ผลต่างระหว่างรุ่นของ "รัฐ"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Earthpanot (คุย | ส่วนร่วม)
ย้อนการก่อกวน 1 ครั้งของ 110.78.174.32 (พูดคุย) ไปยังรุ่นโดย OctraBot.ด้วย[[WP:iScript...
บรรทัด 16:
คำว่า "ประเทศ" "ชาติ" และ "รัฐ" มักจะถูกใช้ในความหมายที่สามารถทดแทนกันได้ แต่การเลือกใช้คำจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
 
* '''ชาติ''': กลุ่มคนซึ่งเชื่อว่าตนมีวัฒนธรรม จุดกำเนิด และประวัติศาสตร์อย่างเดียวกันgggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggg
* '''รัฐ''': องค์ประกอบของสถาบันการปกครอง ซึ่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและประชากรที่แน่นอน
 
รัฐ (State) เป็นคำที่ใช้สำหรับเรียกหน่วยของสถาบันการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำหน้าที่ในการควบคุมสังคมและประชาชนผ่านการวางกฎระเบียบต่างๆ และคอยจัดสรรทรัพยากรภายใต้พื้นที่จำกัด (Kurian, 2011: 1594-1597) โดยรัฐจะมีหน้าที่หลักอยู่ 4 ประการ ดังนี้ หน้าที่ในการปกครองและควบคุมสังคม หน้าที่ในการเป็นหน่วยเดียวของสังคมที่สามารถใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรม หน้าที่ในการจัดการทรัพยากรภายในรัฐ ทั้งในด้านการเก็บภาษีและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ หน้าที่ในด้านของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่มา ในทางรัฐศาสตร์ นิยามของรัฐที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ นิยามของ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) (อ้างใน Haralambos and Holborn, 2004: 541) ที่กล่าวว่า รัฐ คือ องค์กรทางการเมืองที่มีอำนาจบังคับและมีความต่อเนื่องในการผูกขาดการใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรมด้วยการบังคับใช้ระเบียบและกฎหมาย จากนิยามดังกล่าวจะเห็นว่ารัฐเป็นหน่วยทางการปกครองที่มีเป้าหมายในการรักษาระเบียบ (social order) ทั้งในทางสังคมและการเมือง นักวิชาการที่ได้รับอิทธิพลจากนิยามดังกล่าว จนสามารถสร้างผลงานทางรัฐศาสตร์ที่โด่งดัง คือ เธดา สค๊อกโพล (Theda Skocpol) (1979: 29-32) หนังสือชื่อ States and Social Revolutions ที่กล่าวว่า “รัฐ” มีหน่วยงานในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ภายในเขตแดนอย่างชอบธรรม (legitimacy) เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง คือการรักษาระเบียบ (maintains order) และทำการแข่งขันกับรัฐอื่นในด้านศักยภาพของรัฐ เช่น การทหาร เป็นต้น โดยอุดมคติแล้ว รัฐจึงมีหน้าที่ดูแลความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคน และภาคส่วนต่างๆ โดยกำกับให้การดำเนินกิจกรรมใดๆ ในรัฐ เกิดประโยชน์โดยรวมต่อสาธารณะอย่างสมดุล ในเชิงปฏิบัติ “รัฐ” เป็นคำศัพท์ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายและมีความหมายที่หลากหลายในตัวของมันเอง โดยสามารถจำแนกการใช้คำว่ารัฐออกเป็น 3 ความหมาย กล่าวคือความหมายแรก “รัฐ” คือ พื้นที่ทางการเมืองในการต่อสู้ต่อรองของนักการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ในการเข้าไปมีอิทธิพลต่อการจัดสรรทรัพยากรสาธารณะ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์แก่กลุ่มของตนมากที่สุด ความหมายที่สอง “รัฐ” คือ รัฐบาล ที่ทำหน้าที่ในการบริหารประเทศและมุ่งหวังสร้างคะแนนเสียงเพื่อให้ได้รับคัดเลือกกลับเข้ามาบริหารประเทศอีกครั้ง รัฐในความหมายนี้จึงไม่รวมถึงฝ่ายค้านในรัฐสภาและข้าราชการอื่นๆ และความหมายที่สาม “รัฐ” คือ องค์การทางการเมือง หมายรวมถึงหน่วยงานทั้งหมดที่เป็นของภาคสาธารณะ ทั้งรัฐบาล ข้าราชการ ศาล และทหาร ซึ่งอาจถูกแทนด้วยคำว่าเจ้าหน้าที่รัฐ (the authorities) ได้ ตัวอย่างการนำไปใช้ในประเทศไทย สำหรับความหมายในสังคมไทย ในงานของชัยอนันต์ สมุทวณิช (2534: 25) ได้พยายามจำแนกการพิจารณาความหมายของรัฐออกเป็น 4 แนวทาง คือ 1) รัฐในฐานะที่เป็นรัฐบาล (the state as government) ซึ่งหมายถึงกลุ่มบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจในการตัดสินใจในสังคมการเมือง 2) รัฐในฐานะที่เป็นระบบราชการ (the state as public bureaucracy) คือเครื่องมือทางการบริหารที่เป็นปึกแผ่นและมีระเบียบทางกฎหมายรองรับ 3) รัฐในฐานะที่เป็นชนชั้นปกครอง (the state as ruling class) และ 4) รัฐในฐานะที่เป็นโครงสร้างทางอุดมการณ์ (the state as normative order) ฉะนั้น ในการนิยามความหมายของรัฐ อาจเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับบริบทของการใช้คำ ว่าจะให้คำว่า “รัฐ” หมายแทนสิ่งใด อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ คำว่า “รัฐ” กลับพบปัญหาในการนำมาใช้อย่างมาก เพราะตามแบบเรียนของการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยไม่ได้บอกว่ารัฐคืออะไร แต่กลับกล่าวเพียงแค่รัฐประกอบไปด้วย 4 หน่วยหลัก คือ ประชาชน เขตแดน อำนาจอธิปไตย และรัฐบาล ซึ่งต้องครบองค์ประกอบดังกล่าวเท่านั้นจึงถูกเรียกว่ารัฐ การนิยามรัฐเช่นนี้จึงมีลักษณะเป็นการท่องจำ และไม่ได้เชื่อมโยงกับความหมายในเชิงวิชาการทั้งในระดับภายในประเทศและระดับสากล สำหรับการใช้คำว่า “รัฐ” ในสังคมไทย มักถูกผูกโยงเข้ากับเรื่องของ “อำนาจ” และ “เจ้าหน้าที่” เสมอ กล่าวได้ว่ารัฐเป็นหน่วยการปกครองหนึ่งที่มีเจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้อำนาจรัฐกับประชาชน และมีความหมายเชิงลบอยู่ในตัวเอง เพราะการใช้คำว่า “อำนาจรัฐ” มีนัยไปถึงการที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจปกครองกับประชาชนอย่างไม่ชอบธรรม หรือใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงประชาชนที่สามารถอยู่ด้วยกันภายในสังคมหรือชุมชนของตัวเอง “รัฐ” ในสังคมไทยจึงเป็นคำที่มีระยะห่างกับ “ประชาชน” และ “สังคม” มากพอสมควร และรัฐมักจะมีภาพลักษณ์ในด้านลบ เช่น เมื่อกล่าวถึงรัฐ คนมักจะนึกถึง การแย่งชิงอำนาจ การทุจริตคอร์รัปชั่น และความเชื่องช้าของระบบราชการในภาครัฐ ข้อสังเกตที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม จะเห็นว่า แนวคิดเกี่ยวกับ “รัฐ” มีความหมายกว้างขวางมากที่สุดแนวคิดหนึ่ง และสามารถถูกใช้ได้ในหลายบริบทและหลายความหมาย จึงเป็นไปได้ยากในการนิยามคำว่ารัฐให้กระชับหรือถูกต้องเพียงความหมายเดียว แนวคิดว่าด้วยรัฐจึงอาจแยกพิจารณาโดยสังเขปได้ว่า รัฐในความหมายของพื้นที่ รัฐในความหมายของรัฐบาล และรัฐในความหมายของระบบราชการ ประเด็นที่สังคมไทยต้องพยายามทำความเข้าใจคือ รัฐอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่าที่หลายคนตระหนัก ฉะนั้น บทบาทของรัฐจึงกระทบต่อชีวิตประจำวันและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หน้าที่ของรัฐที่สำคัญ นอกจากจะรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมแล้ว รัฐต้องสร้างหลักประกันว่าจะพัฒนาประเทศเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม และรัฐมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการประกันอิสรภาพและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล กล่าวได้ว่า ในสังคมประชาธิปไตย บทบาทของรัฐที่พึงปรารถนาคือ รัฐที่ช่วยพัฒนาอิสรภาพและเสรีภาพของประชาชนที่ด้อยโอกาสให้สามารถกระทำตามเจตนารมณ์ของเขาได้ รัฐที่กระจายทรัพยากรและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจให้แก่คนทุกกลุ่ม เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และกระจายความเท่าเทียมกันของคนในสังคม ในประเด็นหลัง บทบาทของรัฐในหลายประเทศจึงผูกโยงอยู่กับการจัดสรรสวัสดิการสังคม (โปรดดู Social Welfare) ดูเพิ่มใน ‘Social Order’ & ‘Vertical / Horizontal Order’ และ ‘Social Welfare’
<ref>เอกสารอ้างอิง ชัยอนันต์ สมุทวณิช. 2535. รัฐ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. Haralambos, Michael, Martin Holborn, and Robin Heald. 2004. Sociology: Themes and Perspectives. London: Hammersmith. Kurian, George Thomas et al., 2011. The Encyclopedia of Political Science. Washington, D.C.: CQ Press. Skocpol, Theda. 1979. States and Social Revolutions: A Comparative Analysis of France, Russia, and China. Cambridge: Cambridge University Press.</ref>
== คำจำกัดความ ==
{{ตรวจลิขสิทธิ์}}
ถึงแม้ว่าคำว่า ''รัฐ'' มักจะรวมถึงสถาบันรัฐบาลหรือการปกครอง ทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ ระบบรัฐสมัยใหม่มีลักษณะหลายประการ และคำดังกล่าวมักถูกใช้ในความหมายถึงระบบการเมืองสมัยใหม่เท่านั้น
 
