ผลต่างระหว่างรุ่นของ "มัมมี่"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
OctraBot (คุย | ส่วนร่วม)
แทนที่ ‘(?mi)\{\{Link FA\|.+?\}\}\n?’ ด้วย ‘’: เลิกใช้ เปลี่ยนไปใช้วิกิสนเทศ
Yusni5127 (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 14:
=== วิธีทำมัมมี่อย่างละเอียด ===
[[ไฟล์:Mummy 501594 fh000031.jpg|thumb|มัมมี่ภายในพิพิธภัณฑ์]]
นับเป็นเวลาหลายร้อยปี กว่าชาวอียิปต์โบราณจะพัฒนาวิธีรักษาศพให้ใกล้เคียงสภาพเดิมให้นานที่สุดอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ด้วยวิธีที่เรียกว่า [[mummification]]วิธีการทำมัมมี่ ซึ่งประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ
 
# '''embalmingการทำไม่ให้เน่าเปื่อย''' เป็นวิธีรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อย
# '''wrappingการพันผ้ามัมมี่''' เป็นวิธีพันผ้าศพหลังผ่านขั้นตอนแรก
 
ทั้งสองขั้นตอนใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 70 วัน โดยสัปเหร่อต้องสวมหน้ากากหมาไน ซึ่งเป็นเศียรของเทพ [[Anubisอนูบิส]] อันเป็นเทพที่ทำหน้าที่สัปเหร่อนั่นเอง ต้องใส่สมุนไพรที่หน้ากากขณะทำงานเพื่อกลบกลิ่นศพ
 
ขั้นตอนแรกของ [[embalming]] การทำไม่ให้เน่าเปื่อยคือวางศพไว้บนเตียงหินมีขอบ ปลายเตียงที่มีรูให้ของเหลวที่เกิดจากการทำศพไหลลงภาชนะที่วางไว้บนพื้น จากนั้นจึงทำความสะอาดศพด้วย [[palm wineไวน์ปาล์ม]] และสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม แล้วล้างด้วยน้ำจากแม่น้ำ[[ไนล์]]อีกครั้ง ตามด้วยผ่าท้องบริเวณสีข้างหรือบั้นเอวด้านซ้ายด้วย [[sharp stone]] มีดี่ทำจากหินเหล็กไฟแล้วดึงอวัยวะภายในออก อวัยวะเหล่านี้เป็นแหล่งที่มีเชื้อ bacteria แบคทีเรียจำนวนมาก โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วย bacteria แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุให้ลำไส้ใหญ่เน่าก่อนแล้วลุกลามให้ส่วนอื่นของศพเน่าตามมา
 
อวัยวะที่นำเอาออกมาได้แก่ กระเพาะอาหาร ปอด ตับ ลำไส้ ส่วนหัวใจ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย ที่ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า เป็นศูนย์กลางของ[[จิตวิญญาณ]] ความเฉลียวฉลาดและความรู้สึกนึกคิด ให้คงไว้ในศพ อันที่จริงยังมีม้าม ไต รังไข่และมดลูกที่ไม่ได้นำออกมา
 
นับว่าชาวอียิปต์โบราณมีวิทยาการสูงทีเดียว อวัยวะที่นำออกมาล้วนเป็นอวัยวะที่อาจมีเชื้อ bacteria แบคทีเรียและเน่าก่อนอวัยวะอื่น ทำให้พลอยลุกลามเน่าไปทั้งตัว อาจทำให้ทำมัมมี่ไม่สำเร็จ
 
ส่วนเนื้อสมองนั้น แต่เดิมไม่ได้นำออก เมื่อศพแห้งสมองสูญเสียของเหลวจึงแห้งเหี่ยวเป็นก้อนกลิ้งอยู่ในกะโหลก เวลาเคลื่อนศพมีเสียงดัง ต่อมาจึงมีการนำเนื้อสมองออกมา โดยใช้เหล็กที่มีปลายเป็นตะขอสอดเข้าไปทางรูจมูก ผ่านฐานกะโหลกส่วน [[ethmoidกระดูกเอทมอยด์]] ซึ่งเป็นส่วนที่บางที่สุด เพื่อตีเนื้อสมองให้แตก แล้วคว่ำหน้าให้เนื้อสมองไหลออกมาทางจมูก เรียกวิธีนี้ว่า [[transethmoidal excerebration]] หลังจากนั้นจึงใส่น้ำมันดิน [[bitumenบิทูเมน]] ที่ต้มจนเดือดเข้าไปแข็งตัวในกะโหลก บ้างก็ใช้ [[resinเรซิน]]
 
อวัยวะต่างๆที่นำออกมาจากศพ จะถูกล้างให้สะอาดแล้วกลบด้วยสารที่เรียกว่า [[natronเนทรอน]] ซึ่งเป็น [[native sodium carbonateน้ำเกลือ]] และ [[sodium bicarbonateโซเดียมไบคาร์บอเนต]] ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดสารน้ำได้ดี เมื่ออวัยวะเหล่านี้แห้งแล้ว จึงห่อด้วยผ้าแล้วเก็บในโถ ([[canopic jar]])คานอปิก ที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็งหรือหินสลัก ฝาโถสลักเป็นเศียรของเทพ 4 องค์ที่เป็นบุตรของเทพ [[Horusฮอรัส]] (เทพสูงสุดที่ชาวอียิปต์โบราณนับถือ) คือ
 
