ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ล เพิ่มหมวดหมู่:ผู้รอดชีวิตจากฝีดาษแล้ว ด้วยฮอทแคต |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 1:
{{ต้องการอ้างอิง}}
[[ไฟล์:Beethoven.jpg|250px|thumb|right|ลุ
'''ลุดวิก ฟาน
เบโธเฟ่นเป็นตัวอย่างของศิลปินยุคโรแมนติกผู้โดดเดี่ยว และไม่เป็นที่เข้าใจของบุคคลในยุคเดียวกันกับเขา ในวันนี้
== ประวัติ ==
บรรทัด 19:
ลุดวิก ฟาน เบโธเฟ่นเกิดที่เมือง[[บอนน์]] ([[ประเทศเยอรมนี]]) เมื่อวันที่ [[16 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2313|ค.ศ. 1770]] และได้เข้าพิธีศีลจุ่มในวันที่ [[17 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2313|ค.ศ. 1770]] เป็นลูกชายคนรองของโยฮันน์ ฟาน เบโธเฟ่น (Johann van Beethoven) กับ มาเรีย มักเดเลนา เคเวริค (Maria Magdelena Keverich) ขณะที่เกิดบิดามีอายุ 30 ปี และมารดามีอายุ 26 ปี ชื่อต้นของเขาเป็นชื่อเดียวกับปู่ และพี่ชายที่ชื่อลุดวิกเหมือนกัน แต่เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ครอบครัวของเขามีเชื้อสายเฟลมิช (จากเมือง[[เมเชเลน]]ใน[[ประเทศเบลเยียม]]) ซึ่งก็เป็นเหตุผลว่าเหตุใด นามสกุลของเขาจึงขึ้นต้นด้วย ''ฟาน'' ไม่ใช่ ''ฟอน'' ตามที่หลายคนเข้าใจ
บิดาเป็นนักนักร้องในคณะดนตรีประจำราชสำนัก และเป็นคนที่ขาดความรับผิดชอบ ซ้ำยังติดสุรา รายได้เกินครึ่งหนึ่งของครอบครัวถูกบิดาของเขาใช้เป็นค่าสุรา ทำให้ครอบครัวยากจนขัดสน บิดาของเขาหวังจะให้เบโธเฟ่น
แต่ด้วยความหวังที่ตั้งไว้สูงเกินไป (ก่อนหน้าเบโธเฟ่นเกิด
[[ค.ศ. 1777]] เบโธเฟ่นเข้าเรียนโรงเรียนสอนภาษาละตินสำหรับประชาชนที่เมืองบอนน์
[[ค.ศ. 1778]] การฝึกซ้อมมานานสองปีเริ่มสัมฤทธิ์ผล เบโธเฟ่นสามารถเปิดคอนเสิร์ตเปียโนในที่สาธารณะได้เป็นครั้งแรกในเดือน[[มีนาคม]] ขณะอายุ 7 ปี 3 เดือน ที่เมืองโคโลญจน์ (Cologne) แต่บิดาของเบโธเฟ่นโกหกประชาชนว่าเบโธเฟ่นอายุ 6 ปี เพราะหากอายุ
หลังจากนั้น เบโธเฟ่น
[[ค.ศ. 1784]] เบโธเฟ่น
[[ค.ศ. 1787]] เบโธเฟ่นเดินทางไปยังเมือง[[เวียนนา]](Vienna) เพื่อศึกษาดนตรีต่อ เขาได้
[[ค.ศ. 1788]] เบโธเฟ่นเริ่มสอนเปียโนให้กับคนในตระกูลบรอยนิงค์ เพื่อหาเงินให้ครอบครัว
บรรทัด 37:
[[ค.ศ. 1789]] เบโธเฟ่นเข้าเป็นนักศึกษาไม่คิดหน่วยกิตในมหาวิทยาลัยบอนน์
[[ค.ศ. 1792]] เบโธเฟ่นตั้งรกรากที่กรุง[[เวียนนา]] [[ประเทศออสเตรีย]] เบโธเฟ่นมีโอกาสศึกษาดนตรีกับ[[