คำว่า "ประเทศ" "ชาติ" และ "รัฐ" มักจะถูกใช้ในความหมายที่สามารถทดแทนกันได้ แต่การเลือกใช้คำจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
 
* '''ชาติ''': กลุ่มคนซึ่งเชื่อว่าตนมีวัฒนธรรม จุดกำเนิด และประวัติศาสตร์อย่างเดียวกันgggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggg
* '''รัฐ''': องค์ประกอบของสถาบันการปกครอง ซึ่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและประชากรที่แน่นอน
 
รัฐ (State) เป็นคำที่ใช้สำหรับเรียกหน่วยของสถาบันการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำหน้าที่ในการควบคุมสังคมและประชาชนผ่านการวางกฎระเบียบต่างๆ และคอยจัดสรรทรัพยากรภายใต้พื้นที่จำกัด (Kurian, 2011: 1594-1597) โดยรัฐจะมีหน้าที่หลักอยู่ 4 ประการ ดังนี้ หน้าที่ในการปกครองและควบคุมสังคม หน้าที่ในการเป็นหน่วยเดียวของสังคมที่สามารถใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรม หน้าที่ในการจัดการทรัพยากรภายในรัฐ ทั้งในด้านการเก็บภาษีและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ หน้าที่ในด้านของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่มา ในทางรัฐศาสตร์ นิยามของรัฐที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ นิยามของ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) (อ้างใน Haralambos and Holborn, 2004: 541) ที่กล่าวว่า รัฐ คือ องค์กรทางการเมืองที่มีอำนาจบังคับและมีความต่อเนื่องในการผูกขาดการใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรมด้วยการบังคับใช้ระเบียบและกฎหมาย จากนิยามดังกล่าวจะเห็นว่ารัฐเป็นหน่วยทางการปกครองที่มีเป้าหมายในการรักษาระเบียบ (social order) ทั้งในทางสังคมและการเมือง นักวิชาการที่ได้รับอิทธิพลจากนิยามดังกล่าว จนสามารถสร้างผลงานทางรัฐศาสตร์ที่โด่งดัง คือ เธดา สค๊อกโพล (Theda Skocpol) (1979: 29-32) หนังสือชื่อ States and Social Revolutions ที่กล่าวว่า “รัฐ” มีหน่วยงานในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ภายในเขตแดนอย่างชอบธรรม (legitimacy) เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง คือการรักษาระเบียบ (maintains order) และทำการแข่งขันกับรัฐอื่นในด้านศักยภาพของรัฐ เช่น การทหาร เป็นต้น โดยอุดมคติแล้ว รัฐจึงมีหน้าที่ดูแลความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคน และภาคส่วนต่างๆ โดยกำกับให้การดำเนินกิจกรรมใดๆ ในรัฐ เกิดประโยชน์โดยรวมต่อสาธารณะอย่างสมดุล ในเชิงปฏิบัติ “รัฐ” เป็นคำศัพท์ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายและมีความหมายที่หลากหลายในตัวของมันเอง โดยสามารถจำแนกการใช้คำว่ารัฐออกเป็น 3 ความหมาย กล่าวคือความหมายแรก “รัฐ” คือ พื้นที่ทางการเมืองในการต่อสู้ต่อรองของนักการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ในการเข้าไปมีอิทธิพลต่อการจัดสรรทรัพยากรสาธารณะ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์แก่กลุ่มของตนมากที่สุด ความหมายที่สอง “รัฐ” คือ รัฐบาล ที่ทำหน้าที่ในการบริหารประเทศและมุ่งหวังสร้างคะแนนเสียงเพื่อให้ได้รับคัดเลือกกลับเข้ามาบริหารประเทศอีกครั้ง รัฐในความหมายนี้จึงไม่รวมถึงฝ่ายค้านในรัฐสภาและข้าราชการอื่นๆ และความหมายที่สาม “รัฐ” คือ องค์การทางการเมือง หมายรวมถึงหน่วยงานทั้งหมดที่เป็นของภาคสาธารณะ ทั้งรัฐบาล ข้าราชการ ศาล และทหาร ซึ่งอาจถูกแทนด้วยคำว่าเจ้าหน้าที่รัฐ (the authorities) ได้ ตัวอย่างการนำไปใช้ในประเทศไทย สำหรับความหมายในสังคมไทย ในงานของชัยอนันต์ สมุทวณิช (2534: 25) ได้พยายามจำแนกการพิจารณาความหมายของรัฐออกเป็น 4 แนวทาง คือ 1) รัฐในฐานะที่เป็นรัฐบาล (the state as government) ซึ่งหมายถึงกลุ่มบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจในการตัดสินใจในสังคมการเมือง 2) รัฐในฐานะที่เป็นระบบราชการ (the state as public bureaucracy) คือเครื่องมือทางการบริหารที่เป็นปึกแผ่นและมีระเบียบทางกฎหมายรองรับ 3) รัฐในฐานะที่เป็นชนชั้นปกครอง (the state as ruling class) และ 4) รัฐในฐานะที่เป็นโครงสร้างทางอุดมการณ์ (the state as normative order) ฉะนั้น ในการนิยามความหมายของรัฐ อาจเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับบริบทของการใช้คำ ว่าจะให้คำว่า “รัฐ” หมายแทนสิ่งใด อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ คำว่า “รัฐ” กลับพบปัญหาในการนำมาใช้อย่างมาก เพราะตามแบบเรียนของการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยไม่ได้บอกว่ารัฐคืออะไร แต่กลับกล่าวเพียงแค่รัฐประกอบไปด้วย 4 หน่วยหลัก คือ ประชาชน เขตแดน อำนาจอธิปไตย และรัฐบาล ซึ่งต้องครบองค์ประกอบดังกล่าวเท่านั้นจึงถูกเรียกว่ารัฐ การนิยามรัฐเช่นนี้จึงมีลักษณะเป็นการท่องจำ และไม่ได้เชื่อมโยงกับความหมายในเชิงวิชาการทั้งในระดับภายในประเทศและระดับสากล สำหรับการใช้คำว่า “รัฐ” ในสังคมไทย มักถูกผูกโยงเข้ากับเรื่องของ “อำนาจ” และ “เจ้าหน้าที่” เสมอ กล่าวได้ว่ารัฐเป็นหน่วยการปกครองหนึ่งที่มีเจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้อำนาจรัฐกับประชาชน และมีความหมายเชิงลบอยู่ในตัวเอง เพราะการใช้คำว่า “อำนาจรัฐ” มีนัยไปถึงการที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจปกครองกับประชาชนอย่างไม่ชอบธรรม หรือใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงประชาชนที่สามารถอยู่ด้วยกันภายในสังคมหรือชุมชนของตัวเอง “รัฐ” ในสังคมไทยจึงเป็นคำที่มีระยะห่างกับ “ประชาชน” และ “สังคม” มากพอสมควร และรัฐมักจะมีภาพลักษณ์ในด้านลบ เช่น เมื่อกล่าวถึงรัฐ คนมักจะนึกถึง การแย่งชิงอำนาจ การทุจริตคอร์รัปชั่น และความเชื่องช้าของระบบราชการในภาครัฐ ข้อสังเกตที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม จะเห็นว่า แนวคิดเกี่ยวกับ “รัฐ” มีความหมายกว้างขวางมากที่สุดแนวคิดหนึ่ง และสามารถถูกใช้ได้ในหลายบริบทและหลายความหมาย จึงเป็นไปได้ยากในการนิยามคำว่ารัฐให้กระชับหรือถูกต้องเพียงความหมายเดียว แนวคิดว่าด้วยรัฐจึงอาจแยกพิจารณาโดยสังเขปได้ว่า รัฐในความหมายของพื้นที่ รัฐในความหมายของรัฐบาล และรัฐในความหมายของระบบราชการ ประเด็นที่สังคมไทยต้องพยายามทำความเข้าใจคือ รัฐอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่าที่หลายคนตระหนัก ฉะนั้น บทบาทของรัฐจึงกระทบต่อชีวิตประจำวันและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หน้าที่ของรัฐที่สำคัญ นอกจากจะรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมแล้ว รัฐต้องสร้างหลักประกันว่าจะพัฒนาประเทศเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม และรัฐมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการประกันอิสรภาพและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล กล่าวได้ว่า ในสังคมประชาธิปไตย บทบาทของรัฐที่พึงปรารถนาคือ รัฐที่ช่วยพัฒนาอิสรภาพและเสรีภาพของประชาชนที่ด้อยโอกาสให้สามารถกระทำตามเจตนารมณ์ของเขาได้ รัฐที่กระจายทรัพยากรและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจให้แก่คนทุกกลุ่ม เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และกระจายความเท่าเทียมกันของคนในสังคม ในประเด็นหลัง บทบาทของรัฐในหลายประเทศจึงผูกโยงอยู่กับการจัดสรรสวัสดิการสังคม (โปรดดู Social Welfare) ดูเพิ่มใน ‘Social Order’ & ‘Vertical / Horizontal Order’ และ ‘Social Welfare’
<ref>เอกสารอ้างอิง ชัยอนันต์ สมุทวณิช. 2535. รัฐ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. Haralambos, Michael, Martin Holborn, and Robin Heald. 2004. Sociology: Themes and Perspectives. London: Hammersmith. Kurian, George Thomas et al., 2011. The Encyclopedia of Political Science. Washington, D.C.: CQ Press. Skocpol, Theda. 1979. States and Social Revolutions: A Comparative Analysis of France, Russia, and China. Cambridge: Cambridge University Press.</ref>
== คำจำกัดความ ==
{{ตรวจลิขสิทธิ์}}
ถึงแม้ว่าคำว่า ''รัฐ'' มักจะรวมถึงสถาบันรัฐบาลหรือการปกครอง ทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ ระบบรัฐสมัยใหม่มีลักษณะหลายประการ และคำดังกล่าวมักถูกใช้ในความหมายถึงระบบการเมืองสมัยใหม่เท่านั้น
 
