ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระพุทธบุษยรัตน์จักรพรรดิพิมลมณีมัย"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ล แทนที่คำผ่านการค้นหา: 'ทรงผนวช'→'ผนวช' |
→ประวัติ: ได้เพิ่มรายละเอียดต่างๆเข้าไป โดยเฉพาะส่วนที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพรรณนาถึงพุทธลักษณะและเนื้อแก้วของพระพุทธบุษรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย เอาไว้โดยละเอียด ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
||
บรรทัด 19:
== ประวัติ ==
'''พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย''' พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัยนี้ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าผู้ใดเป็นผู้สร้างและสร้างขึ้น ณ ที่ใด เพียงแต่ทราบว่าพระพุทธปฏิมาแก้วผลึกองค์นี้มีผู้พาหนีภยันตรายไปซ่อนไว้ในถ้ำเขาส้มป่อยนายอน แขวงเมืองนครจำปาศักดิ์ ข้างฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าคงจะเป็นองค์เดียวกับพระแก้วขาวซึ่งมีเรื่องปรากฏในตำนานโยนกว่า พระแก้วขาวองค์นี้ พระอรหันต์ได้แก้วขาวมาแต่จันทรเทวบุตร จึงได้ให้พระวิษณุกรรมสร้างเป็นพระพุทธปฏิมากร
ครั้นสร้างสำเร็จแล้วได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ ๔ องค์ คือที่พระเมาฬีองค์หนึ่ง พระนลาฏองค์หนึ่ง พระอุระองค์หนึ่งและพระโอษฐ์องค์หนึ่ง พระแก้วขาวองค์นี้ได้ประดิษฐาน ณ กรุงละโว้ เป็นเวลานานจนถึงกาลที่พระฤาษีสุเทพสร้างเมืองหริภุญชัย และขอพระนางจามเทวีราชธิดาเจ้ากรุงละโว้ ขึ้นมาครองนครหริภุญชัย จนถึงแผ่นดินพระเจ้าติโลกราช ในปีพุทธศักราช ๒๐๑๑ ได้อัญเชิญไปไว้ยังเมืองเชียงใหม่พร้อมกับพระแก้วมรกต พระแก้วขาวนี้มาประดิษฐานในเมืองเชียงใหม่นาน ๘๔ ปี จนกระทั่งถึงปีพุทธศักราช ๒๐๙๕ พระเจ้าไชยเชษฐาจึงได้อัญเชิญไปประดิษฐานยังเมืองหลวงพระบางด้วยกันกับพระแก้วมรกต
ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๑๐๗ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองมีอำนาจขึ้นในพุกามประเทศ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงเห็นว่า ที่ตั้งเมืองหลวงพระบางนั้นมีทำเลซึ่งจะสู้ข้าศึกศัตรูมิได้ จึงได้โปรดให้ย้ายราชธานีลงไปตั้งอยู่ ณ เมืองเวียงจันทร์ เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเสด็จไปประทับ ณ เมืองเวียงจันทร์นั้น ปรากฏแต่ว่าให้อัญเชิญพระแก้วมรกตลงไปด้วย ส่วนพระแก้วขาวหาได้อัญเชิญลงไปด้วยไม่ อาจเป็นไปได้ว่าในเวลามีเหตุจลาจลคงมีผู้พาหนีไป แล้วจึงเอาไปซ่อนไว้ในถ้ำเขาส้มป่อยจะทิ้งอยู่นั่นไม่ถึงร้อยปี
