ผลต่างระหว่างรุ่นของ "นักเคมี"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Sirirat Tongyou (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Boom1221 (คุย | ส่วนร่วม)
อาจจะลอกมา
บรรทัด 7:
ที่เป็นประโยชน์ นักเคมีอาจมีความรู้เฉพาะในระเบียบย่อยใด ๆ ของเคมีก็ได้ นัก[[วัสดุศาสตร์]]และช่างโลหะ<!--metallurgist--> มีพื้นฐานความรู้และทักษะทางเคมีเหมือนกัน งานของนักเคมีมักมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานของ[[วิศวกรรมเคมี]] ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการออกแบบ การสร้าง และการประเมินค่าของ[[โรงงานเคมี]]ขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพทางต้นทุนสูงสุด และทำงานในระดับเคมีอุตสาหกรรมในการพัฒนากระบวนการและวิธีการใหม่ ๆ สำหรับการผลิตสารเคมีและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องในเชิงพาณิชย์
 
== แหล่งข้อมูลอื่ ผู้นอื่น ==
*แบร์ซีเลียส (Berzelius) นักเคมีผู้ปฏิรูปการเขียนภาษาเคมี
[[ไฟล์:Berzelius.jpg|150px|thumbnail|left|แบร์ซีเลียส]]
:พ.ศ.2322 - 2391
ตำราเคมีในโบราณมักมีรูปภาพและลักษณ์ประหลาดๆเกลื่อนกลาดไปหมดเพราะนักเล่นแปรธาตุในสมัยนั้นต่างก็กำหนดภาษาขึ้นใช้เองเพื่อไม่ให้บุคคลอื่นเข้าใจและต้องการให้ผู้อ่านสับสนเช่นใช้สัญลักษณ์สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนแทนสบู่ใช้วงกลมสองวงที่มีเส้นตรงเส้นหนึ่งเชื่อมโยงแทนแก้วและใช้วงกลมเดียวแทนทองคำดังนั้นตำราเคมีจึงมีภาพแปลกๆมากมายจนเสมือนถูกเขียนเป็นภาษาอียิปต์โบราณด้วยอักษร hieroglyphic นอกจากนี้ตำรายังขาดความสม่ำเสมอด้วย เช่น อันโตนิโอ เนรี นักเคมีชาวอิตาลี ใช้สัญลักษณ์ไม่ต่ำกว่า 20 รูปแบบแทนปรอทด้านเดียวส่วนตะกั่วก็ใช้สัญลักษณ์ที่ต่างกันถึง 14 รูปแบบเป็นต้น เมื่อถึงยุคของพรีลต์ลีย์ โลหะที่ผู้คนสมัยนั้นรู้จักมีเจ็กชนิด คือ ทองคำ เงิน ตะกั่ว ดีบุก ทองแดง เหล็ก และบรอนซ์ ส่วนดาวเคราะห์ที่รู้จักมีห้าดวงซึ่งถ้ารวมดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็เป็นเจ็ดดวง ด้วยเหตุนี้ชนเผ่าดาลเดียนจึงกำหนดเทพเจ้าประจำดาวแต่ละดวงและโลหะแต่ละชนิดเช่น ทองคำคู่กับดวงอาทิตย์ เงินคู่กับดวงจันทร์ ตะกั่วคู่กับดาวเสาร์ ดีบุกคู่กับดาวพฤหัสบดี เหล็กคู่กับดาวอังคาร ทองแดงคู่กับดาวศุกร์ และบรอนซ์คู่กับ ดาวพุธ สัญลักษณ์ที่ใช้แทนโลหะจึงเป็นภาพดาวที่คล้องจองกัน ในเวลาต่อมานักเคมีได้รู้จักธาตุและสารประกอบมากขึ้น เช่น นิกเกิล สังกะสี พลวง โคนอลต์ กรดกำมะถัน ฯลฯ การตั้งชื่อและเรียกชื่อจึงยิ่งสับสน จึงลาวัวซีเยต้องคิดการเรียกชื่อสารเคมีใหม่ เช่นใช้วงกลมและใส่อักษรกรีก หรือละตินซึ่งเป็นอักษรตัวแรกของชื่อธาตุลงในวงกลมนั้น ใน พ.ศ. 2239
แบร์ซีเลียส แห่งมหาวิทยาลัยอุปชอลาในสวีเดนจึงเข้ามาจัดวิธีการสื่อสารทางเคมมีให้เป็นระบบยอนส์ ยาคอบ แบร์ซีเลียส เกิดเมื่อปี พ.ศ.2322 ในครอบครัวมีฐานะยากจน เมื่อบิดาเสียชีวิต เด็กชายแบร์ซีเลียสจึงไปเรียนที่โรงเรียนแห่งเมืองลินคอปิง ในเบื้องต้นแบร์ซีเลียสใฝ่ฝันจะเป็นนักเทศน์แต่เมื่อเรียนๆไปเขากลับสนใจธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต และพยายามหาเงินเรียนหนังสือด้วยการสอนพิเศษให้ลูก
 