คำว่า "ประเทศ" "ชาติ" และ "รัฐ" มักจะถูกใช้ในความหมายที่สามารถทดแทนกันได้ แต่การเลือกใช้คำจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
 
* '''ชาติ''': กลุ่มคนซึ่งเชื่อว่าตนมีวัฒนธรรม จุดกำเนิด และประวัติศาสตร์อย่างเดียวกันgggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggg
* '''รัฐ''': องค์ประกอบของสถาบันการปกครอง ซึ่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและประชากรที่แน่นอน
 
รัฐ (State) เป็นคำที่ใช้สำหรับเรียกหน่วยของสถาบันการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำหน้าที่ในการควบคุมสังคมและประชาชนผ่านการวางกฎระเบียบต่างๆ และคอยจัดสรรทรัพยากรภายใต้พื้นที่จำกัด (Kurian, 2011: 1594-1597) โดยรัฐจะมีหน้าที่หลักอยู่ 4 ประการ ดังนี้ หน้าที่ในการปกครองและควบคุมสังคม หน้าที่ในการเป็นหน่วยเดียวของสังคมที่สามารถใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรม หน้าที่ในการจัดการทรัพยากรภายในรัฐ ทั้งในด้านการเก็บภาษีและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ หน้าที่ในด้านของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่มา ในทางรัฐศาสตร์ นิยามของรัฐที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ นิยามของ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) (อ้างใน Haralambos and Holborn, 2004: 541) ที่กล่าวว่า รัฐ คือ องค์กรทางการเมืองที่มีอำนาจบังคับและมีความต่อเนื่องในการผูกขาดการใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรมด้วยการบังคับใช้ระเบียบและกฎหมาย จากนิยามดังกล่าวจะเห็นว่ารัฐเป็นหน่วยทางการปกครองที่มีเป้าหมายในการรักษาระเบียบ (social order) ทั้งในทางสังคมและการเมือง นักวิชาการที่ได้รับอิทธิพลจากนิยามดังกล่าว จนสามารถสร้างผลงานทางรัฐศาสตร์ที่โด่งดัง คือ เธดา สค๊อกโพล (Theda Skocpol) (1979: 29-32) หนังสือชื่อ States and Social Revolutions ที่กล่าวว่า “รัฐ” มีหน่วยงานในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ภายในเขตแดนอย่างชอบธรรม (legitimacy) เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง คือการรักษาระเบียบ (maintains order) และทำการแข่งขันกับรัฐอื่นในด้านศักยภาพของรัฐ เช่น การทหาร เป็นต้น โดยอุดมคติแล้ว รัฐจึงมีหน้าที่ดูแลความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคน และภาคส่วนต่างๆ โดยกำกับให้การดำเนินกิจกรรมใดๆ ในรัฐ เกิดประโยชน์โดยรวมต่อสาธารณะอย่างสมดุล ในเชิงปฏิบัติ “รัฐ” เป็นคำศัพท์ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายและมีความหมายที่หลากหลายในตัวของมันเอง โดยสามารถจำแนกการใช้คำว่ารัฐออกเป็น 3 ความหมาย กล่าวคือความหมายแรก “รัฐ” คือ พื้นที่ทางการเมืองในการต่อสู้ต่อรองของนักการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ในการเข้าไปมีอิทธิพลต่อการจัดสรรทรัพยากรสาธารณะ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์แก่กลุ่มของตนมากที่สุด ความหมายที่สอง “รัฐ” คือ รัฐบาล ที่ทำหน้าที่ในการบริหารประเทศและมุ่งหวังสร้างคะแนนเสียงเพื่อให้ได้รับคัดเลือกกลับเข้ามาบริหารประเทศอีกครั้ง รัฐในความหมายนี้จึงไม่รวมถึงฝ่ายค้านในรัฐสภาและข้าราชการอื่นๆ และความหมายที่สาม “รัฐ” คือ องค์การทางการเมือง หมายรวมถึงหน่วยงานทั้งหมดที่เป็นของภาคสาธารณะ ทั้งรัฐบาล ข้าราชการ ศาล และทหาร ซึ่งอาจถูกแทนด้วยคำว่าเจ้าหน้าที่รัฐ (the authorities) ได้ ตัวอย่างการนำไปใช้ในประเทศไทย สำหรับความหมายในสังคมไทย ในงานของชัยอนันต์ สมุทวณิช (2534: 25) ได้พยายามจำแนกการพิจารณาความหมายของรัฐออกเป็น 4 แนวทาง คือ 1) รัฐในฐานะที่เป็นรัฐบาล (the state as government) ซึ่งหมายถึงกลุ่มบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจในการตัดสินใจในสังคมการเมือง 2) รัฐในฐานะที่เป็นระบบราชการ (the state as public bureaucracy) คือเครื่องมือทางการบริหารที่เป็นปึกแผ่นและมีระเบียบทางกฎหมายรองรับ 3) รัฐในฐานะที่เป็นชนชั้นปกครอง (the state as ruling class) และ 4) รัฐในฐานะที่เป็นโครงสร้างทางอุดมการณ์ (the state as normative order) ฉะนั้น ในการนิยามความหมายของรัฐ อาจเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับบริบทของการใช้คำ ว่าจะให้คำว่า “รัฐ” หมายแทนสิ่งใด อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ คำว่า “รัฐ” กลับพบปัญหาในการนำมาใช้อย่างมาก เพราะตามแบบเรียนของการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยไม่ได้บอกว่ารัฐคืออะไร แต่กลับกล่าวเพียงแค่รัฐประกอบไปด้วย 4 หน่วยหลัก คือ ประชาชน เขตแดน อำนาจอธิปไตย และรัฐบาล ซึ่งต้องครบองค์ประกอบดังกล่าวเท่านั้นจึงถูกเรียกว่ารัฐ การนิยามรัฐเช่นนี้จึงมีลักษณะเป็นการท่องจำ และไม่ได้เชื่อมโยงกับความหมายในเชิงวิชาการทั้งในระดับภายในประเทศและระดับสากล สำหรับการใช้คำว่า “รัฐ” ในสังคมไทย มักถูกผูกโยงเข้ากับเรื่องของ “อำนาจ” และ “เจ้าหน้าที่” เสมอ กล่าวได้ว่ารัฐเป็นหน่วยการปกครองหนึ่งที่มีเจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้อำนาจรัฐกับประชาชน และมีความหมายเชิงลบอยู่ในตัวเอง เพราะการใช้คำว่า “อำนาจรัฐ” มีนัยไปถึงการที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจปกครองกับประชาชนอย่างไม่ชอบธรรม หรือใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงประชาชนที่สามารถอยู่ด้วยกันภายในสังคมหรือชุมชนของตัวเอง “รัฐ” ในสังคมไทยจึงเป็นคำที่มีระยะห่างกับ “ประชาชน” และ “สังคม” มากพอสมควร และรัฐมักจะมีภาพลักษณ์ในด้านลบ เช่น เมื่อกล่าวถึงรัฐ คนมักจะนึกถึง การแย่งชิงอำนาจ การทุจริตคอร์รัปชั่น และความเชื่องช้าของระบบราชการในภาครัฐ ข้อสังเกตที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม จะเห็นว่า แนวคิดเกี่ยวกับ “รัฐ” มีความหมายกว้างขวางมากที่สุดแนวคิดหนึ่ง และสามารถถูกใช้ได้ในหลายบริบทและหลายความหมาย จึงเป็นไปได้ยากในการนิยามคำว่ารัฐให้กระชับหรือถูกต้องเพียงความหมายเดียว แนวคิดว่าด้วยรัฐจึงอาจแยกพิจารณาโดยสังเขปได้ว่า รัฐในความหมายของพื้นที่ รัฐในความหมายของรัฐบาล และรัฐในความหมายของระบบราชการ ประเด็นที่สังคมไทยต้องพยายามทำความเข้าใจคือ รัฐอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่าที่หลายคนตระหนัก ฉะนั้น บทบาทของรัฐจึงกระทบต่อชีวิตประจำวันและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หน้าที่ของรัฐที่สำคัญ นอกจากจะรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมแล้ว รัฐต้องสร้างหลักประกันว่าจะพัฒนาประเทศเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม และรัฐมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการประกันอิสรภาพและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล กล่าวได้ว่า ในสังคมประชาธิปไตย บทบาทของรัฐที่พึงปรารถนาคือ รัฐที่ช่วยพัฒนาอิสรภาพและเสรีภาพของประชาชนที่ด้อยโอกาสให้สามารถกระทำตามเจตนารมณ์ของเขาได้ รัฐที่กระจายทรัพยากรและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจให้แก่คนทุกกลุ่ม เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และกระจายความเท่าเทียมกันของคนในสังคม ในประเด็นหลัง บทบาทของรัฐในหลายประเทศจึงผูกโยงอยู่กับการจัดสรรสวัสดิการสังคม (โปรดดู Social Welfare) ดูเพิ่มใน ‘Social Order’ & ‘Vertical / Horizontal Order’ และ ‘Social Welfare’
<ref>เอกสารอ้างอิง ชัยอนันต์ สมุทวณิช. 2535. รัฐ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. Haralambos, Michael, Martin Holborn, and Robin Heald. 2004. Sociology: Themes and Perspectives. London: Hammersmith. Kurian, George Thomas et al., 2011. The Encyclopedia of Political Science. Washington, D.C.: CQ Press. Skocpol, Theda. 1979. States and Social Revolutions: A Comparative Analysis of France, Russia, and China. Cambridge: Cambridge University Press.</ref>
== คำจำกัดความ ==
{{ตรวจลิขสิทธิ์}}
ถึงแม้ว่าคำว่า ''รัฐ'' มักจะรวมถึงสถาบันรัฐบาลหรือการปกครอง ทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ ระบบรัฐสมัยใหม่มีลักษณะหลายประการ และคำดังกล่าวมักถูกใช้ในความหมายถึงระบบการเมืองสมัยใหม่เท่านั้น
 
