ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ดำรง พุฒตาล"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขด้วยแอปสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
||
บรรทัด 1:
[[ไฟล์:Damrong Pudtan.jpg|thumb|นาย
บทสัมภาษณ์ จาก[http://www.thairath.co.th/content/512555 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ]
ฉบับวันที่ 19 ก.ค.58
ในยุคที่วงการโทรทัศน์เมืองไทยเต็มไปด้วยพิธีกรที่ขายแต่ความหล่อความสวยเก๋ไก๋ไปวันๆ จนแทบไม่เหลือพื้นที่ยืนสำหรับคนทีวีมืออาชีพรุ่นเก่า “
“ผมเป็นคนอยุธยาโดยกำเนิด ทั้งพ่อแม่ปู่ย่าตาทวดเป็นคนอยุธยา เป็นมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซีย เข้ามาตั้งรกรากในไทยตั้งแต่สมัยพระเอกา-ทศรถ เมื่อ 400 ปีก่อน ทวดผมมีที่นาอยู่ที่อำเภอวังน้อย 300 ไร่ และโอนตกทอดจากคุณพ่อมาถึงรุ่นลูกๆ ครอบครัวเราเป็นคนไทยมุสลิมที่บ้านล้อมรอบด้วยวัด จึงมีความเข้าใจคนพุทธดี พ่อแม่ผมมีลูก 8 คน พ่อผมมีอาชีพเรือโยง ผมเรียนหนังสือที่อยุธยาจบ ม.6 สมัยนั้นไม่รู้จะเรียนอะไร พอดีใกล้ๆบ้านมีโรงเรียนฝึกหัดครูอยุธยา บังเอิญสอบเข้าได้ ก็เรียนแบบกินนอน ทั้งๆที่อยู่ใกล้บ้าน ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้มาทำหนังสือและทีวี เพราะผมทำงานห้องสมุดที่โรงเรียน ตลอดเวลา 2 ปี เช้าตื่นมาเก็บกวาดห้องสมุด ซ่อมหนังสือ เที่ยงและเย็นอยู่ห้องสมุด โอกาสนี้ทำให้ได้อ่านหนังสือเยอะ ผมอ่านหนังสือของคุณชายคึกฤทธิ์ตั้งแต่เรียนปีสอง ตอนอ่านหนังสือท่องเที่ยวและสิ่งมหัศจรรย์โลก ผมไม่เคยนึกว่าคนอย่างเราจะได้เห็นโลกกว้าง เด็กบ้านนอกคนหนึ่งก็ฝันไป สิ่งเหล่านี้จุดประกายให้ทะเยอทะยาน และทำให้สนใจภาษาอังกฤษ สมัยนั้นฝรั่งชอบเที่ยวอยุธยา เราอาสาเป็นไกด์พูดอังกฤษถูกๆผิดๆไปตามประสา คือเป็นคนขยันและขวนขวายแต่เด็ก”...พิธีกรระดับตำนานบอกเล่าถึงความเป็นมาฉบับย่อๆ
บรรทัด 12:
เป็นความทะเยอทะยาน อยากรู้อยากเห็น และอยากถีบตัวเองให้ได้ดี ผมเก็บกดเป็นเด็กบ้านนอก พ่อแม่ก็เป็นชาวบ้านธรรมดา เราไต่เต้ามาได้ขนาดนี้รู้สึกมีสุขและภูมิใจ เรียนหนังสือก็ไม่ได้จบธรรมศาสตร์และจุฬาฯ ผมเชื่อว่าคนเราจะประสบความสำเร็จต้องมีความทะเยอทะยาน พ่อผมเรียนไม่สูง และใช้ชีวิตอย่างมัธยัสถ์พอเพียง แต่ท่านจะเน้นมากว่าลูกทุกคนต้องเรียนหนังสือให้ดีๆ ทำให้พวกเรามีอาชีพการงานดีๆกันหมด
เด็กบ้านนอกชื่อ “
หลังเรียนจบครูจากราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ผมก็มาทำงานที่การบินไทยได้ 3 ปี ระหว่างนั้นมีโอกาสไปสมัครเป็นพิธีกรกับ “พันเอก การุณ เก่งระดมยิง” ผู้ก่อตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงทหารสื่อสารและโทรทัศน์ไทย ปัจจุบันคือทีวีช่อง 5 ท่านเปิดสอนการทำรายการโทรทัศน์ และปั้นพิธีกรใหม่ขึ้นมาหลายคน ฝึกฝนจนมั่นใจก็ลาออกจากการบินไทย