ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เติ้ง ชุ่ยเหวิน"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Pattarain (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Pattarain (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 6:
| caption =
| birthname = Tang Shui Man
| nickname = ท่านประธาน (主席), สาวเหวิน (雯女), Miss 9
| nickname =
| birthdate = {{birth date and age|1966|3|2}}
| birthplace = [[ฮ่องกง]]
บรรทัด 15:
| othername =
| occupation = นักแสดง
| yearsactive = ค.ศ. 1985-ปัจจุบัน
| notable role = War and Beauty, Rosy Business, No Regrets, La Femme Desperado
| เครื่องดนตรี =
บรรทัด 46:
'''เติ้งชุ่ยเหวิน''' ({{zh-all|t=鄧萃雯|s=邓萃雯|p=Dèng Cuìwén}}, {{lang-en|Sheren Tang}}) นักแสดงหญิงที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของฮ่องกง เจ้าของรางวัล TV Queen 2 ปีซ้อนคนแรกในประวัติศาสตร์สถานีโทรทัศน์ TVB และได้รับขนานนามว่า Costume Beauty เป็นที่รู้จักในแวดวงบันเทิงมังกรไทยในบท '''จิวจี้เยียก''' จากเรื่องดาบมังกรหยก '''หยูเฟย''' จากเรื่องศึกรักจอมราชันย์ '''ฮูหยิน 4 คังเป่าฉี''' จากเรื่องยอดหญิงจอมทระนงและล่าสุดกับบท [[บูเช็กเทียน|บูเช็คเทียน]] จากเหม่ยเหรินจื้อจ้าว
 
==ชีวิตช่วงต้น==
==ประวัติ==
เติ้งชุ่ยเหวินลืมตาดูโลกในวันที่ 2 มีนามคม ปี 1966 ณ เกาะฮ่องกง ในขณะที่ผู้เป็นแม่อายุแค่เพียง 17 ปีเท่านั้น ความไม่พร้อมในหลายๆด้าน และปัญหาเรื่องฐานะการเงิน จึงทำให้พ่อและแม่ของเธอตัดสินใจแยกทางกันเมื่อตอนที่เธออายุได้ 5 ขวบ เติ้งชุ่ยเหวินจึงเติบโตมาจากการเลี้ยงดูของตากับยายผู้เข้มงวดกวดขัน และดิ้นรนหาเลี้ยงปากท้องจนสามารถส่งเสียเธอให้เรียนจบมัธยมปลายในโรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังได้ แต่ด้วยความดุดันและช่องว่างระหว่างวัย ตลอดจนไม่ค่อยมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่บริเวณที่พักอาศัยมากนัก จึงทำให้เธอต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพังคนเดียว หลายครั้งก็ต้องเล่นกับตัวเอง พูดกับตัวเอง
เติ้งชุ่ยเหวินเป็นนักเรียนการแสดงรุ่นที่ 2 ของทีวีบี จบหลักสูตรเมื่อปี 1985 เพื่อนร่วมรุ่นที่สนิทสนมก็คือ "หลีเหม่ยเสียน" เธอเคยได้รับสมญานามว่า "สาวงามในชุดโบราณที่เลอโฉมที่สุด" และ "องเหม่ยหลิงน้อย" (โดยเธอถูกคาดหวังว่าจะขึ้นมาแทนที่องเหม่ยหลิงผู้ล่วงลับไปก่อนวัยอันควรนั่นเอง)
 