ตามตำนานกล่าวว่ามีพรานสองคนชื่อ พรานทึง พรานเทิง ไปเที่ยวยิงสัตว์ป่าได้พบพระแก้วนี้อยู่ภายในถ้ำในตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา พรานทั้งสองรู้ว่าเป็ฯของวิเศษแต่สำคัญว่าเป็นเทวรูป จึงไปเซ่นบวงสรวงบนตามวิสัยพราน ภายหลังทั้งสองเห็นว่าพระแก้วอยู่ในที่เปลี่ยวเกรงว่าใครไปมาพบเข้าก็จะลักเอาไปเสีย จึงคิดกันจะอัญเชิญมารักษาไว้เซ่นบวงสรวงที่บ้านเรือนของตน จึงเอาเชือกผูกพระแก้วแขวนห้อยกับคานหน้าไม้ ในขณะที่เดินมานั้นพระแก้วตรงพระกรรณเบื้องขวากระทบหน้าไม้ลิไปหน่อย พรานทึงและพรานเทิงได้รักษาพระแก้วไว้ที่บ้าน ต่อมาเมื่อไปยิงได้สัตว์ป่าสำคัญว่าได้ด้วยที่บนบานพระแก้วจึงเอาโลหิตแต้มเซ่นเป็นนิตย์
ครั้นสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี เจ้าชัยกุมารเจ้านครจำปาศักดิ์ได้ทรงทราบความจากพ่อค้าที่ไปเที่ยวซื้อหนัง ซื้อเขาสัตว์ป่าตามบ้านพรานว่า พรานทึง พรานเทิง มีพระแก้วเป็นของวิเศษอยู่องค์ ๑ เจ้าชัยกุมารจึงให้ไปว่ากล่าวแก่พรานทึง พรานเทิงได้พระแก้วผลึกมาเห็นว่าพุทธปฏิมาอันวิเศษ จึงได้สร้างวิหารประดิษฐานไว้เป็นที่สักการะบูชาในนครจำปาศักดิ์ ข่าวที่เจ้านครจำปาศักดิ์มีพระแก้วผลึกวิเศษองค์นี้มิได้ทราบเข้ามาถึงกรุงธนบุรี ดังนั้นแม้กองทัพไทยยกไปถึงนครจำปาศักดิ์เมื่อครั้งตีกรุงศรีสัตนาคนหุต คราวได้พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรมาก็มิได้ทราบความเรื่องพระแก้วผลึกองค์นี้แต่อย่างใด ด้วยพวกชาวนครจำปาศักดิ์พากันซ่อนเร้นปิดบังเสีย
ครั้งเจ้าชัยกุมารถึงแก่พิราลัย เจ้าหน้าได้เป็นเจ้านครจำปาศักดิ์ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้โปรดให้ย้ายนครจำปาศักดิ์มาตั้งทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขง เจ้าหน้าได้โปรดให้สร้างวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วผลึกไว้ในเมืองใหม่ แต่ความก็มิได้ทราบเข้ามาถึงกุรงเทพฯ ตลอดรัชกาลที่ ๑ ครั้นเจ้าหน้าถึงแก่พิราลัย ในรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมใช้ข้าหลวงออกไปปลงศพเจ้าหน้าเมื่อปีมะแมตรีศก พุทธศักราช ๒๓๕๔ ข้าหลวงได้ไปเห็นพระแก้วผลึกองค์นี้เข้าจึงบอกแก่พวกท้าวพระยาเมืองนครจำปาศักดิ์ว่า พระแก้วผลึกนี้เป็นของวิเศษไม่ควรจะเอาไว้ที่เมืองนครจำปาศักดิ์ ซึ่งอยู่ชายเขตแดนพระราชอาณาจักรและเคยมีเหตุโจรผู้ร้ายเข้าปล้นเมือง หากมีเหตุเช่นนั้นอีกของวิเศษอาจจะเป็นอันตรายหายสูญไป พวกท้าวพระยานครจำปาศักดิ์เห็นชอบด้วยจึงมีใบบอกเข้ามาให้กราบบังคมทูลถวายพระพุทธรูปแก้วผลึกองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าหลวงออกไปรับแห่พระแก้วผลึก และมีการสมโภชตามหัวเมืองรายทางตลอดมาจนถึงพระมหานคร
