ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แร่ใยหิน"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
บรรทัด 30:
===ความแตกต่างของผลกระทบทางสุขภาพจากเส้นใยชนิดต่างๆ===
 
ฝุ่นใยหินชนิดอะโมไซท์และโครซิโดไลท์เมื่อเข้าไปในปอดเมื่อเปรียบเทียบกับเส้นใยไครโซไทล์ โอกาสเกิดโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอดจะมีมากกว่า 100 และ 500 เท่าตามลำดับ และโอกาสเกิดมะเร็งปอดมากกว่า 10 และ 50 เท่า ตามลำดับ การที่อันตรายมาก-น้อยต่างกันสาเหตุเนื่องมาจากโครงสร้างและความ สามารถในการละลายตัว (biodurabilitybio-durability) ของเส้นใยหินแต่ละชนิด ดังมีข้อความในรายงานของ EPA ตอนหนึ่งที่ยกมาแสดงข้างใต้
 
เส้นใยไครโซไทล์มีพิสัยความสามารถถูกละลายหรือสลายตัว (Solubility) สูงมากและคุณสมบัติความทนทานของเส้นใย (bio-persistent fiber) พิสัยจะอยู่ที่ค่าต่ำสุดจนถึงค่าความทนทานของเส้นใยแก้วและหินเส้นใยไครโซไทล์จะมีค่าความทนทาน biopersistencebio-persistence ต่ำกว่าเส้นใยเซรามิกส์หรือเส้นใยแก้วชนิดพิเศษ (ข้อมูลจาก Hesterberg และคณะ – 1998) และต่ำกว่าของใยหินกลุ่มแอมฟิโบลค่อนข้างมาก เพื่อตรวจสอบทฤษฎีดังกล่าว EC ได้จัดตั้งคณะทำงานทำการศึกษาการได้รับฝุ่นใยหินในระบบหายใจเป็นระยะเวลา 5 วัน หลังจากนั้นการตรวจสอบสภาพของปอดเป็นระยะๆ เป็นเวลา 1 ปี (รายงานของ Bernstein & Riego – Sintes 1999) พบว่าสำหรับเส้นใยที่ความยาวมากกว่า 20 ไมครอน จะใช้ระยะเวลาการย่อยสลาย 50% 2-3 วันจน 100 วันโดยประมาณ
“บรรดาผู้ทรงคุณวุฒิที่เข้าร่วมประชุมได้เห็นพ้องกันเป็นเอกฉันท์ว่าข้อมูลนี้ เป็นหลักฐานที่แสดงว่าเส้นใยของใยหินกลุ่มแอมฟิโบลจะทำให้เกิดโรคมะเร็ง เยื่อหุ้มปอดได้มากกว่าเส้นใยไครโซไทล์ดังข้อมูลในรายงาน Review Document (Berman and Crump 2001) และ Re-analysis จาก 17 การศึกษา Cohort(Hodgson and Darnton 2000) แสดงว่าโอกาสเกิดโรคมะเร็งมากกว่าและมีผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ท่านได้เสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่าจากรายงานและข้อมูล ไม่พบหลักฐานว่าผู้ที่ปฏิบัติงานหรือเกี่ยวข้องอยู่กับเส้นใยไครโซไทล์เป็นโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอด ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ที่ไม่สามารถแสดงว่าข้อสงสัยที่ว่าเส้นใย ไครโซไทล์ทำให้โรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอดเป็นความจริง" <ref>http://www.epa.gov/oswer/riskassessment/asbestos/pdfs/asbestos_report.pdf (USA, 2003, page 3-13)</ref>
 
"ได้ทำการศึกษาโอกาสเกิดโรคมะเร็งปอดและมะเร็งเยื่อหุ้มปอดจากใยหินชนิดต่างๆโดยเก็บตัวอย่างจำนวนมาก ได้ข้อสรุปว่าใยหินชนิดอะโมไซท์ และโครซิโดไลท์ทำให้เกิดโรคดังกล่าวมากกว่าเส้นใยไครโซไทล์ 100 และ 500 เท่าตามลำดับ โดยสำหรับมะเร็งปอด ข้อมูลถึงแม้ไม่ชัดเจนมาก แต่พอสรุปได้ว่าใยหินชนิดแอมฟิโบล (อะโมไซท์และ โครซิโดไลท์) ทำให้เกิดโรคมากกว่าเส้นใยไครโซไทล์ 10-50 เท่า" <ref>Technical Support Document For A Protocol To Assess Asbestos-Related Risk, EPA USA, 2003. page 8.5</ref>
 
เส้นใยไครโซไทล์เป็นใย หินธรรมชาติและมีพิสัยความสามารถถูกละลายหรือสลายตัว (Solubility) สูงมากและคุณสมบัติความทนทานของเส้นใย (biopersistent fiber) พิสัยจะอยู่ที่ค่าต่ำสุดจนถึงค่าความทนทานของเส้นใยแก้วและหิน
เส้นใยไครโซไทล์จะมีค่าความทนทาน biopersistence ต่ำกว่าเส้นใยเซรามิกส์หรือเส้นใยแก้วชนิดพิเศษ (ข้อมูลจาก Hesterberg และคณะ – 1998) และต่ำกว่าของใยหินกลุ่มแอมฟิโบลค่อนข้างมาก เพื่อตรวจสอบทฤษฎีดังกล่าว EC ได้จัดตั้งคณะทำงานทำการศึกษาการได้รับฝุ่นใยหินในระบบหายใจเป็นระยะเวลา 5 วัน หลังจากนั้นการตรวจสอบสภาพของปอดเป็นระยะๆ เป็นเวลา 1 ปี (รายงานของ Bernstein & Riego – Sintes 1999) พบว่าสำหรับเส้นใยที่ความยาวมากกว่า 20 ไมครอน จะใช้ระยะเวลาการย่อยสลาย 50% 2-3 วันจน 100 วันโดยประมาณ
 
== อ้างอิง ==