คำว่า "ประเทศ" "ชาติ" และ "รัฐ" มักจะถูกใช้ในความหมายที่สามารถทดแทนกันได้ แต่การเลือกใช้คำจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
 
* '''ชาติ''': กลุ่มคนซึ่งเชื่อว่าตนมีวัฒนธรรม จุดกำเนิด และประวัติศาสตร์อย่างเดียวกันgggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggg
* '''รัฐ''': องค์ประกอบของสถาบันการปกครอง ซึ่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและประชากรที่แน่นอน
 
รัฐ (State) เป็นคำที่ใช้สำหรับเรียกหน่วยของสถาบันการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำหน้าที่ในการควบคุมสังคมและประชาชนผ่านการวางกฎระเบียบต่างๆ และคอยจัดสรรทรัพยากรภายใต้พื้นที่จำกัด (Kurian, 2011: 1594-1597) โดยรัฐจะมีหน้าที่หลักอยู่ 4 ประการ ดังนี้ หน้าที่ในการปกครองและควบคุมสังคม หน้าที่ในการเป็นหน่วยเดียวของสังคมที่สามารถใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรม หน้าที่ในการจัดการทรัพยากรภายในรัฐ ทั้งในด้านการเก็บภาษีและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ หน้าที่ในด้านของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่มา ในทางรัฐศาสตร์ นิยามของรัฐที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ นิยามของ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) (อ้างใน Haralambos and Holborn, 2004: 541) ที่กล่าวว่า รัฐ คือ องค์กรทางการเมืองที่มีอำนาจบังคับและมีความต่อเนื่องในการผูกขาดการใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรมด้วยการบังคับใช้ระเบียบและกฎหมาย จากนิยามดังกล่าวจะเห็นว่ารัฐเป็นหน่วยทางการปกครองที่มีเป้าหมายในการรักษาระเบียบ (social order) ทั้งในทางสังคมและการเมือง นักวิชาการที่ได้รับอิทธิพลจากนิยามดังกล่าว จนสามารถสร้างผลงานทางรัฐศาสตร์ที่โด่งดัง คือ เธดา สค๊อกโพล (Theda Skocpol) (1979: 29-32) หนังสือชื่อ States and Social Revolutions ที่กล่าวว่า “รัฐ” มีหน่วยงานในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ภายในเขตแดนอย่างชอบธรรม (legitimacy) เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง คือการรักษาระเบียบ (maintains order) และทำการแข่งขันกับรัฐอื่นในด้านศักยภาพของรัฐ เช่น การทหาร เป็นต้น โดยอุดมคติแล้ว รัฐจึงมีหน้าที่ดูแลความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคน และภาคส่วนต่างๆ โดยกำกับให้การดำเนินกิจกรรมใดๆ ในรัฐ เกิดประโยชน์โดยรวมต่อสาธารณะอย่างสมดุล ในเชิงปฏิบัติ “รัฐ” เป็นคำศัพท์ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายและมีความหมายที่หลากหลายในตัวของมันเอง โดยสามารถจำแนกการใช้คำว่ารัฐออกเป็น 3 ความหมาย กล่าวคือความหมายแรก “รัฐ” คือ พื้นที่ทางการเมืองในการต่อสู้ต่อรองของนักการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ในการเข้าไปมีอิทธิพลต่อการจัดสรรทรัพยากรสาธารณะ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์แก่กลุ่มของตนมากที่สุด ความหมายที่สอง “รัฐ” คือ รัฐบาล ที่ทำหน้าที่ในการบริหารประเทศและมุ่งหวังสร้างคะแนนเสียงเพื่อให้ได้รับคัดเลือกกลับเข้ามาบริหารประเทศอีกครั้ง รัฐในความหมายนี้จึงไม่รวมถึงฝ่ายค้านในรัฐสภาและข้าราชการอื่นๆ และความหมายที่สาม “รัฐ” คือ องค์การทางการเมือง หมายรวมถึงหน่วยงานทั้งหมดที่เป็นของภาคสาธารณะ ทั้งรัฐบาล ข้าราชการ ศาล และทหาร ซึ่งอาจถูกแทนด้วยคำว่าเจ้าหน้าที่รัฐ (the authorities) ได้ ตัวอย่างการนำไปใช้ในประเทศไทย สำหรับความหมายในสังคมไทย ในงานของชัยอนันต์ สมุทวณิช (2534: 25) ได้พยายามจำแนกการพิจารณาความหมายของรัฐออกเป็น 4 แนวทาง คือ 1) รัฐในฐานะที่เป็นรัฐบาล (the state as government) ซึ่งหมายถึงกลุ่มบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจในการตัดสินใจในสังคมการเมือง 2) รัฐในฐานะที่เป็นระบบราชการ (the state as public bureaucracy) คือเครื่องมือทางการบริหารที่เป็นปึกแผ่นและมีระเบียบทางกฎหมายรองรับ 3) รัฐในฐานะที่เป็นชนชั้นปกครอง (the state as ruling class) และ 4) รัฐในฐานะที่เป็นโครงสร้างทางอุดมการณ์ (the state as normative order) ฉะนั้น ในการนิยามความหมายของรัฐ อาจเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับบริบทของการใช้คำ ว่าจะให้คำว่า “รัฐ” หมายแทนสิ่งใด อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ คำว่า “รัฐ” กลับพบปัญหาในการนำมาใช้อย่างมาก เพราะตามแบบเรียนของการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยไม่ได้บอกว่ารัฐคืออะไร แต่กลับกล่าวเพียงแค่รัฐประกอบไปด้วย 4 หน่วยหลัก คือ ประชาชน เขตแดน อำนาจอธิปไตย และรัฐบาล ซึ่งต้องครบองค์ประกอบดังกล่าวเท่านั้นจึงถูกเรียกว่ารัฐ การนิยามรัฐเช่นนี้จึงมีลักษณะเป็นการท่องจำ และไม่ได้เชื่อมโยงกับความหมายในเชิงวิชาการทั้งในระดับภายในประเทศและระดับสากล สำหรับการใช้คำว่า “รัฐ” ในสังคมไทย มักถูกผูกโยงเข้ากับเรื่องของ “อำนาจ” และ “เจ้าหน้าที่” เสมอ กล่าวได้ว่ารัฐเป็นหน่วยการปกครองหนึ่งที่มีเจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้อำนาจรัฐกับประชาชน และมีความหมายเชิงลบอยู่ในตัวเอง เพราะการใช้คำว่า “อำนาจรัฐ” มีนัยไปถึงการที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจปกครองกับประชาชนอย่างไม่ชอบธรรม หรือใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงประชาชนที่สามารถอยู่ด้วยกันภายในสังคมหรือชุมชนของตัวเอง “รัฐ” ในสังคมไทยจึงเป็นคำที่มีระยะห่างกับ “ประชาชน” และ “สังคม” มากพอสมควร และรัฐมักจะมีภาพลักษณ์ในด้านลบ เช่น เมื่อกล่าวถึงรัฐ คนมักจะนึกถึง การแย่งชิงอำนาจ การทุจริตคอร์รัปชั่น และความเชื่องช้าของระบบราชการในภาครัฐ ข้อสังเกตที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม จะเห็นว่า แนวคิดเกี่ยวกับ “รัฐ” มีความหมายกว้างขวางมากที่สุดแนวคิดหนึ่ง และสามารถถูกใช้ได้ในหลายบริบทและหลายความหมาย จึงเป็นไปได้ยากในการนิยามคำว่ารัฐให้กระชับหรือถูกต้องเพียงความหมายเดียว แนวคิดว่าด้วยรัฐจึงอาจแยกพิจารณาโดยสังเขปได้ว่า รัฐในความหมายของพื้นที่ รัฐในความหมายของรัฐบาล และรัฐในความหมายของระบบราชการ ประเด็นที่สังคมไทยต้องพยายามทำความเข้าใจคือ รัฐอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่าที่หลายคนตระหนัก ฉะนั้น บทบาทของรัฐจึงกระทบต่อชีวิตประจำวันและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หน้าที่ของรัฐที่สำคัญ นอกจากจะรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมแล้ว รัฐต้องสร้างหลักประกันว่าจะพัฒนาประเทศเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม และรัฐมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการประกันอิสรภาพและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล กล่าวได้ว่า ในสังคมประชาธิปไตย บทบาทของรัฐที่พึงปรารถนาคือ รัฐที่ช่วยพัฒนาอิสรภาพและเสรีภาพของประชาชนที่ด้อยโอกาสให้สามารถกระทำตามเจตนารมณ์ของเขาได้ รัฐที่กระจายทรัพยากรและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจให้แก่คนทุกกลุ่ม เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และกระจายความเท่าเทียมกันของคนในสังคม ในประเด็นหลัง บทบาทของรัฐในหลายประเทศจึงผูกโยงอยู่กับการจัดสรรสวัสดิการสังคม (โปรดดู Social Welfare) ดูเพิ่มใน ‘Social Order’ & ‘Vertical / Horizontal Order’ และ ‘Social Welfare’
<ref>เอกสารอ้างอิง ชัยอนันต์ สมุทวณิช. 2535. รัฐ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. Haralambos, Michael, Martin Holborn, and Robin Heald. 2004. Sociology: Themes and Perspectives. London: Hammersmith. Kurian, George Thomas et al., 2011. The Encyclopedia of Political Science. Washington, D.C.: CQ Press. Skocpol, Theda. 1979. States and Social Revolutions: A Comparative Analysis of France, Russia, and China. Cambridge: Cambridge University Press.</ref>
== คำจำกัดความ ==
{{ตรวจลิขสิทธิ์}}
ถึงแม้ว่าคำว่า ''รัฐ'' มักจะรวมถึงสถาบันรัฐบาลหรือการปกครอง ทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ ระบบรัฐสมัยใหม่มีลักษณะหลายประการ และคำดังกล่าวมักถูกใช้ในความหมายถึงระบบการเมืองสมัยใหม่เท่านั้น
 