เมื่อมีงานสมโภชที่กรุงเทพมหานครเสร็จแล้วได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้อัญเชิญพระพุทธปฏิมากรแก้วผลึกนี้ไปไว้ ณ โรงที่ประชุมช่าง ข้างพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ได้มีพระบรมราชโองการให้ช่างจัดเนื้อแก้วผลึกที่เหมือนกับเนื้อแก้วในพระองค์พระพุทธรูปมาเจียระไนเป็นรูปปลายพระกรรณที่ลิอยู่นั้น ครั้นต่อพระกรรณบริบูรณ์แล้วให้ขัดเกลาชักเงาชำระพระพุทธรูปแก้วผลึกให้เกลี้ยงเกลามีเงาขึ้นสนิทเสมอกัน แล้วจึงทรงพระราชดำริให้ช่างปั้นฐานมีหน้ากระดานชั้นสิงห์บัวหงาย และหน้ากระดานบนลวดทับหลังเกษตรแก้ว ต่อองค์พระปฏิมา เมื่อทรวดทรงสัณฐานงดงามพึงพอพระราชหฤทัยแล้ว ให้หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์แต่งให้เกลี้ยงเกลาสนิทแล้วหุ้มด้วยทองคำทำให้เกลี้ยงเกลาขึ้นเงางาม ด้วยชอบพระราชหฤทัยว่าเนื้อแก้วเกลี้ยงใสบริสุทธิ์ติดต่อกับเครื่องทองอันเกลี้ยงนั้นงามยิ่งนัก หากแต่ยอดพระรัศมีพระศกยังไม่ต้องอย่างแบบแผนพระพุทธรูปจึงมีรับสั่งให้ช่างแผ่ทองคำหุ้ม ส่วนพระเศียรที่มีพระศกแล้วดุนให้เม็ดพระศกเต็มตามที่ แล้วต่อกับพระรัศมีลงยาราชาวดี มีเพชรประดับใจกลางหน้าหลังและกลีบต้นพระรัศมี เมื่อเครื่องทองพระศกพระรัศมีสำเร็จแล้วถวายสวมลงพื้นทองและช่องดุนพระศกก็มาปรากฏข้างพระพักตร์เป็นรวงผึ้งไป พระพักตร์ก็เห็นพรรณเหลืองคล้ำไม่ผ่องใสเหมือนสีพระองค์ จึงได้มีรับสั่งให้ประชุมนายช่างที่มีสติปัญญาปรึกษาคิดแก้ไข จึงปรึกษาตกลงกันเอาเนื้อเงินไล่ขาวบริสุทธิ์แผ่หุ้มลงเสียชั้นหนึ่งก่อน ขัดเงินข้างในให้เกลี้ยงชักเงางามแล้วจึงสวมพระศกทองคำลงชั้นนอกแผ่นเงิน ก็เห็นพระพักตร์ใสสะอาดขาวนวลดีเสมอกับพระองค์
ครั้นแล้วจึงมีรับสั่งให้นำพระสุวรรณกรัณฑ์น้อยพอจะสอดลงในช่องบนพระจุฬาธาตุ เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ให้พอสมควรเป็นอุดมปูชนียวัตถุ และให้นำตัวทองน้อยเท่ากับช่องพระเนตรแล้วลงยาราชาวดีขาวดำตามที่พระเนตรขาวดำแล้วฝังให้แนบพระเนตรให้งามดีขึ้น เพราะแต่ก่อนนั้นพระเนตรเป็นแต่ขุมแล้วแต้มหมึกและฝุ่นเป็นขาวดำเท่านั้น ไม่มีผิวเป็นมั่นคงเหมือนผิวยาราชาวดี นอกจากนี้ยังมีรับสั่งให้ช่างทองทำฉัตรทองคำ ๕ ชั้น ชั้นต้นเท่าส่วนพระอังสาลงยาราชาวดีประดับพลอยมีใบโพแก้วห้อยเป็นเครื่องประดับ ปลายคันฉัตรปักลงกับฐานข้างเบื้องพระปฤษฏางค์ พระพุทธปฏิมา และให้ทำสันถัตห้อยหน้าฐานพระพุทธปฏิมาด้วยทองคำจำหลักลายลงยาราชาวดีประดับเพชรและพลอย ครั้นการสำเร็จแล้วจึงให้อัญเชิญไปประดิษฐานในหอพระสุลาลัยพิมาน ซึ่งประดิษฐานอยู่ข้างบุรพทิศพระที่นั่งไพศาลทักษิณเป็นที่ทรงสักการะบูชาวันละสองเวลาเข้าค่ำมิได้ขาด ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตกแต่งหอพระสุลาลัยพิมานด้วยเครื่องแก้วล้วนแต่ของอย่างดีที่มีเข้ามาจากต่างประเทศเป็นอันมาก
ในรัชกาล[[พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช]] ได้อัญเชิญพระพุทธบุษยรัตนฯ กลับไปประดิษฐาน ณ หอพระ [[พระที่นั่งอัมพรสถาน]]สืบมาจนทุกวันนี้▼
