ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อำเภอประจันตคาม"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Depanom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Depanom (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 21:
== ประวัติเมืองประจันตคาม ==
 
พ.ศ. 2369 แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) แห่งราชวงศ์จักรี สมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ทรงพยายามกอบกู้เอกราชให้ชาวลาว โดยยกทัพมาตีเมืองนครราชสีมาจนย่อยยับ เมื่อชาวเมืองนครราชสีมารวบรวมกำลังต่อสู้กับกองทัพของสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์แล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ แต่งทัพให้เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) แต่เมื่อครั้งเป็นที่พระยาราชสุภาวดี เป็นแม่ทัพยกไปตีนครหลวงเวียงจันทน์ เมื่อกองทัพสยามเผานครหลวงเวียงจันทน์ได้แล้ว จึงจัดการบังคับอพยพลี้พลและชาวเมืองบางส่วนจากนครหลวงเวียงจันทน์ เมืองมหาชัยกองแก้ว หัวเมืองทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง เมืองสกลนคร และอีกหลายหัวเมืองในภาคอีสานซึ่งแต่เดิมขึ้นกับอาณาจักรล้านช้าง ให้เข้ามาอยู่ในอาณาเขตสยาม ฝ่ายเจ้านายลาว 4 ท่าน คือ ท้าวอุเทนบุตรท้าวสร้อย เพียเมืองแสน ท้าวฟองโอรสพระยาชัยสุนทรเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ และท้าวอินทร์โอรสเจ้าเมืองสกลนคร ซึ่งคุมกำลังพลเป็นนายกองของทัพหัวเมืองที่เจ้าเมืองส่งไปช่วยรบกับทัพสยาม ได้ถูกบังคับให้นำไพร่พลลาวที่ถูกอพยพมาตั้งกองรวมกันอยู่เป็นหมู่บ้านใหญ่ในพื้นที่อำเภอประจันตคามปัจจุบัน ต่อมาท้าวฟองยกไพร่พลแยกไปเลือกพื้นที่ตั้งเป็นเมืองอยู่ที่กบินทร์บุรี ท้าวอินทร์ยกไพร่พลไปตั้งเมืองอยู่ที่พนัสนิคม ฝ่ายท้าวอุเทนได้รวบรวมไพร่พลไปเลือกที่ตั้งเมืองบริเวณดงยางหรือบ้านเมืองเก่าปัจจุบันแล้วตั้งเป็นเมืองขึ้น
พ.ศ. 2376 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งท้าวอุเทนขึ้นเป็นที่ '''หลวงภักดีเดชะ''' เจ้าเมืองเมืองประจันตคามองค์แรก
หลวงภักดีเดชะ (ท้าวอุเทน) ว่าราชการเมืองได้ 2 ปีเศษ เกิดศึกญวนมาตีเมืองพนมเปญซึ่งเป็นเมืองขึ้นของไทยสยามสมัยนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดฯ ให้เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์) เป็นแม่ทัพยกไปช่วยเมืองพนมเปญและเกณฑ์ไพร่พลเมืองประจันตคาม เมืองพนัสนิคม และเมืองกบินทร์บุรี รวมเป็นกองทัพหน้าส่วนหนึ่งยกไปสู้รบข้าศึกญวน ทำการรบอยู่ประมาณ 3 ปีเศษ จึงขับไล่ข้าศึกญวนถอยไป เจ้าเมืองทั้ง 3 องค์ มีความดีความชอบในราชการทัพมาก เมื่อกลับมาก็ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นชั้นพระในราชทินนามเดิมทั้ง 3 องค์ ฝ่ายเจ้าเมืองประจันตคามได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นที่ '''พระภักดีเดชะ''' ต่อมาประมาณ 1 ปี ข้าศึกหวนกลับมาตีเมืองพนมเปญอีก เจ้าเมืองฝ่ายตะวันออกได้รับใบบอกและโปรดเกล้าฯ ให้เกณฑ์ไพร่พลไปช่วยรบ พระภักดีเดชะ (ท้าวอุเทน) นำกำลังพลชาวเมืองประจันตคามเข้ากองทัพร่วมกับเจ้าเมืองกบินทร์ ส่วนเจ้าเมืองพนัสนิคมอันเป็นหัวเมืองชายทะเล นัยว่าถูกเกณฑ์เข้าประจำกองทัพเรือในกรุงเทพมหานคร ในราชการทัพครั้งนี้พระภักดีเดชะ (ท้าวอุเทน) เสียทีแก่ข้าศึกสิ้นชีพิตักษัยในที่รบเยี่ยงวีรบุรุษ รวมเวลาปกครองเมืองประจันตคาม 6 ปี และเป็นต้นตระกูล '''เดชสุภา''' แห่งอำเภอประจันตคามในปัจจุบัน
ขณะนั้นเจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์) แม่ทัพ เห็นว่าบุตรพระภักดีเดชะ (ท้าวอุเทน) มีอายุยังเยาว์ไม่สามารถว่าราชการเมืองได้ จึงแต่งตั้งท้าวอินทร์บุตรพี่สาวพระภักดีเดชะ (ท้าวอุเทน) ซึ่งขณะนั้นเป็นที่หลวงศักดาสำแดงยกกระบัตรเมืองประจันตคาม ขึ้นรั้งตำแหน่งเจ้าเมือง ให้ท้าวคำน้องท้าวอินทร์ ซึ่งขณะนั้นเป็นที่ขุนอรัญไพรศรี รั้งตำแหน่งปลัดเมือง ควบคุมไพร่พลเมืองประจันตคามทำการรบต่อไป ราชการทัพครั้งที่ 2 รบนานประมาณ 6 ปี จึงมีชัยต่อข้าศึกญวน เมื่อเสร็จศึกหลวงศักดาสำแดง (ท้าวอินทร์) ผู้รั้งตำแหน่งเจ้าเมืองประจันตคามรับบำเหน็จความชอบในที่รบ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นที่พระภักดีเดชะเจ้าเมืองประจันตคามองค์ที่ 2 ฝ่ายขุนอรัญไพรศรี (ท้าวคำ) ผู้น้องเจ้าเมืององค์ใหม่ได้เป็นที่หลวงสุรฤทธาปลัดเมือง ส่วนท้าวโทบุตรเจ้าเมืององค์แรก มีอายุและความสามารถพอจะรับราชการได้จึงได้รับบำเหน็จตกทอดจากบิดาเป็นที่ขุนอรัญไพรศรี ต่อมาได้เลื่อนเป็นที่หลวงศักดาสำแดงยกกระบัตร พร้อมกับท้าวสุวรรณบุตรท้าวสุโทหลานพี่สาวท้าวอุเทนได้เป็นที่หลวงศรีวิเศษผู้ช่วยราชการขวา