คำว่า "ประเทศ" "ชาติ" และ "รัฐ" มักจะถูกใช้ในความหมายที่สามารถทดแทนกันได้ แต่การเลือกใช้คำจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
 
* '''ชาติ''': กลุ่มคนซึ่งเชื่อว่าตนมีวัฒนธรรม จุดกำเนิด และประวัติศาสตร์อย่างเดียวกันgggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggg
* '''รัฐ''': องค์ประกอบของสถาบันการปกครอง ซึ่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและประชากรที่แน่นอน
 
รัฐ (State) เป็นคำที่ใช้สำหรับเรียกหน่วยของสถาบันการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำหน้าที่ในการควบคุมสังคมและประชาชนผ่านการวางกฎระเบียบต่างๆ และคอยจัดสรรทรัพยากรภายใต้พื้นที่จำกัด (Kurian, 2011: 1594-1597) โดยรัฐจะมีหน้าที่หลักอยู่ 4 ประการ ดังนี้ หน้าที่ในการปกครองและควบคุมสังคม หน้าที่ในการเป็นหน่วยเดียวของสังคมที่สามารถใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรม หน้าที่ในการจัดการทรัพยากรภายในรัฐ ทั้งในด้านการเก็บภาษีและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ หน้าที่ในด้านของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่มา ในทางรัฐศาสตร์ นิยามของรัฐที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ นิยามของ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) (อ้างใน Haralambos and Holborn, 2004: 541) ที่กล่าวว่า รัฐ คือ องค์กรทางการเมืองที่มีอำนาจบังคับและมีความต่อเนื่องในการผูกขาดการใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรมด้วยการบังคับใช้ระเบียบและกฎหมาย จากนิยามดังกล่าวจะเห็นว่ารัฐเป็นหน่วยทางการปกครองที่มีเป้าหมายในการรักษาระเบียบ (social order) ทั้งในทางสังคมและการเมือง นักวิชาการที่ได้รับอิทธิพลจากนิยามดังกล่าว จนสามารถสร้างผลงานทางรัฐศาสตร์ที่โด่งดัง คือ เธดา สค๊อกโพล (Theda Skocpol) (1979: 29-32) หนังสือชื่อ States and Social Revolutions ที่กล่าวว่า “รัฐ” มีหน่วยงานในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ภายในเขตแดนอย่างชอบธรรม (legitimacy) เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง คือการรักษาระเบียบ (maintains order) และทำการแข่งขันกับรัฐอื่นในด้านศักยภาพของรัฐ เช่น การทหาร เป็นต้น โดยอุดมคติแล้ว รัฐจึงมีหน้าที่ดูแลความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคน และภาคส่วนต่างๆ โดยกำกับให้การดำเนินกิจกรรมใดๆ ในรัฐ เกิดประโยชน์โดยรวมต่อสาธารณะอย่างสมดุล ในเชิงปฏิบัติ “รัฐ” เป็นคำศัพท์ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายและมีความหมายที่หลากหลายในตัวของมันเอง โดยสามารถจำแนกการใช้คำว่ารัฐออกเป็น 3 ความหมาย กล่าวคือความหมายแรก “รัฐ” คือ พื้นที่ทางการเมืองในการต่อสู้ต่อรองของนักการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ในการเข้าไปมีอิทธิพลต่อการจัดสรรทรัพยากรสาธารณะ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์แก่กลุ่มของตนมากที่สุด ความหมายที่สอง “รัฐ” คือ รัฐบาล ที่ทำหน้าที่ในการบริหารประเทศและมุ่งหวังสร้างคะแนนเสียงเพื่อให้ได้รับคัดเลือกกลับเข้ามาบริหารประเทศอีกครั้ง รัฐในความหมายนี้จึงไม่รวมถึงฝ่ายค้านในรัฐสภาและข้าราชการอื่นๆ และความหมายที่สาม “รัฐ” คือ องค์การทางการเมือง หมายรวมถึงหน่วยงานทั้งหมดที่เป็นของภาคสาธารณะ ทั้งรัฐบาล ข้าราชการ ศาล และทหาร ซึ่งอาจถูกแทนด้วยคำว่าเจ้าหน้าที่รัฐ (the authorities) ได้ ตัวอย่างการนำไปใช้ในประเทศไทย สำหรับความหมายในสังคมไทย ในงานของชัยอนันต์ สมุทวณิช (2534: 25) ได้พยายามจำแนกการพิจารณาความหมายของรัฐออกเป็น 4 แนวทาง คือ 1) รัฐในฐานะที่เป็นรัฐบาล (the state as government) ซึ่งหมายถึงกลุ่มบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจในการตัดสินใจในสังคมการเมือง 2) รัฐในฐานะที่เป็นระบบราชการ (the state as public bureaucracy) คือเครื่องมือทางการบริหารที่เป็นปึกแผ่นและมีระเบียบทางกฎหมายรองรับ 3) รัฐในฐานะที่เป็นชนชั้นปกครอง (the state as ruling class) และ 4) รัฐในฐานะที่เป็นโครงสร้างทางอุดมการณ์ (the state as normative order) ฉะนั้น ในการนิยามความหมายของรัฐ อาจเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับบริบทของการใช้คำ ว่าจะให้คำว่า “รัฐ” หมายแทนสิ่งใด อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ คำว่า “รัฐ” กลับพบปัญหาในการนำมาใช้อย่างมาก เพราะตามแบบเรียนของการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยไม่ได้บอกว่ารัฐคืออะไร แต่กลับกล่าวเพียงแค่รัฐประกอบไปด้วย 4 หน่วยหลัก คือ ประชาชน เขตแดน อำนาจอธิปไตย และรัฐบาล ซึ่งต้องครบองค์ประกอบดังกล่าวเท่านั้นจึงถูกเรียกว่ารัฐ การนิยามรัฐเช่นนี้จึงมีลักษณะเป็นการท่องจำ และไม่ได้เชื่อมโยงกับความหมายในเชิงวิชาการทั้งในระดับภายในประเทศและระดับสากล สำหรับการใช้คำว่า “รัฐ” ในสังคมไทย มักถูกผูกโยงเข้ากับเรื่องของ “อำนาจ” และ “เจ้าหน้าที่” เสมอ กล่าวได้ว่ารัฐเป็นหน่วยการปกครองหนึ่งที่มีเจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้อำนาจรัฐกับประชาชน และมีความหมายเชิงลบอยู่ในตัวเอง เพราะการใช้คำว่า “อำนาจรัฐ” มีนัยไปถึงการที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจปกครองกับประชาชนอย่างไม่ชอบธรรม หรือใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงประชาชนที่สามารถอยู่ด้วยกันภายในสังคมหรือชุมชนของตัวเอง “รัฐ” ในสังคมไทยจึงเป็นคำที่มีระยะห่างกับ “ประชาชน” และ “สังคม” มากพอสมควร และรัฐมักจะมีภาพลักษณ์ในด้านลบ เช่น เมื่อกล่าวถึงรัฐ คนมักจะนึกถึง การแย่งชิงอำนาจ การทุจริตคอร์รัปชั่น และความเชื่องช้าของระบบราชการในภาครัฐ ข้อสังเกตที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม จะเห็นว่า แนวคิดเกี่ยวกับ “รัฐ” มีความหมายกว้างขวางมากที่สุดแนวคิดหนึ่ง และสามารถถูกใช้ได้ในหลายบริบทและหลายความหมาย จึงเป็นไปได้ยากในการนิยามคำว่ารัฐให้กระชับหรือถูกต้องเพียงความหมายเดียว แนวคิดว่าด้วยรัฐจึงอาจแยกพิจารณาโดยสังเขปได้ว่า รัฐในความหมายของพื้นที่ รัฐในความหมายของรัฐบาล และรัฐในความหมายของระบบราชการ ประเด็นที่สังคมไทยต้องพยายามทำความเข้าใจคือ รัฐอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่าที่หลายคนตระหนัก ฉะนั้น บทบาทของรัฐจึงกระทบต่อชีวิตประจำวันและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หน้าที่ของรัฐที่สำคัญ นอกจากจะรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมแล้ว รัฐต้องสร้างหลักประกันว่าจะพัฒนาประเทศเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม และรัฐมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการประกันอิสรภาพและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล กล่าวได้ว่า ในสังคมประชาธิปไตย บทบาทของรัฐที่พึงปรารถนาคือ รัฐที่ช่วยพัฒนาอิสรภาพและเสรีภาพของประชาชนที่ด้อยโอกาสให้สามารถกระทำตามเจตนารมณ์ของเขาได้ รัฐที่กระจายทรัพยากรและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจให้แก่คนทุกกลุ่ม เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และกระจายความเท่าเทียมกันของคนในสังคม ในประเด็นหลัง บทบาทของรัฐในหลายประเทศจึงผูกโยงอยู่กับการจัดสรรสวัสดิการสังคม (โปรดดู Social Welfare) ดูเพิ่มใน ‘Social Order’ & ‘Vertical / Horizontal Order’ และ ‘Social Welfare’
<ref>เอกสารอ้างอิง ชัยอนันต์ สมุทวณิช. 2535. รัฐ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. Haralambos, Michael, Martin Holborn, and Robin Heald. 2004. Sociology: Themes and Perspectives. London: Hammersmith. Kurian, George Thomas et al., 2011. The Encyclopedia of Political Science. Washington, D.C.: CQ Press. Skocpol, Theda. 1979. States and Social Revolutions: A Comparative Analysis of France, Russia, and China. Cambridge: Cambridge University Press.</ref>
== คำจำกัดความ ==
{{ตรวจลิขสิทธิ์}}
ถึงแม้ว่าคำว่า ''รัฐ'' มักจะรวมถึงสถาบันรัฐบาลหรือการปกครอง ทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ ระบบรัฐสมัยใหม่มีลักษณะหลายประการ และคำดังกล่าวมักถูกใช้ในความหมายถึงระบบการเมืองสมัยใหม่เท่านั้น
 
