ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ราชอาณาจักรอิตาลี"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
บรรทัด 337:
โดยส่วนตัวแล้ว มุสโสลีนีและกลุ่มฟาสซิสต์อิตาลีได้แสดงถึงการไม่ยอมรับรัฐบาลพรรคนาซีถึงแม้ว่าจะมีอุดมการณ์ที่คล้ายคลึงกันก็ตาม ตัวของมุสโสลีนีเองก็มีทัศนคติที่ไม่ยอมรับฮิตเลอร์ด้วยเช่นกัน ฝ่ายฟาสซิสต์ไม่ไว้วางใจในแนวคิดรวมเยอรมัน ([[Pan-German]]) ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นภัยคุกคามอิตาลีซึ่งในประวัติศาสตร์มีพื้นที่หลายส่วนอยู่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของ[[จักรวรรดิออสเตรีย]]มาก่อน ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าฝ่ายนาซีเองจะไม่ยอมรับในตัวมุสโสลีนีกับพรรคฟาสซิสต์อิตาลีก็ตาม แต่ฮิตเลอร์เองกลับเลื่อมใสในวิสัยทัศน์และวาทศิลป์ของมุสโสลีนีมาก และได้ยอมรับเอาสัญลักษณ์ของฟาสซิสต์อิตาลีหลายอย่างมาใชในพรรคนาซี เช่น การแสดงความเคารพด้วยการเหยียดแขนตรงอย่างที่เรียกว่า ''[[โรมันซาลูต]]'' (Roman salute) การใช้วาทศิลป์ที่กินใจ การใช้กองกำลังกึ่งทหารในเครื่องแบบในการใช้กำลังทางการเมือง และการเดินขบวนของมวลชนเพื่อแสดงพลังในการเคลื่อนไหว ในปี [[ค.ศ. 1922]] ฮิตเลอร์ได้พยายามขอคำแนะนำจากมุสโสลีนีในการจัดการรณรงค์แบบ[[การสวนสนามแห่งโรม]]ในแบบของเขาเอง ซึ่งเขาจะเรียกชื่อมันว่า ''การสวนสนามแห่งเบอร์ลิน'' (การรณรงค์ครั้งนี้ในเวลาต่อมาคือเหตุการณ์โค่นล้มรัฐบาล[[สาธารณรัฐไวมาร์]]ที่ล้มเหลวในปี [[ค.ศ. 1923]] ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ''[[กบฏโรงเบียร์]]'' (Beer Hall Putsch) ทว่าในเวลานั้นมุสโสลีนีมิได้ตอบรับคำขอของฮิตเลอร์เพราะเขาไม่ได้สนใจขบวนการของฮิตเลอร์มากนักและคิดว่าฮิตเลอร์ค่อนข้างบ้า<ref>Smith, 1983. p172</ref> มุสโสลีนีเคยพยายามอ่านหนังสือ ''[[ไมน์คัมพฟ์]]'' (''การต่อสู้ของข้าพเจ้า'') ซึ่งเป็นชีวประวัติของฮิตเลอร์ เพื่อค้นหาว่าขบวนการสังคมนิยมแห่งชาติของฮิตเลอร์คืออะไร แต่ไม่ช้าเขาก็พบกับความผิดหวัง โดยกล่าวว่าหนังสือ ''ไมน์คัมพฟ์'' เป็น "หนังสือเล่มโตที่น่าเบื่อซึ่งเขาไม่คิดจะอ่านมันอีก" และยังย้ำด้วยว่าความเชื่อของฮิตเลอร์เป็นสิ่งที่ "เล็กน้อยยิ่งกว่าเรื่องดาษๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำซากอยู่ทุกวัน"<ref name="Smith_3"/> ขณะที่มุสโสลีนีชอบฮิตเลอร์ในแง่ที่เขาสนับสนุนความเป็นเลิศในทางวัฒนธรรมและจริยธรรมของตนผิวขาวว่าเหนือกว่าชนชาติอื่นในโลก<ref name="Sarti"/> เขากลับคัดค้านความคิดต่อต้านยิวของฮิตเลอร์ ทั้งนี้เพราะชาวลัทธิฟาสซิสต์จำนวนมากเป็นคนยิว ซึ่งรวมถึงภรรยาน้อยของมุสโสลีนีคนหนึ่งที่มีชื่อว่า [[มาร์เกริตา ซาร์ฟัตตี]] (Margherita Sarfatti) ซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลปะและโฆษณาการของพรรคฟาสซิสต์ พรรคฟาสซิสต์ได้รับการสนับสนุนจากพวกต่อต้านยิวเพียงเล็กน้อย มุสโสลีนีเองก็ไม่ได้คิดจะตีราคาทางเชื้อชาติด้วยต้นกำเนิดแห่งความเป็นเลิศ เขาต้องการใช้วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการประเมินค่ามากกว่า
 