[[ค.ศ. 1795]] เขาเปิดการแสดงดนตรีในโรงละครสาธารณะในเวียนนา และแสดงต่อหน้าประชาชน ทำให้เบโธเฟ่นเริ่มเป็นที่รู้จักของประชาชนมากขึ้น
บรรทัด 45:
[[ค.ศ. 1801]] เบโธเฟ่นเปิดเผยเรื่องปัญหาในระบบการได้ยินให้ผู้อื่นฟังเป็นครั้งแรก แต่ครั้งนี้สังคมยอมรับ ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องปกปิดเรื่องอาการหูตึงอีก หลังจากนั้น ก็เป็นยุคที่เขาประพันธ์เพลงออกมามากมาย แต่เพลงที่เขาประพันธ์นั้นจะมีปัญหาตรงที่ล้ำสมัยเกินไป ผู้ฟังเพลงไม่เข้าใจในเนื้อหา แต่ในภายหลัง เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้คนเริ่มเข้าใจในเนื้อเพลงของเบโธเฟ่น บทเพลงหลายเพลงเหล่านั้นก็เป็นที่นิยมล้นหลามมาถึงปัจจุบัน
เมื่อเบโธเฟ่นโด่งดังก็ย่อมมีผู้อิจฉา มีกลุ่มที่พยายามแกล้งเบโธเฟ่นให้ตกต่ำ จนเบโธเฟ่นคิดจะเดินทางไปยังเมืองคาสเซล ทำให้มีกลุ่มผู้ชื่นชมในผลงานของ
เบโธเฟ่นโด่งดังมากในฐานะคีตกวี อาการสูญเสียการได้ยินมีมากขึ้น แต่เขาพยายามสร้างสรรค์ผลงานจากความสามารถและสภาพที่ตนเป็นอยู่ มีผลงานชั้นยอดเยี่ยมให้กับโลกแห่งเสียงเพลงเป็นจำนวนมาก ผลงานอันโด่งดังในช่วงนี้ได้แก่ [[ซิมโฟนีหมายเลขห้าของเบโธเฟ่น|ซิมโฟนีหมายเลข 5]] ที่เบโธเฟ่นถ่ายทอดท่วงทำนองออกมาเป็นจังหวะ ''สั้น - สั้น - สั้น - ยาว'' อาการไม่ได้ยินรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และ ซิมโฟนีหมายเลข 9 ที่เขาประพันธ์ออกมาเมื่อหูหนวกสนิทตั้งแต่ปี [[ค.ศ. 1819]] เป็นต้นมา รวมทั้งบทเพลง[[ควอเต็ต]]เครื่องสายที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขาก็ประพันธ์ออกมาในช่วงเวลานี้เช่นกัน
บรรทัด 55:
[[12 ธันวาคม]] [[ค.ศ. 1826]] โรคเรื้อรังในลำไส้และตับของเบโธเฟ่นกำเริบหนัก อาการทรุดลงตามลำดับ
[[26 มีนาคม]] [[พ.ศ. 2369|ค.ศ. 1827]] เบโธเฟ่น
== รูปแบบทางดนตรีและนวัตกรรม ==
ในประวัติศาสตร์ดนตรีแล้ว ผลงานของเบโธเฟ่นแสดงถึงช่วงรอยต่อระหว่างยุคคลาสสิก ([[ค.ศ. 1750]] - [[ค.ศ. 1810]]) กับ
เขาได้ประพันธ์[[
หากจะนับว่าผลงานของเขาประสบความสำเร็จต่อสาธารณชน นั่นก็เพราะแรงขับทางอารมณ์ที่มีอยู่อย่างเปี่ยมล้นในงานของเขา
บรรทัด 71:
