ผลต่างระหว่างรุ่นของ "โรเบิร์ต บอยล์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
PJirapat (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
JBot (คุย | ส่วนร่วม)
ย้อนเนื้อหาอาจละเมิดลิขสิทธิ์ หรือไม่เป็นสารานุกรม ไม่ใช่? แจ้งที่นี่
บรรทัด 28:
|footnotes = }}
 
'''โรเบิร์ต บอยล์''' ({{lang-en|Robert Boyle}}; [[ภาคีสมาชิกราชสมาคมแห่งลอนดอน|FRS]]; 25 มกราคม ค.ศ. 1627 – 31 ธันวาคม ค.ศ. 1691) นักปรัชญาธรรมชาติ นักเคมี นักฟิสิกส์ และนักประดิษฐ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นผู้คิดค้น[[กฎของบอยล์]]<ref name=acottLaw>{{cite journal |author=Acott, Chris |title=The diving "Law-ers": A brief resume of their lives. |journal=South Pacific Underwater Medicine Society journal |volume=29 |issue=1 |year=1999 |issn=0813-1988 |oclc=16986801 |url=http://archive.rubicon-foundation.org/5990 |accessdate=2009-04-17 }}</ref> กฎของบอยล์กล่าวว่าซึงกล่าวว่า ในกรณีที่เมื่ออุณหภูมิและมวลของแก๊สไม่เปลี่ยนแปลงผลคูณระหว่างความดันของแก๊สคงที่ (P) กับปริมาตรของแก๊ส (V) มีค่าคงตัว (C) เขียนสมการได้ว่า PV=C และเป็นผู้เรียบเรียงหนังสือชื่อ 'The Sceptical Chymist' เมื่อปีพ.ศ. 2004 ซึ่งเป็นตำราที่วางรากฐานเป็นระบบจากที่แน่นอนและไม่มีการเรียนการสอนให้มหาวิทยาลัยแม้แต่อาชีพเคมีก็ไม่มีเพราะตามปกติเภสัชกรอังกฤษจะปรุงยาโดยการนำสารประกอบต่างๆมาผสมให้คนไข้กินแปรผกผันกับความดัน ในสมัยนั้นคนขายยา จึงถูกเรียกว่า 'chemist' (ปัจจุบัน chemist คือนักเคมีส่วนเภสัชกร เรียก 'pharmacist' ) แต่สำหรับบอยล์ เขามีความคิดว่าเคมีเป็นวิทยาการที่มีอะไรๆมากกว่าการปรุงยา ในช่วงเวลาที่บอยล์ยังมีชีวิตอยู่เขามีเพื่อนเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำหลายคนเช่น โรเบิร์ต ฮุก (Robert Hooke) คริสเตียนฮอยเกนส์ (Christiaan Huygens) เบเนดิกต์ เดอ สไปโนซา (Benedictde Spinoza) กอตต์ฟรีด วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ (Gottfriend Wilhelm Leibniz) และไอแซกนิวตันดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่น่าประหลาดใจที่ความสำเร็จของบอยล์จะถูกบดบังด้วยผลงานของนิวตันจนทำให้โลกแทบไม่ตระหนักในความสำคัญของบอยล์เลย
โรเบิร์ตบอยล์เกิดที่ปราสาทลิสมอร์(ปัจจุบันอยู่ในไอร์แลนด์) เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2170 เป็นบุตรคนที่ 7 ในครอบครัวที่มีฐานะดี บิดาชื่อ ริชาร์ด บอยล์ เป็นผลร่ำรวยที่สุดของอังกฤษในสมัยนั้นและมีฐานันดรศักดิ์สูงคือเป็น เอิร์ลแห่งคอร์ก(Earl of cork) บิดาเป็นคนที่เลี้ยงดูบุตรอย่างเข้มงวดมากในวัยเด็กบอยล์มีความจำดีมากสามารถสนทนาภาษาละตินและฝรั่งเศสได้คล่องแคล่วตั้งแต่อายุ8ขวบบิดาจึงส่งไปเรียน Eton college และบอยล์ก็เรียนหนังสือเก่ง.
