ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อะตอม"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Supissarasp (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 32:
{{ความหมายอื่น}}
 
'''อะตอม''' ({{lang-el|άτομον}}; {{lang-en|Atom}}) คือหน่วยพื้นฐานของ[[สสาร]] ประกอบด้วยส่วนของ[[นิวเคลียสอะตอม|นิวเคลียส]]ที่หนาแน่นมากอยู่ตรงศูนย์กลาง ล้อมรอบด้วย[[เมฆอิเล็กตรอน|กลุ่มหมอก]]ของ[[อิเล็กตรอน]]ที่มี[[ประจุไฟฟ้า|ประจุลบ]] [[นิวเคลียสอะตอม|นิวเคลียสของอะตอม]]ประกอบด้วย[[โปรตอน]]ที่มีประจุบวกกับ[[นิวตรอน]]ซึ่งเป็นกลางทางไฟฟ้า (ยกเว้นในกรณีของ [[ไฮโดรเจน-1]] ซึ่งเป็น[[นิวไคลด์]]ชนิดเดียวที่เสถียรโดยไม่มีนิวตรอนเลย) อิเล็กตรอนของอะตอมถูกดึงดูดอยู่กับนิวเคลียสด้วย[[แรงแม่เหล็กไฟฟ้า]] ในทำนองเดียวกัน กลุ่มของอะตอมสามารถดึงดูดกันและกันก่อตัวเป็น[[โมเลกุล]]ได้ อะตอมที่มีจำนวนโปรตอนและอิเล็กตรอนเท่ากันจะมีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า มิฉะนั้นแล้วมันอาจมีประจุเป็นบวก (เพราะขาดอิเล็กตรอน) หรือลบ (เพราะมีอิเล็กตรอนเกิน) ซึ่งเรียกว่า [[ไอออน]] เราจัดประเภทของอะตอมด้วยจำนวนโปรตอนและนิวตรอนที่อยู่ในนิวเคลียส [[เลขอะตอม|จำนวนโปรตอน]]เป็นตัวบ่งบอกชนิดของ[[ธาตุเคมี]] และ[[เลขนิวตรอน|จำนวนนิวตรอน]]บ่งบอกชนิกบอกชนิด[[ไอโซโทป]]ของธาตุนั้น<ref>{{cite book
| editor=Leigh, G. J. | year=1990
| title=International Union of Pure and Applied Chemistry, Commission on the Nomenclature of Inorganic Chemistry, Nomenclature of Organic Chemistry - Recommendations 1990
บรรทัด 41:
}}</ref>
 
"อะตอม" มาจาก[[ภาษากรีก]]ว่า ἄτομος/átomos, α-τεμνω ซึ่งหมายความว่า ไม่สามารถแบ่งได้อีกต่อไป หลักการของอะตอมในฐานะส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของสสารที่ไม่สามารถแบ่งได้อีกต่อไปถูกเสนอขึ้นครั้งแรกโดยนักปรัชญาชาวอินเดียและนักปรัชญาชาวกรีก ซึ่งจะตรงกันข้ามกับปรัชญาอีกสายหนึ่งที่เชื่อว่าสสารสามารถแบ่งแยกได้ไปเรื่อย ๆเรื่อยๆ โดยไม่มีสิ้นสุด (คล้ายกับปัญหา discrete หรือ continuum) ในคริสต์ศตวรรษที่ 17-18 นักเคมีเริ่มวางแนวคิดทางกายภาพจากหลักการนี้โดยแสดงให้เห็นว่าวัตถุหนึ่ง ๆหนึ่งๆ ควรจะประกอบด้วยอนุภาคพื้นฐานที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้อีกต่อไป ระหว่างช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นักฟิสิกส์ค้นพบส่วนประกอบย่อยของอะตอมและโครงสร้างภายในของอะตอม ซึ่งเป็นการแสดงว่า "อะตอม" ที่ค้นพบแต่ตั้งแต่แรกยังสามารถแบ่งแยกได้อีก และไม่ใช่ "อะตอม" ในความหมายที่ตั้งมาแต่แรก [[กลศาสตร์ควอนตัม]]เป็นทฤษฎีที่สามารถนำมาใช้สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของอะตอมได้เป็นผลสำเร็จ<ref>
{{cite web
| last=Haubold |first=Hans |last2=Mathai |first2=A.M.
บรรทัด 50:
}}</ref><ref>Harrison (2003:123–139).</ref>
 