คำว่า "ประเทศ" "ชาติ" และ "รัฐ" มักจะถูกใช้ในความหมายที่สามารถทดแทนกันได้ แต่การเลือกใช้คำจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
 
* '''ชาติ''': กลุ่มคนซึ่งเชื่อว่าตนมีวัฒนธรรม จุดกำเนิด และประวัติศาสตร์อย่างเดียวกันgggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggg
* '''รัฐ''': องค์ประกอบของสถาบันการปกครอง ซึ่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและประชากรที่แน่นอน
 
รัฐ (State) เป็นคำที่ใช้สำหรับเรียกหน่วยของสถาบันการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำหน้าที่ในการควบคุมสังคมและประชาชนผ่านการวางกฎระเบียบต่างๆ และคอยจัดสรรทรัพยากรภายใต้พื้นที่จำกัด (Kurian, 2011: 1594-1597) โดยรัฐจะมีหน้าที่หลักอยู่ 4 ประการ ดังนี้ หน้าที่ในการปกครองและควบคุมสังคม หน้าที่ในการเป็นหน่วยเดียวของสังคมที่สามารถใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรม หน้าที่ในการจัดการทรัพยากรภายในรัฐ ทั้งในด้านการเก็บภาษีและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ หน้าที่ในด้านของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่มา ในทางรัฐศาสตร์ นิยามของรัฐที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ นิยามของ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) (อ้างใน Haralambos and Holborn, 2004: 541) ที่กล่าวว่า รัฐ คือ องค์กรทางการเมืองที่มีอำนาจบังคับและมีความต่อเนื่องในการผูกขาดการใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรมด้วยการบังคับใช้ระเบียบและกฎหมาย จากนิยามดังกล่าวจะเห็นว่ารัฐเป็นหน่วยทางการปกครองที่มีเป้าหมายในการรักษาระเบียบ (social order) ทั้งในทางสังคมและการเมือง นักวิชาการที่ได้รับอิทธิพลจากนิยามดังกล่าว จนสามารถสร้างผลงานทางรัฐศาสตร์ที่โด่งดัง คือ เธดา สค๊อกโพล (Theda Skocpol) (1979: 29-32) หนังสือชื่อ States and Social Revolutions ที่กล่าวว่า “รัฐ” มีหน่วยงานในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ภายในเขตแดนอย่างชอบธรรม (legitimacy) เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง คือการรักษาระเบียบ (maintains order) และทำการแข่งขันกับรัฐอื่นในด้านศักยภาพของรัฐ เช่น การทหาร เป็นต้น โดยอุดมคติแล้ว รัฐจึงมีหน้าที่ดูแลความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคน และภาคส่วนต่างๆ โดยกำกับให้การดำเนินกิจกรรมใดๆ ในรัฐ เกิดประโยชน์โดยรวมต่อสาธารณะอย่างสมดุล ในเชิงปฏิบัติ “รัฐ” เป็นคำศัพท์ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายและมีความหมายที่หลากหลายในตัวของมันเอง โดยสามารถจำแนกการใช้คำว่ารัฐออกเป็น 3 ความหมาย กล่าวคือความหมายแรก “รัฐ” คือ พื้นที่ทางการเมืองในการต่อสู้ต่อรองของนักการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ในการเข้าไปมีอิทธิพลต่อการจัดสรรทรัพยากรสาธารณะ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์แก่กลุ่มของตนมากที่สุด ความหมายที่สอง “รัฐ” คือ รัฐบาล ที่ทำหน้าที่ในการบริหารประเทศและมุ่งหวังสร้างคะแนนเสียงเพื่อให้ได้รับคัดเลือกกลับเข้ามาบริหารประเทศอีกครั้ง รัฐในความหมายนี้จึงไม่รวมถึงฝ่ายค้านในรัฐสภาและข้าราชการอื่นๆ และความหมายที่สาม “รัฐ” คือ องค์การทางการเมือง หมายรวมถึงหน่วยงานทั้งหมดที่เป็นของภาคสาธารณะ ทั้งรัฐบาล ข้าราชการ ศาล และทหาร ซึ่งอาจถูกแทนด้วยคำว่าเจ้าหน้าที่รัฐ (the authorities) ได้ ตัวอย่างการนำไปใช้ในประเทศไทย สำหรับความหมายในสังคมไทย ในงานของชัยอนันต์ สมุทวณิช (2534: 25) ได้พยายามจำแนกการพิจารณาความหมายของรัฐออกเป็น 4 แนวทาง คือ 1) รัฐในฐานะที่เป็นรัฐบาล (the state as government) ซึ่งหมายถึงกลุ่มบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจในการตัดสินใจในสังคมการเมือง 2) รัฐในฐานะที่เป็นระบบราชการ (the state as public bureaucracy) คือเครื่องมือทางการบริหารที่เป็นปึกแผ่นและมีระเบียบทางกฎหมายรองรับ 3) รัฐในฐานะที่เป็นชนชั้นปกครอง (the state as ruling class) และ 4) รัฐในฐานะที่เป็นโครงสร้างทางอุดมการณ์ (the state as normative order) ฉะนั้น ในการนิยามความหมายของรัฐ อาจเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับบริบทของการใช้คำ ว่าจะให้คำว่า “รัฐ” หมายแทนสิ่งใด อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ คำว่า “รัฐ” กลับพบปัญหาในการนำมาใช้อย่างมาก เพราะตามแบบเรียนของการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยไม่ได้บอกว่ารัฐคืออะไร แต่กลับกล่าวเพียงแค่รัฐประกอบไปด้วย 4 หน่วยหลัก คือ ประชาชน เขตแดน อำนาจอธิปไตย และรัฐบาล ซึ่งต้องครบองค์ประกอบดังกล่าวเท่านั้นจึงถูกเรียกว่ารัฐ การนิยามรัฐเช่นนี้จึงมีลักษณะเป็นการท่องจำ และไม่ได้เชื่อมโยงกับความหมายในเชิงวิชาการทั้งในระดับภายในประเทศและระดับสากล สำหรับการใช้คำว่า “รัฐ” ในสังคมไทย มักถูกผูกโยงเข้ากับเรื่องของ “อำนาจ” และ “เจ้าหน้าที่” เสมอ กล่าวได้ว่ารัฐเป็นหน่วยการปกครองหนึ่งที่มีเจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้อำนาจรัฐกับประชาชน และมีความหมายเชิงลบอยู่ในตัวเอง เพราะการใช้คำว่า “อำนาจรัฐ” มีนัยไปถึงการที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจปกครองกับประชาชนอย่างไม่ชอบธรรม หรือใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงประชาชนที่สามารถอยู่ด้วยกันภายในสังคมหรือชุมชนของตัวเอง “รัฐ” ในสังคมไทยจึงเป็นคำที่มีระยะห่างกับ “ประชาชน” และ “สังคม” มากพอสมควร และรัฐมักจะมีภาพลักษณ์ในด้านลบ เช่น เมื่อกล่าวถึงรัฐ คนมักจะนึกถึง การแย่งชิงอำนาจ การทุจริตคอร์รัปชั่น และความเชื่องช้าของระบบราชการในภาครัฐ ข้อสังเกตที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม จะเห็นว่า แนวคิดเกี่ยวกับ “รัฐ” มีความหมายกว้างขวางมากที่สุดแนวคิดหนึ่ง และสามารถถูกใช้ได้ในหลายบริบทและหลายความหมาย จึงเป็นไปได้ยากในการนิยามคำว่ารัฐให้กระชับหรือถูกต้องเพียงความหมายเดียว แนวคิดว่าด้วยรัฐจึงอาจแยกพิจารณาโดยสังเขปได้ว่า รัฐในความหมายของพื้นที่ รัฐในความหมายของรัฐบาล และรัฐในความหมายของระบบราชการ ประเด็นที่สังคมไทยต้องพยายามทำความเข้าใจคือ รัฐอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่าที่หลายคนตระหนัก ฉะนั้น บทบาทของรัฐจึงกระทบต่อชีวิตประจำวันและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หน้าที่ของรัฐที่สำคัญ นอกจากจะรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมแล้ว รัฐต้องสร้างหลักประกันว่าจะพัฒนาประเทศเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม และรัฐมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการประกันอิสรภาพและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล กล่าวได้ว่า ในสังคมประชาธิปไตย บทบาทของรัฐที่พึงปรารถนาคือ รัฐที่ช่วยพัฒนาอิสรภาพและเสรีภาพของประชาชนที่ด้อยโอกาสให้สามารถกระทำตามเจตนารมณ์ของเขาได้ รัฐที่กระจายทรัพยากรและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจให้แก่คนทุกกลุ่ม เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และกระจายความเท่าเทียมกันของคนในสังคม ในประเด็นหลัง บทบาทของรัฐในหลายประเทศจึงผูกโยงอยู่กับการจัดสรรสวัสดิการสังคม (โปรดดู Social Welfare) ดูเพิ่มใน ‘Social Order’ & ‘Vertical / Horizontal Order’ และ ‘Social Welfare’
<ref>เอกสารอ้างอิง ชัยอนันต์ สมุทวณิช. 2535. รัฐ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. Haralambos, Michael, Martin Holborn, and Robin Heald. 2004. Sociology: Themes and Perspectives. London: Hammersmith. Kurian, George Thomas et al., 2011. The Encyclopedia of Political Science. Washington, D.C.: CQ Press. Skocpol, Theda. 1979. States and Social Revolutions: A Comparative Analysis of France, Russia, and China. Cambridge: Cambridge University Press.</ref>
== คำจำกัดความ ==
{{ตรวจลิขสิทธิ์}}
ถึงแม้ว่าคำว่า ''รัฐ'' มักจะรวมถึงสถาบันรัฐบาลหรือการปกครอง ทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ ระบบรัฐสมัยใหม่มีลักษณะหลายประการ และคำดังกล่าวมักถูกใช้ในความหมายถึงระบบการเมืองสมัยใหม่เท่านั้น
 