เด็กสาวตากลมนางนี้แจ้งเกิดจากซีรี่ย์เรื่อง "ซิยิ่นกุ้ย ผู้พิชิตตะวันออก" ที่แสดงคู่กับวั่นจือเหลียง ตอนนั้นเธออายุ 19 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นเธอก็มีงานแสดงกับทีวีบีอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น "ดาบมังกรหยก" ในบท "จิวจี้เยี้ยก", เรื่อง "มังกรทลายฟ้า" คู่กับ "เหลียงเฉาเหว่ย", "ฤทธิ์นางจิ้งจอก" คู่กับ "กัวจิ้นอัน" นับเป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ในชีวิตการแสดงของเธอ
หลังจากเรียนจบมัธยมศึกษา เติ้งชุ่ยเหวินผู้โหยหาอิสระเสรีจากการถูกควบคุมอย่างเข้มงวดจากครอบครัว ก็ตัดสินใจหันหลังให้กับการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยและตั้งหน้าตั้งตาหางานทำในทันที ซึ่งงานที่เธอหมายมั่นปั้นมือในตอนแรกนั้นก็คืองานแอร์โฮสเตส ซึ่งเป็นงานที่สาวๆหลายคนต่างพากันใฝ่ฝัน แต่โชคชะตาไม่ได้กำหนดให้เธอเกิดมาเป็นนางฟ้าอยู่บนเครื่องบิน เติ้งชุ่ยเหวินที่กำลังผิดหวังจากการถูกปฏิเสธก็บังเอิญได้ไปพบกับป้ายรับสมัครนักเรียนการแสดงรุ่นใหม่ของ TVB เข้า ด้วยความที่เป็นคนชอบดูละครโทรทัศน์ประกอบกับหน้าตาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่นัก เธอจึงลองเสี่ยงดวงด้วยการหอบเอาความพลาดหวังจากงานแอร์โฮสเตสครั้งนั้น ไปสมัครเข้าโรงเรียนการแสดงของ TVB และได้กลายมาเป็นนักแสดงรุ่นใหม่ของช่องหลังจากนั้นเพียงไม่นาน
แต่ในระหว่างที่งานด้านการแสดงกำลังสดใส เธอเริ่มรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองได้รับแต่บทที่ไม่ดี และวงการบันเทิงไม่เหมาะกับนิสัยของเธอ ดังนั้นในปี 1991 เธอก็ปลีกตัวออกจากวงการบันเทิงไปเรียนต่อด้านมัณฑนศิลป์ที่สหรัฐฯ หลังจากนั้นในปี 1995 เธอหวนคืนสู่วงการบันเทิงอีกครั้ง โดยเริ่มแรกเธอกลับไปอยู่กับต้นสังกัดเดิมทีวีบี ก่อนจะย้ายไปแสดงหนังให้เอทีวีในเวลาต่อมา
 
เติ้งชุ่ยเหวินเปิดใจถีงการกลับมาครั้งนี้ว่า เป็นเพราะเธอใช้เงินไปไม่น้อยกับการกินอยู่เรียนหนังสือที่ต่างประเทศ ดังนั้นเธอจึงกลับมาเพื่อเก็บออมเงินสักก้อน ก่อนจะทำเรื่องย้ายถิ่นฐานไปอยู่เมืองนอก เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองเหมาะกับชีวิตในต่างแดนมากกว่า แต่ไปๆ มาๆ กลับรับงานแสดงมาเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะเธอโตขึ้นและเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น
 