ตามความเข้าใจในปัจจุบัน อะตอมเป็นวัตถุขนาดเล็กมากที่มีมวลน้อยมาก เราสามารถสังเกตการณ์อะตอมเดี่ยว ๆเดี่ยวๆ ได้โดยอาศัยเครื่องมือพิเศษ เช่น [[กล้องจุลทรรศน์แบบส่องกราดในอุโมงค์]] มวลประมาณ 99.9% ของอะตอมกระจุกรวมกันอยู่ในนิวเคลียส<ref group=note>ไอโซโทปส่วนมากมีนิวคลีออนมากกว่าอิเล็กตรอน ในกรณีของ ไฮโดรเจน-1 ซึ่งมีอิเล็กตรอนและนิวคลีออนเดี่ยวอย่างละ 1 ตัว มีโปรตอนอยู่ <math>\begin{smallmatrix}\frac{1836}{1837} \approx 0.9995\end{smallmatrix}</math>, หรือ 99.95% ของมวลอะตอมทั้งหมด</ref> โดยมีโปรตอนและนิวตรอนเป็นมวลที่เหลือประมาณเท่า ๆ กัน ธาตุแต่ละตัวจะมีอย่างน้อยหนึ่งไอโซโทปที่มีนิวเคลียสซึ่งไม่เสถียรและเกิดการเสื่อมสลายโดยการแผ่รังสี ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิด[[การแปรนิวเคลียส]]ที่ทำให้จำนวนโปรตอนและนิวตรอนในนิวเคลียสเปลี่ยนแปลงไป<ref>
{{cite web
| date=15 June 2009
บรรทัด 59:
}}</ref> อิเล็กตรอนที่โคจรรอบอะตอมจะมี[[ระดับพลังงาน]]ที่เสถียรอยู่จำนวนหนึ่งในลักษณะของ[[วงโคจรอะตอม]] และสามารถเปลี่ยนแปลงระดับไปมาระหว่างกันได้โดยการดูดซับหรือปลดปล่อย[[โฟตอน]]ที่สอดคล้องกับระดับพลังงานที่ต่างกัน อิเล็กตรอนเหล่านี้เป็นตัวกำหนดคุณสมบัติทางเคมีของธาตุ และมีอิทธิพลอย่างมากต่อคุณสมบัติทางแม่เหล็กของอะตอม
 
แนวคิดที่ว่าสสารประกอบด้วยหน่วยย่อย ๆย่อยๆ ไม่ต่อเนื่องกันและไม่สามารถแบ่งออกเป็นชิ้นส่วนที่เล็กไปได้อีก เกิดขึ้นมานับเป็นพันปีแล้ว แนวคิดเหล่านี้มีรากฐานอยู่บนการให้เหตุผลทางปรัชญา นักปรัชญาได้เรียกการศึกษาด้านนี้ว่า ปรัชญาธรรมชาติ (Natural Philosophy) จนถึงยุคหลังจากเซอร์ ไอแซค นิวตัน จึงได้มีการบัญญัติศัพท์คำว่า 'วิทยาศาสตร์' (Science) เกิดขึ้น (นิวตันเรียกตัวเองว่าเป็น นักปรัชญาธรรมชาติ (natural philosopher) ) ทดลองและการสังเกตการณ์ ธรรมชาติของอะตอม ของนักปรัชญาธรรมชาติ (นักวิทยาศาสตร์) ทำให้เกิดการค้นพบใหม่ ๆ มากมาย
 