ฮิตเลอร์และพรรคนาซีพยายามทาบทามมุสโสลีนีให้สนับสนุนการดำเนินงานของพวกเขาต่อไป และไม่นานหลังจากนั้นมุสโสลีนีก็ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่พรรคนาซี และอนุญาตพรรคนซีฝึกหัดกองกำลังติดอาวุธของตนเองได้ เพราะเขาเชื่อว่าถึงแม้จะมีความแตกต่างกัน แตะแต่ระบอบฟาสซิสต์แบบเยอรมนี (หมายถึงพรรคนาซี) ก็น่าจะเป็นประโยชน์แก่อิตาลีอยู่บ้าง<ref name="Smith_3"/> ความคลางแคลงใจในพรรคนาซีได้เพิ่มสูงขึ้นหลังปี [[ค.ศ. 1933]] ทำให้มุสโสลีนีต้องหาทางรับประกันว่านาซีเยอรมนีจะไม่กลายเป็นรัฐฟาสซิสต์ที่โดดเด่นกว่าใครในทวีปยุโรป เพื่อการนี้ มุสโสลีนีจึงได้แสดงท่าทีคัดค้านความพยายามของเยอรมนีในการผนวกดินแดน[[ออสเตรีย]]หลังจากที่ประธานาธิบดีออสเตรีย [[เอนเกลแบรต์ ดอลล์ฟุส]] (Engelbert Dollfuss) ซึ่งเป็นผู้นิยมลัทธิฟาสซิสต์ ถูกลอบสังหารในปี [[ค.ศ. 1934]] และให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนกองทัพออสเตรียหากเยอรมนีเข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในของออสเตรีย คำมั่นสัญญาดังกล่าวได้ช่วยให้ออสเตรียรอดพ้นจากการถูกผนวกดินแดนในปี ค.ศ. 1934 ได้
 
[[ไฟล์:Bundesarchiv Bild 183-B23938, Adolf Hitler, Benito Mussolini.jpg|left|thumb|200px|หลังการเข้ายึดครอง[[เอธิโอเปีย]] [[มุสโสลีนี]]และ[[ฮิตเลอร์]]ได้ยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวของทั้งสองคนทั้งในทางส่วนบุคคลและในทางการเมืองจะยังคงตึงเครียดกันอยู่ก็ตาม]]
บรรทัด 347:
{{คำพูด|ประชาชนที่ยิ่งใหญ่ดังเช่นประชาชนชาวเยอรมนีจะต้องได้คืนซึ่งพื้นที่ที่ตนเองมีสิทธิครอบครอง และเป็นพื้นที่ซึ่งอยู่ภายใต้ดวงตะวันแห่งแอฟริกา|เบนิโต มุสโสลีนี, 28 ตุลาคม ค.ศ. 1937<ref>Gilbert. 1989. Pp 137</ref>}}
 
โดยไม่มีการคัดค้านอย่างสำคัญจากอิตาลี ฮิตเลอร์ได้ดำเนินการตามแผน ''[[อันชลูส์]]'' ({{lang-de|Anschluß}}) ด้วยการผนวกดินแดนออสเตรียเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีในปี [[ค.ศ. 1938]] ต่อมาเยอรมนีก็ได้อ้างสิทธิในเขต[[สุเดเตนแลนด์]] ซึ่งเป็นจังหวัดหนึ่งของ[[เชโกสโลวาเกีย]]ที่มีพลเมืองส่วนมากเป็นชาวเยอรมัน มุสโสลีนีรู้สึกว่าตนไม่มีทางเลือกมากนักแต่ก็จำต้องเข้าข้างเยอรมนีเพื่อหลีกเลี่ยงการโดดเดี่ยวอิตาลี จากการผนวกออสเตรียโดยเยอรมนีในปี ค.