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่าพระพุทธรูปแก้วผลึก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงได้มาแต่เมืองนครจำปาศักดิ์ ทรงทำเครื่องประดับพระองค์แล้วเสร็จประดิษฐานไว้ในหอพระเจ้า แต่ยังหามีเพชรพลอยที่มีราคามากไม่ จะทรงทำฉลองพระเดชพระคุณใหม่ให้งดงามดียิ่งกว่าเก่า จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ช่างกระทำเครื่องประดับพระองค์และฐานใหม่ด้วยเพชรพลอยใหญ่ๆ มีราคาเป็นอันมาก มีฉัตรกลางและฉัตรซ้ายขวาด้วย
ครั้นถึงวันพุธ เดือน ๗ ขึ้น ๖ ค่ำ (วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๐๔) ได้ทำการฉลองสมโภชพระพุทธปฏิมาภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วถวายพระนามว่า พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย ฉลองพระเดชพระคุณ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แล้วทรงพระราชอุทิศถวายสิริราชสมบัติแด่พระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย ๓ วันกับทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ขอแรงเจ้าและขุนนางผู้ใหญ่ ตั้งโต๊ะที่หน้าพระอุโบสถด้วยเครื่องโต๊ะนั้น ก็เปลี่ยนทุกวันประกวดประขันกันยิ่งนัก
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพรรณนาถึงพุทธลักษณะและเนื้อแก้วของพระพุทธบุษรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย ไว้ตอนหนึ่งว่า "พระพุทธรูปนั้นเป็นแก้วผลึกขาวบริสุทธิ์อย่างเอกอุดม ทึบทั้งแท่งงามหนักหนาที่ช่างทองเรียกว่าบุษย์น้ำขาวบ้าง เพชรน้ำขาวบ้าง โดยฝีมือช่างทำก็งามดีกว่าพระพุทธรูปอื่นๆ บรรดามีในที่ต่างๆ ที่ช่างดีดีทำ แม้นใครจะพิเคราะห์โดยละเอียดจนถึงเอากางเวียนมากางจับกระเบียดเทียบเคียงดูก็ดี จะจับส่วนที่คลาดเคลื่อนไม่เที่ยงเท่ากัน หรือจะติว่าที่นั้นๆ ไม่งามไม่ดีจะว่าดังนี้โดยความจริงใจจะได้เป็นอันยาก เสียอยู่แต่ปลายพระกรรณข้างขวานั้นลิชำรุดอยู่หน่อยหนึ่ง ถึงกระนั้นก็มีผู้เอาเนื้อแก้วเช่นนั้น เจียระไนแล้วตัดติดสนิทดีหามีแผลต่อปรากฏไม่ น้ำแก้วใสบริสุทธิ์โปร่งแลดูตลอดหน้าไปหลังและหลังไปหน้า แต่ที่ต้นพระเพลาลงมาจนทับเกษตรนั้นมียวงดังฝ้่ายขาว แทรกอยู่บ้าง เป็นเหตุให้ผู้เห็นแน่ใจว่าแก้วนั้นเป็นแก้วศิลาแท้มิใช่แก้วหุงสามัญดังเครื่องกระจก ในส่วนทับเกษตรใต้พระองค์พระพุทธรูปนั้นมีรอยร้าวรานอยู่หน่อยหนึ่ง แต่ไม่เกินขึ้นถึงองค์พระพุทธรูปจนผู้ดูจะเห็นได้ เมื่อพระพุทธรูปนั้นประดิษฐานอยู่บนแท่นสถานมีทับเกษตรจมลงในพุทธอาสน์แล้ว รอยรานร้าวนั้นก็มิได้ปรากฏเห็นเลยทีเดียว
พระพุทธรูปแก้วองค์นี้งามยิ่งนักหนาหาที่จะเปรียบมิได้ ถึงแก้วผลึกที่มีในเมืองจีนและเกาะสิงหลลังกาที่เขาทำเป็นแว่นตาหรือรูปพระพุทธปฏิมาและส่ิงอื่นใช้อยู่นั้น เมื่อจะเอามาเทียบเข้าก็คล้ำไปคือเนื้อแก้วหยาบต่ำเลวไปสู้ไม่ได้เลย พระพุทธรัตนปฏิมากรแก้วผลึกพระองค์นี้มีประมาณสูงแต่ที่สุดทับเกษตรขึ้นไปจนสุดปลายพระจุฬาธาตุ ๑๒ นิ้ว หน้าตักวัดแต่ระวางพระชานุทั้งสอง ๙ นิ้วกับกระเบียดอัษฏางค์ นิ้วที่ว่านั้นคือนิ้วช่างไม้นับนิ้วหนึ่งคือ ๗ เมล็ดข้าวเปลือกเรียงกัน