การอ้างอิงถึงแนวคิดอะตอมยุคแรก ๆ สืบย้อนไปได้ถึง[[ประวัติศาสตร์อินเดีย|ยุคอินเดียโบราณ]]ในศตวรรษที่ 6 [[ก่อนคริสตกาล]]<ref>Gangopadhyaya (1981).</ref> โดยปรากฏครั้งแรกใน[[ศาสนาเชน]]<ref>Iannone (2001:62).</ref> สำนักศึกษา[[ลัทธินยายะ|นยายะ]]และ[[ไวเศษิกะ]]ได้พัฒนาทฤษฎีให้ละเอียดลึกซึ้งขึ้นว่าอะตอมประกอบกันกลายเป็นวัตถุที่ซับซ้อนกว่าได้อย่างไร<ref>Teresi (2003:213–214).</ref> ทางด้านตะวันตก การอ้างอิงถึงอะตอมเริ่มขึ้นหนึ่งศตวรรษหลังจากนั้นโดย[[ลิวคิพพุส]] (Leucippus) ซึ่งต่อมาศิษย์ของเขาคือ [[ดีโมครีตุส]] ได้นำแนวคิดของเขามาจัดระเบียบให้ดียิ่งขึ้น ราว 450 ปีก่อนคริสตกาล ดีโมครีตุสกำหนดคำว่า ''átomos'' ({{lang-el|ἄτομος}}) ขึ้น ซึ่งมีความหมายว่า "ตัดแยกไม่ได้" หรือ "ชิ้นส่วนของสสารที่เล็กที่สุดไม่อาจแบ่งแยกได้อีก" เมื่อแรกที่ [[จอห์น ดาลตัน]] ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับอะตอม นักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นเข้าใจว่า 'อะตอม' ที่ค้นพบนั้นไม่สามารถแบ่งแยกได้อีกแล้ว ถึงแม้ต่อมาจะได้มีการค้นพบว่า 'อะตอม' ยังประกอบไปด้วย โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน แต่นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันก็ยังคงใช้คำเดิมที่ดีโมครีตุสบัญญัติเอาไว้<ref name=Ponomarev>{{cite book
บรรทัด 72:
 
== กำเนิดทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ==
[[ไฟล์:Daltons symbols.gif|right|thumb|อะตอมและโมเลกุลหลากหลายแบบที่ [[จอห์น ดอลตัน]] (John Dalton) ได้พรรณนาไว้ใน ''A New System of Chemical Philosophy'' (1808) หนึ่งในผลงานวิทยาศาสตร์ยุคแรกสุดเกี่ยวกับทฤษฎีอะตอม]]
 
ไม่มีความก้าวหน้าในการทำความเข้าใจกับอะตอมเพิ่มมากขึ้นนักจนกระทั่งศาสตร์ทางด้าน[[เคมี]]เริ่มพัฒนาขึ้น ในปี ค.ศ. 1661 นักปรัชญาธรรมชาติ [[โรเบิร์ต บอยล์]] เผยแพร่งานเขียนเรื่อง ''[[The Sceptical Chymist]]'' ซึ่งเขาเห็นว่าสสารประกอบขึ้นจากส่วนประกอบหลากหลายระหว่าง "corpuscules" หรืออะตอมที่แตกต่างกัน ซึ่งต่างไปจาก[[ธาตุหลักทั้ง 4|ธาตุพื้นฐาน]]ทั้งสี่คือ อากาศ ดิน ไฟ และน้ำ<ref>Siegfried (2002:42–55).</ref> ปี ค.ศ. 1789 ขุนนางชาวฝรั่งเศสและนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ [[อองตวน ลาวัวซิเยร์]] กำหนดคำว่า ''ธาตุ'' (''element'') เพื่อใช้ในความหมายถึงสสารพื้นฐานที่ไม่สามารถแบ่งแยกด้วยกระบวนการทางเคมีต่อไปได้อีก<ref>
บรรทัด 114:
}}</ref>
 
ปี ค.ศ. 1869 [[ดมีตรี เมนเดเลเยฟ]] อาศัยการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ยุคก่อนหน้าเช่นลาวัวซิเยร์ คิดค้นและเผยแพร่[[ตารางธาตุ]]ขึ้นเป็นครั้งแรก<ref>[http://www.iupac.org/didac/Didac%20Eng/Didac01/Content/S01.htm IUPAC article on periodic table]</ref> ตารางนี้ใช้เป็นตัวแทนถึงกฎการวนซ้ำ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติทางเคมีเฉพาะตัวของ[[ธาตุเคมี|ธาตุ]] ซึ่งจะ ''วนซ้ำเป็นรอบ ๆรอบๆ'' ตาม[[หมายเลขอะตอม]]
 
=== ส่วนประกอบย่อยและทฤษฎีควอนตัม ===
เข้าถึงจาก "https://th.wikipedia.org/wiki/อะตอม"