ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ฟร็องซิส ปีกาบียา"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 24:
ลุงของเขาเป็นคนรักศิลปะและนักสะสม ผู้ทำให้พิคาเบียมีความสนใจในจิตรกรคลาสสิคของฝรั่งเศส อาทิเช่น ''เฟลิกซ์ ซีม''(Felix Ziem) และ''เฟอร์ดินาน รอยเบิร์ด''(Ferdinand Roybert) ส่วนตาของเขาที่เป็นช่างภาพมือสมัครเล่น ก็ได้สอนเขาเกี่ยวกับการถ่ายภาพด้วย และหลังจากนั้นฟิคาเบียจึงได้ใช้กล้องเพื่อช่วยในการทำงานของเขา <ref>http://www.theartstory.org/artist-picabia-francis.htm</ref>
 
=== ช่วงแรกของการเป็นศิลปิน ===
ในปี 1895 พิคาเบียได้เข้าเรียนที่ ''École des Arts Decoratifs'' ถึง 2 ปี หลังจากนั้นเขาก็ได้ทำงานกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา''จอร์จ บราค''และ''มารี ลอเรนซิน''เป็นเวลา 4 ปีที่สตูดิโอของ''Cormon'' ระหว่างนั้นเขาได้สร้างผลงานที่เป็นงานสีน้ำและเคยถูกจัดแสดงที่ ''Salon des Artistes Francis'' อยู่หนหนึ่ง เขาละทิ้งงานสีน้ำแบบดั้งเดิมไปในเวลาอันสั้นและเริ่มหันไปทำงานแนว[[ลัทธิประทับใจ]]แทน ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก''กามีย์ ปีซาโร''และ''อัลเฟรด ซิสลีย์'' เขามีความเชื่อว่า “ภาพวาดไม่ได้เป็นตัวแทนของธรรมชาติ แต่เป็นอารมณ์ที่ถ่ายทอดมาจากประสบการณ์ของศิลปิน” และงานแนวลัทธิประทับใจ ก็สามารถเป็นสื่อที่ถ่ายทอดอุดมการณ์ของเขาได้
 
บรรทัด 31:
พิคาเบียได้พยายามค้นหาสไตล์งานอีกครั้งที่จะสามารถถ่ายทอดความเป็นปัญญาชนหัวก้าวหน้าของเขาได้อย่างเหมาะสมลงตัวที่สุด เขาทดลองเปลี่ยนจากสไตล์หนึ่งไปยังอีกสไตล์เช่น คติโฟวิสต์, [[ลัทธิคิวบิสม์]] และงาน[[ศิลปะนามธรรม]] แม้อนาคตของเขาในฐานะศิลปินจะยังมีความไม่แน่นอน แต่เขาและภรรยาก็เริ่มต้นสร้างครอบครัวด้วยการมีลูกคนแรกด้วยกันในปี 1910 และคนที่ 2 ในปีต่อมา เขาและภรรยาได้เข้าร่วม ''Sociètè Normande de Peinture Moderne'' ซึ่งเป็นที่ที่ส่งเสริมและสนับสนุน[[ความสัมพันธ์ของงานศิลปะแบบสหวิทยาการ]] และมันนำพามาสู่การจัดนิทรรศการเป็นประจำทุกปีและอีเว้นท์อื่นๆ เป็นการสร้างเครือข่ายและสังคมกับศิลปินคนอื่นๆ ในปี 1911 พิคาเบียได้พบกับ [[มาเซล ดูช็องป์]] ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ทั้งในชีวิตจริงและบนเส้นทางงานศิลปะ
 