คำว่า "ประเทศ" "ชาติ" และ "รัฐ" มักจะถูกใช้ในความหมายที่สามารถทดแทนกันได้ แต่การเลือกใช้คำจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
 
* '''ชาติ''': กลุ่มคนซึ่งเชื่อว่าตนมีวัฒนธรรม จุดกำเนิด และประวัติศาสตร์อย่างเดียวกันgggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggg
* '''รัฐ''': องค์ประกอบของสถาบันการปกครอง ซึ่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและประชากรที่แน่นอน
 
รัฐ (State) เป็นคำที่ใช้สำหรับเรียกหน่วยของสถาบันการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำหน้าที่ในการควบคุมสังคมและประชาชนผ่านการวางกฎระเบียบต่างๆ และคอยจัดสรรทรัพยากรภายใต้พื้นที่จำกัด (Kurian, 2011: 1594-1597) โดยรัฐจะมีหน้าที่หลักอยู่ 4 ประการ ดังนี้ หน้าที่ในการปกครองและควบคุมสังคม หน้าที่ในการเป็นหน่วยเดียวของสังคมที่สามารถใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรม หน้าที่ในการจัดการทรัพยากรภายในรัฐ ทั้งในด้านการเก็บภาษีและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ หน้าที่ในด้านของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่มา ในทางรัฐศาสตร์ นิยามของรัฐที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ นิยามของ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) (อ้างใน Haralambos and Holborn, 2004: 541) ที่กล่าวว่า รัฐ คือ องค์กรทางการเมืองที่มีอำนาจบังคับและมีความต่อเนื่องในการผูกขาดการใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรมด้วยการบังคับใช้ระเบียบและกฎหมาย จากนิยามดังกล่าวจะเห็นว่ารัฐเป็นหน่วยทางการปกครองที่มีเป้าหมายในการรักษาระเบียบ (social order) ทั้งในทางสังคมและการเมือง นักวิชาการที่ได้รับอิทธิพลจากนิยามดังกล่าว จนสามารถสร้างผลงานทางรัฐศาสตร์ที่โด่งดัง คือ เธดา สค๊อกโพล (Theda Skocpol) (1979: 29-32) หนังสือชื่อ States and Social Revolutions ที่กล่าวว่า “รัฐ” มีหน่วยงานในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ภายในเขตแดนอย่างชอบธรรม (legitimacy) เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง คือการรักษาระเบียบ (maintains order) และทำการแข่งขันกับรัฐอื่นในด้านศักยภาพของรัฐ เช่น การทหาร เป็นต้น โดยอุดมคติแล้ว รัฐจึงมีหน้าที่ดูแลความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคน และภาคส่วนต่างๆ โดยกำกับให้การดำเนินกิจกรรมใดๆ ในรัฐ เกิดประโยชน์โดยvhjgvjghjghjvghjgvhjvgjgvhjรวมต่อสาธารณะอย่างสมดุล ในเชิงปฏิบัติ “รัฐ” เป็นคำศัพท์ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายและมีความหมายที่หลากหลายในตัวของมันเอง โดยสามารถจำแนกการใช้คำว่ารัฐออกเป็น 3 ความหมาย กล่าวคือความหมายแรก “รัฐ” คือ พื้นที่ทางการเมืองในการต่อสู้ต่อรองของนักการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ในการเข้าไปมีอิทธิพลต่อการจัดสรรทรัพยากรสาธารณะ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์แก่กลุ่มของตนมากที่สุด ความหมายที่สอง “รัฐ” คือ รัฐบาล ที่ทำหน้าที่ในการบริหารประเทศและมุ่งหวังสร้างคะแนนเสียงเพื่อให้ได้รับคัดเลือกกลับเข้ามาบริหารประเทศอีกครั้ง รัฐในความหมายนี้จึงไม่รวมถึงฝ่ายค้านในรัฐสภาและข้าราชการอื่นๆ และความหมายที่สาม “รัฐ” คือ องค์การทางการเมือง หมายรวมถึงหน่วยงานทั้งหมดที่เป็นของภาคสาธารณะ ทั้งรัฐบาล ข้าราชการ ศาล และทหาร ซึ่งอาจถูกแทนด้วยคำว่าเจ้าหน้าที่รัฐ (the authorities) ได้ ตัวอย่างการนำไปใช้ในประเทศไทย สำหรับความหมายในสังคมไทย ในงานของชัยอนันต์ สมุทวณิช (2534: 25) ได้พยายามจำแนกการพิจารณาความหมายของรัฐออกเป็น 4 แนวทาง คือ 1) รัฐในฐานะที่เป็นรัฐบาล (the state as government) ซึ่งหมายถึงกลุ่มบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจในการตัดสินใจในสังคมการเมือง 2) รัฐในฐานะที่เป็นระบบราชการ (the state as public bureaucracy) คือเครื่องมือทางการบริหารที่เป็นปึกแผ่นและมีระเบียบทางกฎหมายรองรับ 3) รัฐในฐานะที่เป็นชนชั้นปกครอง (the state as ruling class) และ 4) รัฐในฐานะที่เป็นโครงสร้างทางอุดมการณ์ (the state as normative order) ฉะนั้น ในการนิยามความหมายของรัฐ อาจเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับบริบทของการใช้คำ ว่าจะให้คำว่า “รัฐ” หมายแทนสิ่งใด อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ คำว่า “รัฐ” กลับพบปัญหาในการนำมาใช้อย่างมาก เพราะตามแบบเรียนของการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยไม่ได้บอกว่ารัฐคืออะไร แต่กลับกล่าวเพียงแค่รัฐประกอบไปด้วย 4 หน่วยหลัก คือ ประชาชน เขตแดน อำนาจอธิปไตย และรัฐบาล ซึ่งต้องครบองค์ประกอบดังกล่าวเท่านั้นจึงถูกเรียกว่ารัฐ การนิยามรัฐเช่นนี้จึงมีลักษณะเป็นการท่องจำ และไม่ได้เชื่อมโยงกับความหมายในเชิงวิชาการทั้งในระดับภายในประเทศและระดับสากล สำหรับการใช้คำว่า “รัฐ” ในสังคมไทย มักถูกผูกโยงเข้ากับเรื่องของ “อำนาจ” และ “เจ้าหน้าที่” เสมอ กล่าวได้ว่ารัฐเป็นหน่วยการปกครองหนึ่งที่มีเจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้อำนาจรัฐกับประชาชน และมีความหมายเชิงลบอยู่ในตัวเอง เพราะการใช้คำว่า “อำนาจรัฐ” มีนัยไปถึงการที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจปกครองกับประชาชนอย่างไม่ชอบธรรม หรือใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงประชาชนที่สามารถอยู่ด้วยกันภายในสังคมหรือชุมชนของตัวเอง “รัฐ” ในสังคมไทยจึงเป็นคำที่มีระยะห่างกับ “ประชาชน” และ “สังคม” มากพอสมควร และรัฐมักจะมีภาพลักษณ์ในด้านลบ เช่น เมื่อกล่าวถึงรัฐ คนมักจะนึกถึง การแย่งชิงอำนาจ การทุจริตคอร์รัปชั่น และความเชื่องช้าของระบบราชการในภาครัฐ ข้อสังเกตที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม จะเห็นว่า แนวคิดเกี่ยวกับ “รัฐ” มีความหมายกว้างขวางมากที่สุดแนวคิดหนึ่ง และสามารถถูกใช้ได้ในหลายบริบทและหลายความหมาย จึงเป็นไปได้ยากในการนิยามคำว่ารัฐให้กระชับหรือถูกต้องเพียงความหมายเดียว แนวคิดว่าด้วยรัฐจึงอาจแยกพิจารณาโดยสังเขปได้ว่า รัฐในความหมายของพื้นที่ รัฐในความหมายของรัฐบาล และรัฐในความหมายของระบบราชการ ประเด็นที่สังคมไทยต้องพยายามทำความเข้าใจคือ รัฐอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่าที่หลายคนตระหนัก ฉะนั้น บทบาทของรัฐจึงกระทบต่อชีวิตประจำวันและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หน้าที่ของรัฐที่สำคัญ นอกจากจะรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมแล้ว รัฐต้องสร้างหลักประกันว่าจะพัฒนาประเทศเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม และรัฐมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการประกันอิสรภาพและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล กล่าวได้ว่า ในสังคมประชาธิปไตย บทบาทของรัฐที่พึงปรารถนาคือ รัฐที่ช่วยพัฒนาอิสรภาพและเสรีภาพของประชาชนที่ด้อยโอกาสให้สามารถกระทำตามเจตนารมณ์ของเขาได้ รัฐที่กระจายทรัพยากรและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจให้แก่คนทุกกลุ่ม เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และกระจายความเท่าเทียมกันของคนในสังคม ในประเด็นหลัง บทบาทของรัฐในหลายประเทศจึงผูกโยงอยู่กับการจัดสรรสวัสดิการสังคม (โปรดดู Social Welfare) ดูเพิ่มใน ‘Social Order’ & ‘Vertical / Horizontal Order’ และ ‘Social Welfare’
<ref>เอกสารอ้างอิง ชัยอนันต์ สมุทวณิช. 2535. รัฐ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. Haralambos, Michael, Martin Holborn, and Robin Heald. 2004. Sociology: Themes and Perspectives. London: Hammersmith. Kurian, George Thomas et al., 2011. The Encyclopedia of Political Science. Washington, D.C.: CQ Press. Skocpol, Theda. 1979. States and Social Revolutions: A Comparative Analysis of France, Russia, and China. Cambridge: Cambridge University Press.</ref>
== คำจำกัดความ ==
{{ตรวจลิขสิทธิ์}}
ถึงแม้ว่าคำว่า ''รัฐ'' มักจะรวมถึงสถาบันรัฐบาลหรือการปกครอง ทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ ระบบรัฐสมัยใหม่มีลักษณะหลายประการ และคำดังกล่าวมักถูกใช้ในความหมายถึงระบบการเมืองสมัยใหม่เท่านั้น
 