เบโธเฟ่นยังเป็นบุคคลแรก ๆ ที่ศึกษาศาสตร์ของวง[[ออร์เคสตรา]]อย่างพิถีพิถัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาบทเพลง การต่อบทเพลงเข้าด้วยกันโดยเปลี่ยนรูปแบบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโน้ตแผ่นที่เขาเขียนให้เครื่องดนตรีชิ้นต่าง ๆ นั้น ได้แสดงให้เห็นวิธีการนำเอาทำนองหลักกลับมาใช้ในบทเพลงเดียวกันในรูปแบบที่มีเอกลักษณ์ โดยมีการปรับเปลี่ยนเสียงประสานเล็กน้อยในแต่ละครั้ง การปรับเปลี่ยนโทนเสียงและสีสันทางดนตรีอย่างไม่หยุดยั้ง เปรียบได้กับการเริ่มบทสนทนาใหม่ โดยที่ยังรักษาจุดอ้างอิงของความทรงจำเอาไว้
สาธารณชนในขณะนี้จะรู้จักผลงาน[[ซิมโฟนี]]และ[[คอนแชร์โต]]ของเบโธเฟ่นเสียเป็นส่วนใหญ่ มีน้อยคนที่ทราบว่าผลงานการคิดค้นแปลกใหม่ที่สุดของเบโธเฟ่นนั้นได้แก่[[
=== ผลงานซิมโฟนี ===
[[
ซิมโฟนีสองบทแรกของเบโธเฟ่นได้รับแรงบันดาลใจและอิทธิพลจากดนตรีใน[[ยุคคลาสสิก]] อย่างไรก็ดี ซิมโฟนีหมายเลข 3 ที่มีชื่อเรียกว่า ''"อิรอยก้า"'' จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการเรียบเรียงวง[[ออร์เคสตรา]]ของเบโธเฟ่น ซิมโฟนีบทนี้แสดงถึงความทะเยอทะยานทางดนตรีมากกว่าบทก่อน ๆ
{{listen|filename=Ludwig van Beethoven - Symphonie 5 c-moll - 1. Allegro con brio.ogg|title=Symphonie 5 c-moll - 1. Allegro con brio}}
แม้ว่าจะถูกมองว่าเป็น[[ซิมโฟนี]]ที่สั้นกว่าและคลาสสิกกว่า[[ซิมโฟนี]]บทก่อนหน้า ท่วงทำนองของโศกนาฏกรรมในท่อน[[โหมโรง]]ทำให้ซิมโฟนีหมายเลข 4 เป็นส่วนสำคัญของพัฒนาการทางรูปแบบของเบโธเฟ่น ต่อจากนั้นก็ตามมาด้วยซิมโฟนีสุดอลังการสองบทที่ถูกประพันธ์ขึ้นในคืนเดียวกัน อันได้แก่ซิมโฟนีหมายเลข 5 และซิมโฟนีหมายเลข 6 - หมายเลข 5 นำเสนอทำนองหลักเป็นโน้ตสี่ตัว ''สั้น - สั้น - สั้น - ยาว'' สามารถเทียบได้กับซิมโฟนีหมายเลข 3 ในแง่ของความอลังการ และยังนำเสนอรูปแบบทางดนตรีใหม่ด้วยการนำทำนองหลักของโน้ตทั้งสี่ตัวกลับมาใช้ตลอดทั้งเพลง ส่วนซิมโฟนีหมายเลข 6 ที่มีชื่อว่า ''
แม้ว่าซิมโฟนีหมายเลข 7 จะมีท่อนที่สองที่ใช้รูปแบบของเพลง[[มาร์ช]]งานศพ แต่ก็โดดเด่นด้วยรูปแบบที่สนุกสนานและจังหวะที่รุนแรงเร่าร้อนในท่อนจบของเพลง [[ริชาร์ด วากเนอร์]]ได้กล่าวถึงซิมโฟนีบทนี้ว่า เป็น ''"ท่อนจบอันเจิดจรัสสำหรับการเต้นรำ"'' ซิมโฟนีบทต่อมา (ซิมโฟนีหมายเลข 8) เป็นการย้อนกลับมาสู่รูปแบบคลาสสิก ด้วยท่วงทำนองที่เปล่งประกายและสื่อถึงจิตวิญญาณ
