ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เติ้ง ชุ่ยเหวิน"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 69:
และในปี 2006 เติ้งชุ่ยเหวินก็ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล TV Queen อีกครั้ง กับบท '''ฮิลด้า''' บอสสาวสุดโหดที่ใช้อำนาจบังคับกะเกณฑ์คนรอบข้างให้เป็นไปอย่างใจนึก จากละคร La Femme Desperado ละครนอกสายตาสุดฟีเวอร์แห่งปี ที่สร้างกระแสทอล์คออฟเดอะทาวน์ ว่าด้วยเรื่องที่สาวๆชาวฮ่องกงต่างเลียนแบบการกระทำของฮิลด้า ด้วยการแห่แหนไปขอรับบริจาคอสุจิเพื่อการตั้งครรภ์โดยไม่ต้องมีคู่รัก ซึ่งทำให้คริสเตียนหมาดๆอย่างเธอถึงกับช็อค และออกมายอมรับว่าถ้ามีโอกาสได้ตัดสินใจเลือกอีกครั้งหนึ่ง ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะตกลงปลงใจรับแสดงละครเรื่องนี้อีกหรือไม่
 
เติ้งชุ่ยเหวินยังสามารถพิสูจน์ตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการพาละครฟอร์มเล็กเกี่ยวกับชีวิตแม่บ้านและปัญหาครอบครัวอย่าง The Family Link ให้ขึ้นไปเป็นละครที่มีเรตติ้งสูงสุดในครึ่งปีแรกของปี 2007 แม้เธอจะเอ่ยปากว่า บทแม่บ้านที่อุทิศตัวเองให้กับการดูแลลูกและครอบครัวนั้น ช่างเป็นบทที่แสนจะห่างไกลจากตัวตนของเธอเสียเหลือเกิน
 
และแล้วในที่สุดความมุมานะอุตสาหะของเธอก็สัมฤทธิ์ผล เมื่อละคร Rosy Business หรือยอดหญิงจอมทระนง กลายเป็นละครม้ามืดแห่งปี 2009 ที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านเรตติ้งและรางวัล จนทำให้เธอและ '''หลีเย่าเสียง''' พระเอกของเรื่อง จับมือกันสร้างปรากฏการณ์คู่จิ้นรุ่นใหญ่ขึ้นใหม่อีกครั้ง และพากันคว้ารางวัล TV King และ TV Queen ไปครอบครองได้อย่างงดงาม ความสำเร็จของ Rosy Business ยังส่งผลให้มีการสร้างภาคต่ออย่าง No Regrets ในปี 2010 ซึ่งกลายเป็นละครที่ประสบความสำเร็จในวงกว้างยิ่งกว่าภาคแรก โดยมีเรตติ้งสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของปี รองจาก Can't buy me love หรือองค์หญิงจอมจุ้นวุ่นรักอลเวง และรางวัล TV King กับ TV Queen สมัยที่ 2 ของเธอและหลีเย่าเสียงเป็นเครื่องการันตี ทั้งนี้เธอยังสามารถคว้ารางวัล Most Popular Artist ประจำปี 2011 จากกรุงปักกิ่งมาครอบครองได้อีกด้วย กล่าวคือ ถ้าหากดาบมังกรหยกคือมาสเตอร์พีชยุคแรกของเธอ และศึกรักจอมราชันย์คือยุคกลาง เช่นนั้น No Regrets ก็คือมาสเตอร์พีชยุคหลังที่ทำให้เธอโด่งดังเสียยิ่งกว่ายุครุ่งเรืองในอดีต