เมื่ออายุ 11 ตัวขวบรอยถูกส่งไปเรียนต่อที่กรุงเจนีวาประเทศสวิตเซอร์แลนด์และใช้เวลาเรียนกับเดินทาง เพื่อเพิ่มประสบการณ์ชีวิตในยุโรปนานถึง6ปีจึงเดินทางกลับเพราะได้ข่าวบิดาเสียชีวิตและครอบครัวกำลังแตกแยก เนื่องจากพี่น้องบางคนสนับสนุนกษัตริย์และบางคนสนับสนุน โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ (Oliver Cromwell) เมื่อกลับถึงอังกฤษ บอยล์เดินทางไปพำนักที่คฤหาสน์สตอลบริดจ์ในดอร์เซต ครั้นเมื่อพี่ชายชื่อโรเจอร์และพี่สาวชื่อเลดี้แรนเนอลาจ์ (Lady Ranelagh)เห็นบอยล์มีความสามารถทางภาษาจึงสนับสนุนให้เค้าลองทำงานด้านวรรณกรรมกับกวีจอห์น มิลตัน (John Milton) แต่โดยไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือสนุกเลยจึงหันไปสนใจวิชาเกษตรศาสตร์และเบนความสนใจไปทางด้านแพทยศาสตร์จนกระทั่งวันหนึ่งบอยล์ได้ไปซื้อยาที่ร้านขายยาและเภสัชกรจ่ายยาผิดทำให้บอยล์ล้มป่วย การไม่สบายครั้งนั้นทำให้เขาหันมาสนใจธรรมชาติของสารอย่างจริงจัง
เมื่อบอยล์อายุ18ปี ที่Gresham College ในลอนดอนมีแพทย์นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ นักปรัชญา นักอุตสาหกรรม มาประชุมพบปะกัน อย่างสม่ำเสมอ เพื่อฟังการบรรยายความรู้วิทยาศาสตร์
ของกาลิเลโอ โคเปอร์นิคัส และเบคอน เรื่องต่างๆ ที่มีเนื้อหา ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ แพทย์ ฯลฯ และบอยล์ก็เดินทางมาประชุมด้วย ใน ปี พ.ศ.2193 สมาชิกหลายคนของสมาคมได้ย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากที่เมืองออกซ์ฟอร์ดนานถึง 14 ปี เพราะที่นั่นมีปราชญ์หลายคน เช่น จอห์น วอลลิส (John Wallis) คริสโตเฟอร์ เรน (Christopher Wren) และโรเบิร์ต ฮุก จนกระทั่งวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ.2203 สมาชิก12คนของสมาคม รวมทั้งบอยล์ ก็ร่วมกันจัดตั้งสมาคมวิชาการ ชื่อ Colledge for the Promoting of Physico-Mathematicall Experimentall Learning ซึ่งในเวลาต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Royal Society และได้รับการรับรองอย่างถูกกฎหมายในปี พ.ศ.2205 สมาคมนี้เป็นสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งแรกของโลกที่ยังดำรงสถานภาพอยู่ได้จนทุกวันนี้
ขณะอยู่ที่ออกซ์ฟอร์ด บอยล์ได้อ่านตำราวิทยาศาสตร์ของเบคอนและกาลิเลโอ และหนังสือ Principles of Philosophy ของเดส์การ์ตส์ ความคิดของปราชญ์เหล่านี้เข้ามามีอิทธิพลต่อวิธีคิดของบอยล์ในภายหลังมาก
เมื่อบอยล์อ่านผลการทดลองของ เอวันเจลิสตา ตอร์รีเชลลี (Evangelista Torricelli) เมื่อปี พ.ศ. 2187 เรื่องความดันปรอทในหลอดแก้วคว่ำ เขารู้สึกสนใจประเด็นที่ตอร์รีเชลลีอ้างว่าบริเวณเหนือปรอทมีสุญญากาศตามรูปแบบที่ ออตโต ฟอน เกริก (Otto von Guericke) เคยสร้างไว้ ความสามารถในการทำอุปกรณ์ของฮุกช่วยให้บอยล์พบว่า เสียงต้องการอากาศในการเคลื่อนที่ เพราะเขาได้ยินเสียง ลูกตุ้มแกว่งแผ่วลงๆ เวลาอากาศถูกสูบออกจากขวดแก้วที่บรรจุลูกตุ้มและเมื่ออากาศถูกสูบออกจาดขวดแก้วที่บรรจุเทียนไขที่กำลังลุกไหม้จนหมด เทียนไขจะดับส่วนนกและแมวที่อยู่ในภาชนะที่สูบอากาศออกจนหมดก็จะตาย บอยล์จึงสรุปได้ว่า อากาศคือองค์ประกอบสำคัญสำหรับการสันดาปและสำหรับการหายใจของสิ่งมีชีวิต ในปี พ.ศ.2204 บอยล์วัย 34 ปีทำการทดลองเรื่องหนึ่งซึ่งทำให้เขามีชื่อเสียงที่สุด คือ เขาใช้หลอดแก้วรูปตัว J ที่แขนด้านสั้นของหลอดมีปลายปิด ส่วนแขนด้านยาวของหลอดมีปลายเปิด เมื่อเขาเทปรอทลงไปทางปลายเปิด ลำปรอทจะอัดอากาศส่วนหนึ่งไว้ในปลายปิด เมื่อระดับปรอทในแขนทั้งสองข้างสูงเท่ากัน เขาก็รู้ว่าอากาศในหลอดปลายปิดมีความดันเท่ากับความดันบรรยากาศภายนอกและเมื่อเข้าเติมปรอทลงไปอีกทางปลายเปิด ความดันของปรอทก็เพิ่มขึ้นเขาสังเกตเห็นว่าเมื่อความดันเพิ่มสองเท่าปริมาตรแก๊สในหลอดไปปิดจะลดลงสองเท่าและถ้าความดันเปิดสีเทาปริมาตรแก๊สในปลายหลอดปิดจะลดลงสี่เท่า
 
 
แม้งานวิจัยส่วนใหญ่ของบอยล์จะมีรากฐานอยู่กับวิชาเล่นแร่แปรธาตุแบบดั้งเดิม แต่ปัจจุบันเขาได้รับยกย่องให้เป็นนักเคมียุคใหม่คนแรก เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเคมีแห่งยุคใหม่