มาสมัครเป็นพนักงานของทีวีช่อง 7 สี รุ่นแรก เขาเรียกว่ารุ่นแกะกล่อง ผมได้แจ้งเกิด จากรายการแรกคือ ยี่สิบคำถาม ตามมาด้วยรายการป๊อปท็อป และนาทีทอง กระทั่งลาออกจากช่อง 7 สี มาทำรายการใหม่ๆของตัวเอง ก็ได้รับความนิยมดี มีทั้งรายการคู่สร้างคู่สม, อาทิตย์ยิ้ม พระจันทร์แย้ม, สุขสันต์วันเสาร์ และรายการแม่บ้านที่รัก ไม่ใช่เก่งหรอกนะ แต่ยุคนั้นมันไม่มีตัว นึกอะไรไม่ออกก็ดำรง พุฒตาล, ธรรมรัตน์ นาคสุริยะ และประภัทร์ ศรลัมพ์
ใครคือไอดอลต้นแบบการทำงานของ “คุณ
ผมชื่นชมหลายคนเลย อย่างเช่น “คุณ
โลดแล่นอยู่วงการนี้เกินครึ่งชีวิต อะไรทำให้ “
สิ่งที่ผมยึดมั่นมาตลอดคือ หนึ่งคนเราต้องขยัน สองต้องจริงใจต่อสังคม อยากเห็นผู้คนบ้านเมืองมีความเจริญ อยู่ดีมีสุข ในฐานะที่เราเป็นสื่อก็ควรช่วยพัฒนาสังคมด้วย ผมเป็นคนตั้งใจทำงาน และถือว่าตรงนี้เป็นอาชีพที่รักจึงไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง จะคอยเติมความรู้ให้สมองตลอด ผมว่าผมดังมาอย่างมีขั้นมีตอนไม่กระโดดเหมือนเด็กสมัยนี้ ขณะเดียวกัน ชีวิตผมก็ไม่มีช่วงตกต่ำ หรือหายไปจากจอ มันจะต่อเนื่องไปเรื่อยๆ มีงานเข้ามาเรื่อยๆ เป็นอย่างนี้จริงๆในวงการโทรทัศน์ ผมสังเกตตัวเองว่าพอเราเริ่มเงียบหายจากจอ ก็จะมีคนมาเรียกตัวไปทำงานตลอด อย่างเจเอสแอลก็มาขอให้ทำรายการเจาะใจ ทำให้ผมดังมาอีก 10 ปี ตอนนั้น “ดู๋-สัญญา คุณากร” มาแรงมาก แต่ช่วงหลังรายการมันตก เพราะรายการข่าวรูปแบบใหม่แย่งพื้นที่ไปหมด พอใครดังปั๊บก็เอาไปออกข่าวรุ่งเช้าเลย ขณะที่รายการเจาะใจต้องรอตั้ง 7 วัน กว่าจะได้สัมภาษณ์ มันก็สู้ไม่ไหว ตอนทำรายการเจาะใจเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ไม่ต้องคิดรายการเอง มีคนมาจ้างทำ เขาจัดเสื้อผ้าแต่งหน้าทาปากให้เรา เตรียมสคริปต์ให้หมด แค่เอาปากไปพูดอย่างเดียว พออัดเทปเสร็จรับเงินแล้วก็ไป ได้ค่าตัวตอนละ 65,000 บาท หลังจบจากรายการเจาะใจ ก็มีคนชวนทำโน่นนี่เรื่อยๆ ผมไม่เคยหลุดจากจอทีวี เพียงแต่ตอนนี้ไม่เปรี้ยงปร้างเท่าหนุ่มๆ พออายุมากขึ้น ก็จะเลือกทำงานเฉพาะที่อยากทำ เช่น รายการ “กอล์ฟมั้ยตุ๊ก” ของไทยรัฐทีวีมาชวนทำ โดยเอาประเด็นที่เราสนใจไปคุยวิเคราะห์กัน ผมเห็นว่าสนุกก็ทำ
ถ้ากลับมาทำรายการทีวีของตัวเองอีกครั้ง “คุณ
ตอนนี้ผมพยายามปฏิเสธการเป็นผู้สัมภาษณ์ เพราะทำแบบนี้มาตลอดชีวิต ถ้าทำเองก็อยากทำรายการเชิงวิเคราะห์เสนอแนะความคิดเห็น และอยากถูกสัมภาษณ์มากกว่าถามคนอื่น แต่เอาจริงๆนะถ้าให้ไปทำรายการร่วมกับคนอื่นเป็นครั้งคราวยินดีไป แต่ถ้าเป็นเจ้าของเวลาเอง ต้องจัดหาสปอนเซอร์ ไม่เอาแล้ว เพราะว่าทำรายการโทรทัศน์ทำให้กังวล ต้องคิดและแข่งตลอดเวลา ที่ผ่านมาผมอาจเคยโดดเด่น เพราะตอนนั้นยังไม่ค่อยมีคู่แข่ง มีแค่ฟรีทีวีไม่กี่ช่อง แต่ถ้ามาทำตอนนี้ เราเหนื่อยตาย อย่าลืมว่าผมต้องหาความสุขให้ชีวิตด้วย ไม่ใช่ทำงานไปจนตาย
|