วม)
แทนที่ "ยันดาโบ" → "รานตะโบ" ด้วยสจห.
บรรทัด 7:
| place = [[พม่า]], [[เบงกอลตะวันออก]], [[รัฐอัสสัม|อัสสัม]], [[มณีปุระ]], [[กะจาร์]] และ[[ซินเตีย]]
| territory =
| result = อังกฤษได้รับชัยชนะ, พม่าต้องทำ[[สนธิสัญญายันดารานตะโบ]]และสูญเสียหลายดินแดนให้อังกฤษ
| status =
| combatant1 = [[ไฟล์:Flag of the British East India Company (1801).svg|border|25px]] [[บริษัทอินเดียตะวันออก]]
บรรทัด 29:
ในระยะแรก กองทัพอังกฤษยังไม่จัดเจนในการสงครามครั้งนี้ เนื่องจากไม่คุ้นกับสภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศ และยุทธวิธีการรบ แต่ทว่า ผลของการสู้รบมาถึงจุดพลิกผันที่ให้ถึงที่สิ้นสุดเอาเมื่อถึงวันที่ 1 ธันวาคม – 14 ธันวาคม ค.ศ. 1824 ซึ่งเป็นสมรภูมิใน[[ปริมณฑลย่างกุ้ง]] [[มหาพันธุละ]] แม่ทัพใหญ่ของฝ่ายพม่า ซึ่งนำกองกำลังประมาณ 60,000 นาย จากกรุง[[อังวะ|รัตนปุระอังวะ]] ซึ่งเป็น[[เมืองหลวง]] ปะทะกับกองทัพอังกฤษ ซึ่งประกอบด้วย ทหารสัญชาติอังกฤษไม่เกิน 1,300 นาย และทหารแขก ([[ซีปอย]]) 2,500 นาย ในเวลาเพียง 15 วัน กองทัพพม่าสูญเสียเป็นอย่างยิ่ง จนมหาพันธุละเหลือกำลังทหารเพียง 7,000 นายเท่านั้น ต้องถอยร่นไปตั้งรับที่เมืองดนูพยู หรือทุนพยู จนลำน้ำปันฮะลาย ซึ่งเป็นลำน้ำสำคัญที่ตัดออกสู่[[แม่น้ำอิระวดี]] ซึ่งเป็นแม่น้ำสายใหญ่ มหาพันธุละใช้ยุทธวิธีการรบแบบสมัยโบราณ ที่เคยกระทำใช้ได้ผลสำเร็จมาแล้วในการรบแต่ละครั้งในประวัติศาสตร์ภูมิภาค[[เอเชียอาคเนย์]] คือ การตั้งค่ายและป้อมปืนขึ้นริมน้ำทั้งสองฟากเพื่อดักยิงเรือของข้าศึกที่ผ่านมา แต่ด้วยเทคโนโลยีทางอาวุธที่ทันสมัยกว่าและระเบียบวิธีการรบของกองทัพอังกฤษ มหาพันธุละเป็นฝ่ายแพ้อย่างยับเยิน และหลังจากนั้นในวันที่ [[1 เมษายน]] ปีถัดมา มหาพันธุละก็เสียชีวิตลงด้วยสะเก็ดปืนใหญ่ระเบิดที่เมืองดนูพยูนั่นเอง เมื่อถูกฝ่ายอังกฤษใช้ปืนใหญ่ที่ทันสมัยกว่ารวมทั้ง[[ปืนครก]] ขึ้นตั้งเป็นหอรบระดมยิงกระหน่ำค่ายของพม่า <ref>B.R. Pearn, 'The War of 1824' in A History of Rangoon (Rangoon, 1939), pp. 111-129</ref>
 
สงครามสิ้นสุดลงที่การทำ[[สนธิสัญญายันดารานตะโบ]] เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1826 ซึ่งมีเนื้อหาสำคัญ คือ อังกฤษจะผนวกเอา[[รัฐยะไข่|อะระกัน]]และ[[เขตตะนาวศรี|ตะนาวศรี]] ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญด้าน[[ทะเลอันดามัน]]ไปเป็นสิทธิ์ขาดอย่างที่จะเรียกเอาคืนไม่ได้ พร้อมทั้งพม่าต้องสัญญาว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของดินแดนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ คือ แคว้นอัสสัม, [[กะจาร์]], [[ซินเตีย]] และ[[มณีปุระ]] ซึ่งภายหลัง อังกฤษผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของ[[บริติชราช]] ซึ่งปกครองโดย ข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษที่[[กัลกัตตา]] นอกจากนี้แล้ว พม่ายังต้องชดใช้[[ค่าปฏิกรรมสงคราม]]ให้อังกฤษเป็นจำนวนเงิน 2,000,000 [[ปอนด์สเตอร์ลิง]] และต้องยอมให้อังกฤษตั้งสถานกงสุลขึ้นในกรุงรัตนปุระอังวะ ซึ่งมี [[จอห์น ครอว์ฟอร์ด]] เป็นกงสุลคนแรก
 
ซึ่งสงครามครั้งนี้ ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่ออาณาจักรโกนบอง ที่ถือได้ว่ามีอำนาจสูงสุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ขณะนั้น ซึ่งนับจากนี้ต่อไป พม่าไม่อาจจะแสดงอิทธิพลหรือแผ่แสนยานุภาพใด ๆ อีกต่อไป และนำไปสู่การสิ้นสุดลงของราชวงศ์โกนบอง ซึ่งเป็น[[ราชวงศ์]]สุดท้ายในประวัติศาสตร์พม่า และถือเป็นสิ้นสุดของ[[ระบอบราชาธิปไตย]]ของพม่าในปี ค.ศ. 1885 หลังสิ้นสุด[[สงครามพม่า-อังกฤษ ครั้งที่ 3]]<ref>D.G.E. Hall, Burma, p. 105: see Article Two of the Treaty of Yandabo, note 128,</ref><ref>สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ไทยรบพม่า (พระนคร: แพร่พิทยา, 2514) หน้า 754-756</ref><ref>Snodgrass, op. cit., pp. 314-319: John Crawfurd, Journal of an Embassy from the Governor-General of India to the Court of Ava in the year 1827 (London, 1829) pp. 35-43: The Treaty of Yandabo (1826)</ref>
บรรทัด 40:
*[[สงครามพม่า–อังกฤษครั้งที่สอง]]
*[[สงครามพม่า–อังกฤษครั้งที่สาม]]
*[[สนธิสัญญายันดารานตะโบ]]
 
==อ้างอิง==