* ตับบรรจุในโถ [[Imsetyอิมเซตี]] เทพที่มีเศียรเป็นคน
* ปอดบรรจุในโถ [[Hapyฮาปี]] เทพที่มีเศียรเป็น[[บาบูน]]
* กระเพาะอาหารบรรจุในโถ [[Duamutefดูอามูเทฟ]] เทพที่มีเศียรเป็น[[หมาไน]]
* ลำไส้บรรจุในโถ [[Qebehsenuefเคเบเซนูเฮฟ]] เทพที่มีเศียรเป็นเหยี่ยว
 
โถทั้ง 4 นี้ถูกเก็บไว้ในกล่องที่ถูกปกปักรักษาด้วยเทวี 4 องค์ คือ [[Isisไอซิส]], [[Nephthysเนปทิส]], [[Selketเซลเคต]], และ[[Neithนิธ]] โดยทำเป็นรูปสลักวางอยู่ที่มุมกล่องมุมละองค์ เป็นรูปเทวีทั้ง 4 กางปีกเพื่อปกป้องอวัยวะในโถ กล่องนี้ถูกเก็บไว้ในสุสานพร้อมศพ
 
ตัวศพก็เช่นเดียวกันคือ ใส่ natron เนทรอนเข้าไปในช่องท้อง แล้วจึงกลบด้วย natron เนทรอนอีกชั้น มีการเปลี่ยน natronเนทรอน ทุก 3 วัน และใช้ระยะเวลา 40-60 วัน ศพก็จะแห้งสนิท ส่วนของเหลวที่เกิดจากการทำศพจะไหลออกทางรูที่ปลายเตียงลงสู่ภาชนะที่รองอยู่ด้านล่าง และถูกเก็บไว้เพื่อฝังไปพร้อมศพ
 
เมื่อครบกำหนดจึงล้างศพด้วยน้ำจากแม่น้ำไนล์ จากนั้นทาผิวด้วยน้ำมันเพื่อให้มีความยืดหยุ่น แล้วตกแต่งศพด้วยลูกตาเทียม ถ้าผู้ตายมีเศรษฐานะดีอาจติดขนคิ้วด้วยเส้นผม ใส่ผมปลอม หรือแต่งเล็บด้วยทองคำประดับพลอย อาจอัดเมล็ดพริกไทยเข้าไปในจมูกเพื่อป้องกันจมูกบี้ บ้างก็อัดลินินในช่องปากเพื่อให้แก้มเต่ง
 
ประมาณปี [[1000 BCปีก่อนคริสตกาล]] จึงเริ่มมีการห่ออวัยวะภายในด้วย[[ลินิน]] บรรจุกลับเข้าไปในช่องท้อง แล้วอัดด้วยขี้เลื่อย ใบไม้แห้ง หรือลินิน เพื่อให้สภาพใกล้เคียงกับเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ส่วนโถทั้ง 4 แม้ไม่ได้ใช้บรรจุอวัยวะภายในแล้ว ยังคงถูกเก็บไว้ในสุสานดังเดิม
 
ขั้นตอนต่อไปเรียกว่า wrappingการพันผ้าศพ คือพันด้วยผ้าลินิน โดยเริ่มพันจากศีรษะ ปลายมือ ปลายเท้า คล้ายการพันเฝือกหลายชั้น ส่วนของนิ้ว แขนและขาให้พันแยกออกจากกัน ทุกชั้นทาด้วย resin เรซินเหลว ระหว่างพันผ้ามีการวางเครื่องรางหลายชนิด แล้วพันลินินทับ มีพิธีสวดมนต์ขณะพันผ้า และวางม้วนกระดาษ [[papyrusปาปิรัส]] ที่เรียกว่า [[book of death]] หรือ[[คัมภีร์มรณะ]] ไว้กลางลำตัว พันผ้าอีกหลายชั้น แล้วจึงห่อด้วยผืนผ้าลินินที่วาดภาพเทพ [[Osirisโอซิริส]] ซึ่งเป็นเทพแห่งยมโลก และเป็นบิดาของเทพ Horus ฮอรัสห่อซ้ำอีกชั้นด้วยผ้าผืนใหญ่ แล้วจึงผูกด้วยลินินเป็นปล้องๆ แบบเดียวกับมัดตราสัง
 
หลังจากนั้นต้องทำพิธีเปิดปาก เปิดตา ด้วยความเชื่อว่าเพื่อให้มัมมี่มองเห็น กินอาหารและดื่มน้ำได้นั่นเอง แล้วจึงบรรจุในโลงศพ ([[coffin]]) ที่มีลักษณะคล้ายรูปร่างคน 3 ชั้น แล้วจึงวางลงใน[[โลงศพหิน ([[sarcophagus]]) เขียนรูปผู้ตายไว้ที่ฝาโลงหินเพื่อให้วิญญาณที่เรียกว่า [[Kaคา]] กลับร่างเดิมได้ถูกต้องขณะฟื้นคืนชีพ
 