พระพุทธรูปแก้วผลึกพระองค์นี้เป็นของดีอัศจรรย์นักหาที่จะมีอื่น ซึ่งจะบริสุทธิ์สะอาดงามดีเสมอมิได้เลยเป็นของวิเศษประเสริฐและเป็นรูปพระพุทธเจ้าแท้ไช่เทวรูปและตุ๊กตา เพราะมีทีท่าได้ส่วนกับพระพุทธลักษณะ และมีอาการทรงจีวรสบงผ้าพาดเป็นอย่างพระพุทธรูปแท้ทีเดียว ผู้ที่แต่งจดหมายกำหนด นี้ได้บูชาปฏิบัติและได้ตรวจตราดูพระพุทธรูปแก้ว พระองค์นี้อยู่เนืองๆ นานกว่า ๕๐ ปี สังเกตุเห็นเป็นแน่แท้ดังนี้แล"
โดยเหตุที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสื่อมใสในพระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัยเป็นอันมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สร้างพระพุทธรัตนสถานขึ้นตรงหน้าพระพุทธมณเฑียรทางด้านตะวันออก สำหรับเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย พระวิหารนี้เสาและฝาผนังพนักล้วนสร้างด้วยศิลา บานประตูหน้าต่างประดับมุกพื้นพระวิหารปูด้วยเสื่อเงินมีฐานชุกชีทำด้วยงาช้างชั้น ๑ รองบุษบกทองคำประดับพลอยที่ตั้งพระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย
ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงผนวชในปีระกา พุทธศักราช ๒๔๑๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผูกพัทธสีมาพระวิหารพระพุทธรัตนสถานเป็นพระอุโบสถที่ทรงทำสังฆกรรม เมื่อเสร็จการทรงผนวชแล้ววัดพระพุทธรัตนสถานได้เป็นที่ข้างในทำพิธีพุทธบูชาต่อมา
ในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๔ กล่าวความว่าในตอนปลายรัชกาล ในวันที่ ๒๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๑๑ เวลาย่ำรุ่งแล้วพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ถวายพระธำมรงค์เพชรใหญ่ราคา ๑๐๐ ชั่ง บูชาพระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัยองค์ ๑ ส่วน
ในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน กล่าวความว่า ทรงมีพระบรมราชโองการกับพระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าโสมาวดี (กรมหลวงสมรรัตนสิริเชษฐ์) ให้จัดธูปเทียนเครื่องนมัสการไปทูลลาพระแก้วมรกตกับพระบรมอัฐิ หีบพระธำมรงค์หีบหนึ่ง พระมหาสังวาลองค์หนึ่ง ให้ถวายพระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย และต่อมาอีกไม่กี่วันก็เสด็จสวรรคต (๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๑๑)
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้อัญเชิญพระพุทธบุษยรัตนจักรพรรดิพิมลมณีมัย ไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิตเมื่อเสด็จวรรคตแล้วได้อัญเชิญกลับมาประดิษฐานยังพระพุทธรัตนสถานอีกครั้งหนึ่ง
▲ในรัชกาล
== การขึ้นทะเบียน ==
|