คำว่า "ประเทศ" "ชาติ" และ "รัฐ" มักจะถูกใช้ในความหมายที่สามารถทดแทนกันได้ แต่การเลือกใช้คำจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
 
* '''ชาติ''': กลุ่มคนซึ่งเชื่อว่าตนมีวัฒนธรรม จุดกำเนิด และประวัติศาสตร์อย่างเดียวกันgggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggggg
* '''รัฐ''': องค์ประกอบของสถาบันการปกครอง ซึ่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและประชากรที่แน่นอน
 
รัฐ (State) เป็นคำที่ใช้สำหรับเรียกหน่วยของสถาบันการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำหน้าที่ในการควบคุมสังคมและประชาชนผ่านการวางกฎระเบียบต่างๆ และคอยจัดสรรทรัพยากรภายใต้พื้นที่จำกัด (Kurian, 2011: 1594-1597) โดยรัฐจะมีหน้าที่หลักอยู่ 4 ประการ ดังนี้ หน้าที่ในการปกครองและควบคุมสังคม หน้าที่ในการเป็นหน่วยเดียวของสังคมที่สามารถใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรม หน้าที่ในการจัดการทรัพยากรภายในรัฐ ทั้งในด้านการเก็บภาษีและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ หน้าที่ในด้านของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่มา ในทางรัฐศาสตร์ นิยามของรัฐที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ นิยามของ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) (อ้างใน Haralambos and Holborn, 2004: 541) ที่กล่าวว่า รัฐ คือ องค์กรทางการเมืองที่มีอำนาจบังคับและมีความต่อเนื่องในการผูกขาดการใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรมด้วยการบังคับใช้ระเบียบและกฎหมาย จากนิยามดังกล่าวจะเห็นว่ารัฐเป็นหน่วยทางการปกครองที่มีเป้าหมายในการรักษาระเบียบ (social order) ทั้งในทางสังคมและการเมือง นักวิชาการที่ได้รับอิทธิพลจากนิยามดังกล่าว จนสามารถสร้างผลงานทางรัฐศาสตร์ที่โด่งดัง คือ เธดา สค๊อกโพล (Theda Skocpol) (1979: 29-32) หนังสือชื่อ States and Social Revolutions ที่กล่าวว่า “รัฐ” มีหน่วยงานในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ภายในเขตแดนอย่างชอบธรรม (legitimacy) เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง คือการรักษาระเบียบ (maintains order) และทำการแข่งขันกับรัฐอื่นในด้านศักยภาพของรัฐ เช่น การทหาร เป็นต้น โดยอุดมคติแล้ว รัฐจึงมีหน้าที่ดูแลความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคน และภาคส่วนต่างๆ โดยกำกับให้การดำเนินกิจกรรมใดๆ ในรัฐ เกิดประโยชน์โดยรวมต่อสาธารณะอย่างสมดุล ในเชิงปฏิบัติ “รัฐ” เป็นคำศัพท์ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายและมีความหมายที่หลากหลายในตัวของมันเอง โดยสามารถจำแนกการใช้คำว่ารัฐออกเป็น 3 ความหมาย กล่าวคือความหมายแรก “รัฐ” คือ พื้นที่ทางการเมืองในการต่อสู้ต่อรองของนักการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ในการเข้าไปมีอิทธิพลต่อการจัดสรรทรัพยากรสาธารณะ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์แก่กลุ่มของตนมากที่สุด ความหมายที่สอง “รัฐ” คือ รัฐบาล ที่ทำหน้าที่ในการบริหารประเทศและมุ่งหวังสร้างคะแนนเสียงเพื่อให้ได้รับคัดเลือกกลับเข้ามาบริหารประเทศอีกครั้ง รัฐในความหมายนี้จึงไม่รวมถึงฝ่ายค้านในรัฐสภาและข้าราชการอื่นๆ และความหมายที่สาม “รัฐ” คือ องค์การทางการเมือง หมายรวมถึงหน่วยงานทั้งหมดที่เป็นของภาคสาธารณะ ทั้งรัฐบาล ข้าราชการ ศาล และทหาร ซึ่งอาจถูกแทนด้วยคำว่าเจ้าหน้าที่รัฐ (the authorities) ได้ ตัวอย่างการนำไปใช้ในประเทศไทย สำหรับความหมายในสังคมไทย ในงานของชัยอนันต์ สมุทวณิช (2534: 25) ได้พยายามจำแนกการพิจารณาความหมายของรัฐออกเป็น 4 แนวทาง คือ 1) รัฐในฐานะที่เป็นรัฐบาล (the state as government) ซึ่งหมายถึงกลุ่มบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจในการตัดสินใจในสังคมการเมือง 2) รัฐในฐานะที่เป็นระบบราชการ (the state as public bureaucracy) คือเครื่องมือทางการบริหารที่เป็นปึกแผ่นและมีระเบียบทางกฎหมายรองรับ 3) รัฐในฐานะที่เป็นชนชั้นปกครอง (the state as ruling class) และ 4) รัฐในฐานะที่เป็นโครงสร้างทางอุดมการณ์ (the state as normative order) ฉะนั้น ในการนิยามความหมายของรัฐ อาจเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับบริบทของการใช้คำ ว่าจะให้คำว่า “รัฐ” หมายแทนสิ่งใด อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ คำว่า “รัฐ” กลับพบปัญหาในการนำมาใช้อย่างมาก เพราะตามแบบเรียนของการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยไม่ได้บอกว่ารัฐคืออะไร แต่กลับกล่าวเพียงแค่รัฐประกอบไปด้วย 4 หน่วยหลัก คือ ประชาชน เขตแดน อำนาจอธิปไตย และรัฐบาล ซึ่งต้องครบองค์ประกอบดังกล่าวเท่านั้นจึงถูกเรียกว่ารัฐ การนิยามรัฐเช่นนี้จึงมีลักษณะเป็นการท่องจำ และไม่ได้เชื่อมโยงกับความหมายในเชิงวิชาการทั้งในระดับภายในประเทศและระดับสากล สำหรับการใช้คำว่า “รัฐ” ในสังคมไทย มักถูกผูกโยงเข้ากับเรื่องของ “อำนาจ” และ “เจ้าหน้าที่” เสมอ กล่าวได้ว่ารัฐเป็นหน่วยการปกครองหนึ่งที่มีเจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้อำนาจรัฐกับประชาชน และมีความหมายเชิงลบอยู่ในตัวเอง เพราะการใช้คำว่า “อำนาจรัฐ” มีนัยไปถึงการที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจปกครองกับประชาชนอย่างไม่ชอบธรรม หรือใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงประชาชนที่สามารถอยู่ด้วยกันภายในสังคมหรือชุมชนของตัวเอง “รัฐ” ในสังคมไทยจึงเป็นคำที่มีระยะห่างกับ “ประชาชน” และ “สังคม” มากพอสมควร และรัฐมักจะมีภาพลักษณ์ในด้านลบ เช่น เมื่อกล่าวถึงรัฐ คนมักจะนึกถึง การแย่งชิงอำนาจ การทุจริตคอร์รัปชั่น และความเชื่องช้าของระบบราชการในภาครัฐ ข้อสังเกตที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม จะเห็นว่า แนวคิดเกี่ยวกับ “รัฐ” มีความหมายกว้างขวางมากที่สุดแนวคิดหนึ่ง และสามารถถูกใช้ได้ในหลายบริบทและหลายความหมาย จึงเป็นไปได้ยากในการนิยามคำว่ารัฐให้กระชับหรือถูกต้องเพียงความหมายเดียว แนวคิดว่าด้วยรัฐจึงอาจแยกพิจารณาโดยสังเขปได้ว่า รัฐในความหมายของพื้นที่ รัฐในความหมายของรัฐบาล และรัฐในความหมายของระบบราชการ ประเด็นที่สังคมไทยต้องพยายามทำความเข้าใจคือ รัฐอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่าที่หลายคนตระหนัก ฉะนั้น บทบาทของรัฐจึงกระทบต่อชีวิตประจำวันและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หน้าที่ของรัฐที่สำคัญ นอกจากจะรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมแล้ว รัฐต้องสร้างหลักประกันว่าจะพัฒนาประเทศเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม และรัฐมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการประกันอิสรภาพและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล กล่าวได้ว่า ในสังคมประชาธิปไตย บทบาทของรัฐที่พึงปรารถนาคือ รัฐที่ช่วยพัฒนาอิสรภาพและเสรีภาพของประชาชนที่ด้อยโอกาสให้สามารถกระทำตามเจตนารมณ์ของเขาได้ รัฐที่กระจายทรัพยากรและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจให้แก่คนทุกกลุ่ม เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และกระจายความเท่าเทียมกันของคนในสังคม ในประเด็นหลัง บทบาทของรัฐในหลายประเทศจึงผูกโยงอยู่กับการจัดสรรสวัสดิการสังคม (โปรดดู Social Welfare) ดูเพิ่มใน ‘Social Order’ & ‘Vertical / Horizontal Order’ และ ‘Social Welfare’
<ref>เอกสารอ้างอิง ชัยอนันต์ สมุทวณิช. 2535. รัฐ. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. Haralambos, Michael, Martin Holborn, and Robin Heald. 2004. Sociology: Themes and Perspectives. London: Hammersmith. Kurian, George Thomas et al., 2011. The Encyclopedia of Political Science. Washington, D.C.: CQ Press. Skocpol, Theda. 1979. States and Social Revolutions: A Comparative Analysis of France, Russia, and China. Cambridge: Cambridge University Press.</ref>
h;llftpohkghkjfcp;gkj;pckjgndrthkp
 
== แนวคิดของรัฐ ==
เข้าถึงจาก "https://th.wikipedia.org/wiki/รัฐ"