ศ. 1938 รัฐบาลฟาสซิสต์เริ่มวิตกถึงชาวเยอรมันส่วนใหญ่ซึ่งเป็นประชากรของแคว้นติรอลใต้ไม่ว่าว่าคนกลุ่มนี้อาจต้องการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ''[[เยอรมนีอันยิ่งใหญ่]]'' (Greater Germany) หรือไม่ และยังกังวลอีกด้วยว่าสมควรหรือไม่ที่อิตาลีจะตามรอยนโยบายต่อต้านยิวของพรรคนาซีเพื่อที่จะเอาใจเยอรมนีซึ่งมีความรู้สึกที่หลากหลายในเรื่องการเป็นพันธมิตรกับอิตาลี จะอย่างไรก็ตาม มุสโสลีนีก็ได้บังคับให้มีการผ่านกฎหมายต่อต้านชาวยิว แม้วว่าเคานท์[[กาลีซโซ ชิอานี]] ผู้เป็นลูกเขยและเป็นฟาสซิตส์อย่างเคร่งครัด จะได้ประณามกฎหมายฉบับนี้ก็ตาม หลังจากการตรากฎหมายฉบับดังกล่าวซึ่งได้รับการต่อต้านจากประชาชนเป็นอย่างมากแล้ว มุสโสลีนีและรัฐบาลฟาสซิสต์ก็ได้เรียกร้องการประนีประนอมจากฝ่านฮิตเลอร์และรัฐบาลนาซี ในปี [[ค.ศ. 1939]] รัฐบาลฟาสซิสต์ได้เรียกร้องฮิตเลอร์และรัฐบาลของเขายอมรับแผนการของอิตาลีโดยสมัครใจ ในการให้ชาวเยอรมนีในแคว้น[[ติรอลใต้]]ให้เลือกระหว่างการอพยพไปจากที่นั้นหรือการถูกบังคับให้ยอมรับความเป็นอิตาลี ฮิตเลอร์แสดงท่าท่าทียอมรับ การปฏิบัติต่อชาวเยอรมันในติรอลใต้จึงถูกทำให้เป็นกลางมานั้นแต่นั้น
 
เมื่อสงครามใกล้เข้ามาถึงในปี [[ค.ศ. 1939]] รัฐบาลฟาสซิสต์ได้เพิ่มการรณรงค์ผ่านสื่ออย่างก้าวร้าวเพื่อต่อต้าน[[ฝรั่งเศส]]โดยอ้างว่าชาวอิตาลีกำลังทนทุกข์ทรมานอยู่ในฝรั่งเศส<ref>Smith, 1997. 397</ref> สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญต่อพันธมิตรอักษะทั้งฝ่ายเยอรมนีและอิตาลีซึ่งร่วมกันอ้างสิทธิในฝรั่งเศส กล่าวคือเยอรมนีอ้างสิทธิใน[[แคว้นอัลซาซ]]และ[[ลอร์แรน]] ซึ่งเป็นแคว้นที่มีพลเมืองเชื้อสายเยอรมันอยู่มาก ส่วนอิตาลีก็ต้องการแย่งเอาภูมิภาค[[ซาวอย]]และและ[[เกาะคอร์ซิกา]]ซึ่งประชากรเป็นพวกลูกผสมอิตาลี-ฝรั่งเศสกลับคืนมา ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1939 การจัดตั้งพันธมิตรอย่างเป็นทางการได้เกิดขึ้นโดยรู้จักกันในนาน[[สนธิสัญญาเหล็ก]] ซึ่งบังคับให้อิตาลีต้องร่วมรบกับเยอรมนีในกรณีที่เกิดสงครามกับเยอรมนี มุสโสลีนีรู้สึกว่าตนถูกบังคับให้ลงนามในสนธิสัญญานี้แม้ว่าเขายังกังวลเป็นการส่วนตัวว่าสงครามจะปะทุขึ้นในอนาคตอันใกล้ การบังคับดังกล่าวนี้ได้เพิ่มขึ้นจากคำมั่นสัญญาที่เขาได้ให้ไว้แก่ชาวอิตาลีที่ว่าจะสร้าง[[จักรวรรดิโรมัน]]ใหม่ขึ้นมาและความทะเยอทะยานส่วนตัวที่ไม่ต้องการให้ฮิตเลอร์เป็นผู้นำยุโรปเพียงฝ่ายเดียว<ref>Smith, 1997. p401</ref> มุสโสลีนีถูกปฏิเสธจาก[[สนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพ]] ซึ่งเป็นข้อตกลงลับในการแบ่งแยก[[สาธารณรัฐโปแลนด์ที่สอง]]โดยเยอรมนีและ[[สหภาพโซเวียต]]สำหรับการรุกรานที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า รัฐบาลฟาสซิสต์รู้สึกว่านี่คือการทรยศต่อ[[สนธิสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์น]] แต่ได้ตัดสินใจว่าจะเก็บงำท่าทีอย่างเป็นทางการของตนเอาไว้<ref>Smith, 1997. 401</ref>