=== การเป็นศิลปินอย่างเต็มตัว ===
ในปี 1912 พิคาเบียได้แสดงออกทางงาน Cubism อย่างรุนแรงขึ้น ภาพวาดของเขามาจากความทรงจำและประสบการณ์มากกว่าการได้แรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ จากการเข้าร่วม ''Armory Show'' ที่ นิวยอร์ก เขาแสดงผลงาน ''Danses à la source I'' (1912),''Souvenir de Grimaldi'' (1912), ''La Procession Seville'' (1912)และ'' ปารีส'' (1912). ผลงานของเขาถูกวิจารณ์ในหลายๆด้าน เช่นนักข่าวบางส่วนที่วิจารณ์สีสันที่ประสานกันอย่างลงตัวของเขาว่าเป็นสิ่งจอมปลอม แม้ว่าจะได้รับคำวิจารณ์เช่นนั้นในอเมริกา แต่เขาก็เลือกที่จะอยู่ต่อไปอีก 2 สัปดาห์กับ ''อัลเฟรด สติกกลิซ'' และแกลอรี 291 ของเขา เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง พิคาเบียได้หนีหลบซ่อนตัวไปอยู่ที่ [[บาร์เซโลนา]], [[นิวยอร์ก]]และ[[คาบสมุทธแคริบเบียน]] ตามลำดับ ผลจากสงครามทำให้เขาค้นพบงานแนวใหม่ที่เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนแห่งยุคอุตสาหกรรม เขาได้แสดงเครื่องวาดภาพเป็นครั้งแรกในปี 1916 ที่ ''Modern Gallery'' ในนิวยอร์กความสัมพันธ์ระหว่างเขาและภรรยาเริ่มจืดจางลงเมื่อเขาได้พบกับ[[เจอเมน เอเวอร์ลิง]]
 
บรรทัด 40:
หลังจากที่เขาล้มเลิกที่จะเป็นดาดา เขาก็หันมาสนใจการจัดนิทรรศการภาพวาดอีกครั้งหนึ่ง และในปี 1922 เขาได้แสดงที่ ''Salon d’Automne'' ด้วยเครื่องวาดภาพของเขาที่ใกล้เคียงกับภาพวาดในสไตล์สเปนมากขึ้น หลังจากที่เขาจากเพื่อนร่วมงานมากว่า 10 ปี และแสวงหาชีวิตใหม่กับภรรยาใหม่ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เขาทิ้งกรุงปารีสไปในปี 1925 และใช้ชีวิต 20 ปีอยู่ที่[[โกตดาซูร์]] เขาและภรรยาใช้เวลาพักผ่อนในบ้านที่[[คานส์]] และจ้างแม่นมมาดูแลลูกชายของพวกเขาที่ชื่อโลเรนโซซึ่งพิคาเบียได้เกิดหลงรักแม่นมที่ชื่อ[[โอลก้า โมเลอ]] ต่อมาไม่นานเขาก็เริ่มห่างกับเจอเมน และแยกกันอยู่อย่างเป็นทางการในปี 1933
 
=== บั้นปลายชีวิต ===
ในปี 1928 พิคาเบียแสดงผลงานภาพวาดของเขาในขื่อ ''Transparency (c.1928-31)'' ที่ ''Galerie Theophile Briant'' นักวิจารณ์ภาพยนตร์ [[กัสตัน ราเวล]] เรียก Sur-impressionism ในฐานะที่เป็นภาพลักษณ์แบบ[[นีโอโรมานซ์]] ของฉากในภาพยนตร์ ''Transparency (c.1928-31)'' ได้รับเสียงตอบรับอย่างอบอุ่นจากผู้ชมของเขา โดยเฉพาะ Duchamp
หลังจากนั้นเลออองซ์ โรเซนเบิร์ก ผู้ซื้อผลงานของเขาก็ได้ให้คำนิยามว่า “สมาคมแห่งสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น...มันเป็นความคิดในขณะหนึ่งของช่วงเวลาที่ถือว่าเป็นกฎเกณฑ์อันแม่นยำของศิลปะของคุณ มันเหนือกว่าการดำเนินต่ออย่างฉับพลันทันทีอย่างไม่มีที่สุด ซึ่งคืออุดมการณ์ของคุณ” ระหว่างการใช้ชีวิตอยู่ที่คานส์ เขาค่อนข้างเป็นที่โด่งดังในท้องถิ่นนั้น มีเพื่อนที่มีชื่อเสียงมาเยี่ยมเขาบ่อยครั้งอย่าง [[ฌาคส์ ดูเซต์]], [[ปิแอร์ เดอ มาซซอต]] และมาเซล ดูช็องป์. พิคาเบียมีความสุขกับช่วงเวลานั้นมาก เขาทั้งซื้อของรถหรูหราราคาแพงและเรือยอร์ช