ท้ายสุด ซิมโฟนีหมายเลข 9 เป็นซิมโฟนีบทสุดท้ายที่เบโธเฟ่นประพันธ์จบ นับเป็นอัญมณีแห่งซิมโฟนีทั้งหลาย ประกอบด้วยบทเพลงสี่ท่อน รวมความยาวกว่าหนึ่งชั่วโมง และมิได้ยึดติดกับรูปแบบของ[[โซนาตา]] แต่ละท่อนของซิมโฟนีบทนี้นับได้ว่าเป็นผลงานชั้นครูในตัวเอง แสดงให้เห็นว่าเบโธเฟ่นได้หลุดพ้นจากพันธนาการของยุคคลาสสิก และได้ค้นพบรูปแบบใหม่ในการเรียบเรียงเสียงประสานของวง[[ออร์เคสตรา]]ในที่สุด ในท่อนสุดท้าย เบโธเฟ่นได้ใส่บทร้องประสานเสียงและวง[[ควอเต็ต]]ประสานเสียงเข้าไป เพื่อขับร้อง ''"บทเพลงแห่งความอภิรมย์"'' ซึ่งเป็นบทกวีของ [[
นอกเหนือจากซิมโฟนีแล้ว เบโธเฟ่นยังได้ประพันธ์ ''[[คอนแชร์โต]]สำหรับ[[ไวโอลิน]]'' ที่สุดแสนไพเราะไว้อีกด้วย และได้ถ่ายทอดบทเพลงเดียวกันออกมาเป็น[[คอนแชร์โต]]สำหรับ[[เปียโน]] ที่ใช้ชื่อว่า ''คอนแชร์โตหมายเลข 6'' นอกจากนั้นก็ยังมี [[คอนแชร์โต]]สามชิ้นสำหรับ[[ไวโอลิน]] [[เชลโล]] และ [[เปียโน]] และ[[คอนแชร์โต]]สำหรับ[[เปียโน]]อีก 5 บท ซึ่งในบรรดา[[คอนแชร์โต]]ทั้งห้าบทนี้ ''[[คอนแชร์โต]]หมายเลข 5 สำหรับ[[เปียโน]]'' นับว่าเป็นรูปแบบของเบโธเฟ่นที่เด่นชัดที่สุด แต่ก็ไม่ควรลืมช่วงเวลาอันเข้มข้นในท่อนที่สองของ''[[คอนแชร์โต]]หมายเลข 4 สำหรับ[[เปียโน]]''
เบโธเฟ่นยังได้ประพันธ์เพลงโหมโรงอันเยี่ยมยอดไว้หลายบท (''เลโอนอเร่'', ''ปิศาจแห่ง[[โพรเมเธอุส]]'') [[
นอกจากนี้ยังมีเพลงสวด[[มิสซา]] ซึ่งมี ''มิสซา โซเลมนิส'' โดดเด่นที่สุด ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผลงานดนตรีขับร้องทางศาสนาที่สำคัญที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ท้ายสุด เบโธเฟ่นได้ฝากผลงานประพันธ๋[[
=== บทเพลงสำหรับเปียโน ===
บรรทัด 107:
Enfin, en 1822, l’éditeur (et lui-même compositeur) [[Anton Diabelli]] eut l’idée de réunir en un recueil des pièces des compositeurs majeurs de son époque autour d’un unique thème musical. L’ensemble de ces variations devait servir de panorama musical de l’époque. Beethoven, sollicité, et qui n’avait pas écrit pour le piano depuis longtemps, se prit au jeu, et au lieu de fournir une variation, en écrivit 33, qui furent publiées dans un fascicule à part. Les ''Variations Diabelli'', de par leur invention, constituent le véritable testament de Beethoven pianiste.
-->
=== เชมเบอร์มิวสิค ===
{{โครง-ส่วน}}<!--
6 string Quartets in F,G,D,Cm,A,B Op.18
|