หลังจากไปอยู่กับเอทีวีได้สักพัก ในปี 2000 เธอก็ตัดสินใจกลับมาซบอกทีวีบีอีกครั้ง และได้รับโอกาสให้เป็นหนึ่งในนักแสดงนำในเรื่อง "ศึกรักจอมราชันย์" ในปี 2004 ที่เธอรับบทเป็น "สนมหยู" ผู้เฉลียวฉลาดและมากด้วยแผนการ และเรื่องนี้เองส่งให้เธอกลับมาดังเปรี้ยงปร้างอีกครั้ง
ความโด่งดังของทั้งตัวซีรี่ย์และนักแสดง ทำให้ในปีนั้นเองเธอก็คว้ารางวัล "นักแสดงหญิงยอดนิยม" มาครอง เรียกได้ว่ากว่า "แมวเก้าชีวิต" ตัวนี้ จะกลับมาผงาดในวงการอีกครั้ง ก็ใช้เวลานานกว่า 10 ปีนับจากช่วงชีวิตที่เคยรุ่งโรจน์ของเธอในยุคแรกๆ
จากนั้นในปี 2009 เติ้งชุ่ยเหวินต่อยอดความดังจากบท "คุณนายที่ 4" ในเรื่อง "ยอดหญิงจอมทระนง" ซึ่งทำเรทติ้งสูงมาก ทำให้เธอได้รับยกย่องให้เป็น "ราชินีจอมกระชากเรทติ้ง" และคว้ารางวัล "นักแสดงนำหญิง" มานอนกอดอีกรางวัล
แม้ว่าชื่อเสียงของเติ้งชุ่ยเหวินจะกลับมาโด่งดัง และได้รับการต้อนรับอย่างดีจากทีวีบี แต่เธอก็เหมือนนักแสดงฮ่องกงคนอื่นๆ ที่หวังจะสามารถเจาะตลาดแผ่นดินใหญ่ที่มีผู้ชมนับพันล้านคน โดยผลงานล่าสุดของเธอก็คือ "องค์หญิงกำมะลอ" ฉบับใหม่ โดยครั้งนี้เธอรับบทเป็น "ฮองเฮา" คู่ปรับตลอดกาลของ "เสี่ยวเยี่ยนจื่อ" ข่าวแว่วว่า ภายในเวลาแค่ 2 เดือน เธอรับค่าตัวเนาะๆ ไปแล้วกว่า 4 ล้านหยวน
เธอเปิดเผยสาเหตุที่มารับงานแสดงเรื่องนี้ว่า เป็นเพราะประทับใจในความจริงใจของฉงเหยา เจ้าของบทประพันธ์และผู้สร้างละครนั่นเอง
โดยระหว่างที่เธอกำลังถ่ายทำละครเรื่อง "No Regrets" 《义海》 อยู่ที่ฮ่องกงนั้น เหอซิ่วฉง ลูกสะใภ้ของฉงเหยาได้บินมาทาบทามเธอที่ฮ่องกงหลายครั้ง และขณะที่ยังไม่รู้ว่าเติ้งชุ่ยเหวินจะรับงานนี้หรือไม่ เหอซิ่วฉงยังมอบบทละครให้เติ้งชุ่ยเหวินไว้อ่านก่อน ซึ่งในที่สุดเติ้งชุ่ยเหวินก็ตัดสินใจรับแสดง "ทีแรกฉันคิดจะปฏิเสธ เพราะเกรงใจไม่อยากให้ทางนั้นต้องรอฉันนานสองเดือนกว่า แต่ทางนั้นเห็นว่าบทนี้เหมาะกับฉัน และยินดีจะรอ"
ปกติแล้วละครของฉงเหยาจะไม่ค่อยใช้นักแสดงฮ่องกงเท่าไรนัก แต่กรณีของเติ้งชุ่ยเหวินนี้เป็นเพราะฉงเหยาประทับใจฝีมือการแสดงของเติ้งชุ่ยเหวินจากเรื่อง "ศึกรักจอมราชันย์" จึงได้ต้องการดึงเธอมาร่วมงานด้วยนั่นเอง
พักเรื่องงานมาเข้าเรื่องหัวใจกันบ้าง สมัยก่อนเมื่อครั้งที่แสดงเรื่อง "ซิยิ่นกุ้ย" เมื่อปี 1985 เติ้งชุ่ยเหวินเคยคบกับวั่นจื่อเหลียงพระเอกของเรื่องอยู่ 2 ปีกว่าก็เลิกรากันไป เรื่องราวความรักของเติ้งชุ่ยเหวินกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง เมื่อเธอร่วมงานละครเรื่องแรกกับเอทีวีในเรื่อง "I Have A Date With Spring"《我和春天有个约会》 ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่พูดถึงกันอย่างมาก ไม่ใช่ที่ตัวละคร แต่เป็นเพราะเติ้งชุ่ยเหวินไปปิ๊งรักนอกจอกับเจียงหวา ซึ่งแต่งงานแล้ว เรื่องราวความรักผิดทำนองคลองธรรมครั้งนี้กลายเป็นเรื่องเม้าท์กันสนุกปาก แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ครั้งนั้นก็จบลงโดยทิ้งความเจ็บปวดไว้ให้เธอไม่น้อย เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวครั้งนั้น เติ้งชุ่ยเหวินก็ยอมรับว่าเป็นการตัดสินใจเลือกทางเดินที่ผิดจริงๆ
 
==อ้างอิง==