 
 
 
*เวอเลอร์ (Wöhler) ผู้บุกเบิกการสังเคราะห์สารอินทรีย์
[[ไฟล์:Wohler.jpg|150px|thumbnail|left|เวอเลอร์]]
:พ.ศ.2343 – 2425
นักเคมีเมื่อ 200 ปีก่อนเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีสารชนิดหนึ่งที่เรียกพลังชีวิต(Vital force) ซึ่งสิ่งไม่มีชีวิตไม่มี ดังนั้นสารใดก็ตามที่มีในสิ่งมีชีวิตมนุษย์จะสังเคราะห์จากสิ่งไม่มีชีวิตไม่ได้นั่นคือ มนุษย์ไม่มีวันเก่งเท่าธรรมชาติ แม้แต่ปราชญ์ เช่น แบร์ซีเลียสก็เคยปรารฏว่า นักเคมีไม่สามารถสร้างสารอินทรีย์จากสารอนินทรีย์ได้และเลโอโปลด์ เมลลิน (Leopold Gmelin) ผู้เป็นอาจารย์ของ
ฟรีดริซ เวอเลอร์ (Friedrich Wohler) ก็เชื่อเช่นเดียวกันว่าไม่มีใครสามารถสังเคราะห์สารอินทรีย์ได้ แต่ ฟรีดริซ เวอเลอร์ วัย23ปี ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากการฝึกงานที่ห้องปฏิบัติงานเคมีของแบร์ซีเลียสที่สตอกโฮล์มเพื่อมาสอนที่โรงเรียนธุรกิจในนครเบอร์ลินกลับไม่เชื่อ เขาคิดว่าถ้าพระเจ้าสร้างกฎข้อห้ามนี้ มนุษย์ก็ต้องหาวิธีฝ่าฝืน ดังนั้นเวอเลอร์จึงคิดจะหา Vital force ให้จงได้ ซึ่งถ้าพบเขาก็จะทำให้วิทยาการเคมีก้าวหน้าเพราะนักเคมีจะใช้ Vital force ผลิตสารอินทรีย์ต่างๆได้หมดและความสำเร็จนี้จะยิ่งใหญ่เทียบเท่าความสำเร็จของลาวัวซีเยที่พบว่าสารโฟลจิสตันไม่มีในธรรมชาติ เวอเลอร์เริ่มทำงานโดยศึกษาผลงานของ มิเชล อูเซ แชฟเวิล นักเคมีชาวฝรั่งเศสผู้พบว่าไขมันที่มีในสัตว์และในพืชมีองค์ประกอบที่เหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงคิดว่า ความเชื่อที่ว่าพืชกับสัตว์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนั้นไม่ถูกต้องและไม่สมควรเชื่ออีกต่อไป เวอเล่อร์เริ่มทำงานอย่างช้าๆโดยใช้สารอนินทรีย์ต่างๆทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาจำได้ว่าเมื่อครั้งที่ไปฝึกงานที่ห้องปฏิบัติการของแบร์ซีเลียส เขาเคยสร้างผลึกสีขาวแต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ในที่สุดหลังจากเพียรพยายามทดลองนาน4ปี เหตุการณ์มหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อเขาเห็นผลึกสีขาวรูปร่างคล้ายเข็มและมีสีสุกใสเหมือนผลึกที่ รูแอล(Rouelie) อาจารย์เคมีของลาวัวซีเยเคยพบในปัสสาวะเมื่อ 50ปีก่อน และในเวลาต่อมา ฟูร์ครัวตั้งชื่อผลึกนั้นว่า ยูเรีย และผลึกนี้จะพบเฉพาะในสิ่งมีชีวิตเท่านั้น เวอเล่อร์มั่นใจว่าสิ่งที่เขาเห็นในห้องปฏิบัติการคือ ผลึกยูเรีย เพราะเขาเคยเขียนเรียงความเรื่องของเสียที่พบในปัสสาวะ เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะการสังเคราะห์ยูเรียได้ในห้องปฏิบัติการเป็นการทำลายความเชื่อเดิมที่ผิด และวิธีการของเขาจะเปิดประตูใหม่ให้นักเคมีสามารถสังเคราะห์สารอินทรีย์ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งมีชีวิตอีกต่อไป
 
 
 
 
<ref>สุทัศน์ ยกส้าน, 2554</ref>
== แหล่งข้อมูลอื่ ผู้น ==
*{{Commons category-inline|Chemist|นักเคมี}}