จะเห็นว่าการทำมัมมี่ใช้เวลาและค่าใช้จ่ายสูง ผู้มีเศรษฐานะดีเท่านั้นที่ทำได้ ส่วนผู้มีเศรษฐานะต่ำอาจใช้วิธีทำหุ่นเหมือนผู้ตายแทนการทำมัมมี่ก็ได้
ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่านอกจากร่างกายแล้วยังมีจิตวิญญาณ เรียกว่า [[unseen twinแฝดล่องหน]] ประกอบด้วย [[Kaคา]] หมายถึง [[spirit]]วิญญาณ และ [[Baบา]] หมายถึง [[soulจิตวิญญาณ]]
 
Ba หรือ soul บาคือดวงวิญญาณที่มีลักษณะเป็นนกตัวเล็กๆ มีหัวเหมือนผู้ตายบินวนเวียนรอบๆมัมมี่ ส่วน Ka หรือ spirit คาเป็นดวงจิตที่ตายไปพร้อมกับร่างกาย จึงต้องทำมัมมี่หรือสร้างรูปเหมือนไว้ให้ Ka อาศัยอยู่ มัมมี่นับเป็นรูปเหมือนที่ดีที่สุด ต้องจัดอาหารให้ด้วย เพราะเชื่อว่าไม่เช่นนั้น Ka คาก็จะตายไปพร้อมร่าง เมื่อกลับมาเกิดใหม่ Ka คาและ Ba บาก็จะมารวมกันกับร่างที่เตรียมไว้ เพื่อฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้ง
 
เรื่องของมัมมี่เป็นที่สนใจในวงการแพทย์มาช้านาน เหตุเพราะต้องศึกษาโดยให้มัมมี่คงสภาพเดิม จึงไม่สามารถผ่าออกมาศึกษาได้ ทำให้นักโบราณคดีและนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ในอดีตสามารถศึกษาร่างของมัมมี่ได้ในวงจำกัด โดยศึกษาทาง [[x-rayเอ็กซ์เรย์]] และส่องกล้อง ([[scope]])จุลทรรศน์
 
ครั้นเมื่อวิทยาการทางการแพทย์เจริญก้าวหน้าจนมีเครื่อง [[MRIเอ็มอาร์ไอ]] ในปัจจุบัน จึงสามารถศึกษามัมมี่ได้ละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น โดยเฉพาะส่วนของกะโหลก ทำให้ทราบวิธีทำมัมมี่ละเอียดขึ้น ตัวอย่างเช่น ทราบว่ามีทั้งที่เก็บสมองไว้ และเอาสมองออกด้วยวิธี [[transethmoidal excerebration]] คือซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้เห็นรูที่ฐานกะโหลกศีรษะบริเวณเหนือโพรงจมูกจากเครื่อง MRI เป็นต้น
 
นอกจากนี้ยังพบโรคต่างๆและสาเหตุการตายของชาวอียิปต์โบราณ เช่น [[เพดานโหว่]] ([[cleft palate]]) กะโหลกแตก (fracture skull) โพรงอากาศที่กะโหลกอักเสบ ([[mastoiditis]]) โรคเหงือกและฟัน
 
โรคที่พบบ่อยในอียิปต์โบราณ มีโรคตา [[พยาธิ]] [[วัณโรค]] (TB) [[เกาต์]] (gout) โรคไขข้อ ([[rheumatism]]) [[ฝีดาษ]] ([[smallpox]]) โรคทางนรีเวช ([[women’s disease]])
 
ส่วนยาที่ใช้ได้แก่ ขี้ผึ้ง ([[ointment]]) ยาน้ำ ([[potions]]) ยาเม็ดที่ทำจาก[[สมุนไพร]] ไขมัน เลือด อวัยวะสัตว์ น้ำผึ้ง เป็นต้น
 
จะเห็นได้ว่าอียิปต์ยุคโบราณ มีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการสูงทีเดียว มัมมี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีด้านศิลปะ สถาปัตยกรรม วิหารขนาดใหญ่ สมบัติล้ำค่ามากมายมหาศาลที่เก็บไว้ในสุสานเตรียมไว้ใช้ในโลกหน้าของตุตันคาเมนอันลือชื่อ เป็นสุสานนี้ซ่อนอยู่ในหุบผากษัตริย์ จึงหลุดรอดสายตาโจรขโมยหลงเหลือให้เห็นในปัจจุบัน
 
ส่วนสุสานที่ทำเป็นปิรามิดขนาดมหึมาเป็นสิ่งก่อสร้างที่พบเห็นได้โดยง่าย จึงถูกขโมยไม่เหลือสมบัติให้เห็นในปัจจุบัน
 
== อ้างอิง ==
เข้าถึงจาก "https://th.wikipedia.org/wiki/มัมมี่"