ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
2T (คุย | ส่วนร่วม)
Pradinu (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1:
{{ต้องการอ้างอิง}}
[[ไฟล์:Beethoven.jpg|250px|thumb|right|ลุดวิจดวิก ฟาน บีโทเฟ่นเบโธเฟ่น ใน [[ค.ศ. 1820]]]]
 
'''ลุดวิก ฟาน บีโธเฟ่นเบโธเฟ่น''' ({{lang-de|Ludwig van Beethoven}}; {{IPA|[ˈluːtvɪç fan ˈbeːt.hoːfn̩]}}; [[16 ธันวาคม]] [[ค.ศ. 1770]] - [[26 มีนาคม]] [[ค.ศ. 1827]]) เป็น[[คีตกวี]]และนักเปียโน[[ประเทศเยอรมนี|ชาวเยอรมัน]] เกิดที่เมือง[[บอนน์]] [[ประเทศเยอรมนี]]
 
เบโธเฟ่นเป็นตัวอย่างของศิลปินยุคโรแมนติกผู้โดดเดี่ยว และไม่เป็นที่เข้าใจของบุคคลในยุคเดียวกันกับเขา ในวันนี้ เขาได้กลายเป็น[[คีตกวี]]ที่มีคนชื่นชมยกย่องและฟังเพลงของเขากันอย่างกว้างขวางมากที่สุดคนหนึ่ง ตลอดชีวิตของเขามีอุปสรรคนานัปการที่ต้องฝ่าฟัน ทำให้เกิดความเครียดสะสมในใจเขา ในรูปภาพต่างๆต่าง ๆ ที่เป็นรูปเบโธเฟนเบโธเฟ่น สีหน้าของเขาหลายภาพแสดงออกถึงความเครียด แต่ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งของเขา ก็สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆต่าง ๆ ในชีวิตของเขาได้ ตำนานที่คงอยู่นิรันดร์เนื่องจากได้รับการยกย่องจากคีตกวีโรแมนติกทั้งหลาย เบโธเฟ่นได้กลายเป็นแบบอย่างของพวกเขาเหล่านั้นด้วยความเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียมทาน [[ซิมโฟนี]]ของเขา (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง[[ซิมโฟนีหมายเลข 5 (เบโธเฟ่น)|ซิมโฟนีหมายเลข 5]] [[ซิมโฟนีหมายเลข 6 (เบโธเฟ่น)|ซิมโฟนีหมายเลข 6]] [[ซิมโฟนีหมายเลข 7 (เบโธเฟ่น)|ซิมโฟนีหมายเลข 7]] และ [[ซิมโฟนีหมายเลข 9 (เบโธเฟ่น)|ซิมโฟนีหมายเลข 9]]) และ[[คอนแชร์โต]]สำหรับ[[เปียโน]]ที่เขาประพันธ์ขึ้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง[[คอนแชร์โต]][[เปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 4 (เบโธเฟ่น)|หมายเลข 4]] และ [[เปียโนคอนแชร์โตหมายเลข 5 (เบโธเฟ่น)|หมายเลข 5]]) เป็นผลงานที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ก็มิได้รวมเอาความเป็นอัจฉริยะทั้งหมดของคีตกวีไว้ในนั้น
 
== ประวัติ ==
บรรทัด 19:
ลุดวิก ฟาน เบโธเฟ่นเกิดที่เมือง[[บอนน์]] ([[ประเทศเยอรมนี]]) เมื่อวันที่ [[16 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2313|ค.ศ. 1770]] และได้เข้าพิธีศีลจุ่มในวันที่ [[17 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2313|ค.ศ. 1770]] เป็นลูกชายคนรองของโยฮันน์ ฟาน เบโธเฟ่น (Johann van Beethoven) กับ มาเรีย มักเดเลนา เคเวริค (Maria Magdelena Keverich) ขณะที่เกิดบิดามีอายุ 30 ปี และมารดามีอายุ 26 ปี ชื่อต้นของเขาเป็นชื่อเดียวกับปู่ และพี่ชายที่ชื่อลุดวิกเหมือนกัน แต่เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ครอบครัวของเขามีเชื้อสายเฟลมิช (จากเมือง[[เมเชเลน]]ใน[[ประเทศเบลเยียม]]) ซึ่งก็เป็นเหตุผลว่าเหตุใด นามสกุลของเขาจึงขึ้นต้นด้วย ''ฟาน'' ไม่ใช่ ''ฟอน'' ตามที่หลายคนเข้าใจ
 
บิดาเป็นนักนักร้องในคณะดนตรีประจำราชสำนัก และเป็นคนที่ขาดความรับผิดชอบ ซ้ำยังติดสุรา รายได้เกินครึ่งหนึ่งของครอบครัวถูกบิดาของเขาใช้เป็นค่าสุรา ทำให้ครอบครัวยากจนขัดสน บิดาของเขาหวังจะให้เบโธเฟ่น ได้กลายเป็นนักดนตรีอัจฉริยะอย่าง [[โวล์ฟกัง อมาเดอุส โมซาร์ทโมสาร์ท|โมซาร์ทโมสาร์ท]] นักดนตรีอีกคนที่โด่งดังในช่วงยุคที่เบโธเฟ่นยังเด็ก จึงเริ่มสอนดนตรีให้ใน [[ค.ศ. 1776]] ขณะที่เบโธเฟ่นอายุ 5 ปีขวบ
 
แต่ด้วยความหวังที่ตั้งไว้สูงเกินไป (ก่อนหน้าเบโธเฟ่นเกิด โมซาร์ทโมสาร์ทสามารถเล่นดนตรีหาเงินให้ครอบครัวได้ตั้งแต่อายุ 6 ปี บิดาของเบโธเฟ่นตั้งความหวังไว้ให้เบโธเฟ่นเล่นดนตรีหาเงินภายในอายุ 6 ปีให้ได้เหมือนโมซาร์ทโมสาร์ท) ประกอบกับเป็นคนขาดความรับผิดชอบเป็นทุนเดิม ทำให้การสอนดนตรีของบิดานั้นเข้มงวด โหดร้ายทารุณ เช่น ขังเบโธเฟ่นไว้ในห้องกับเปียโน 1 หลัง , สั่งห้ามไม่ให้เบโธเฟ่นเล่นกับน้อง ๆ เป็นต้น ทำให้เบโธเฟ่นเคยท้อแท้กับเรื่องดนตรี แต่เมื่อได้เห็นสุขภาพมารดาที่เริ่มกระเสาะกระแสะด้วยวัณโรค ก็เกิดความพยายามสู้เรียนดนตรีต่อไป เพื่อหาเงินมาสร้างความมั่นคงให้ครอบครัว
 
[[ค.ศ. 1777]] เบโธเฟ่นเข้าเรียนโรงเรียนสอนภาษาละตินสำหรับประชาชนที่เมืองบอนน์
 
[[ค.ศ. 1778]] การฝึกซ้อมมานานสองปีเริ่มสัมฤทธิ์ผล เบโธเฟ่นสามารถเปิดคอนเสิร์ตเปียโนในที่สาธารณะได้เป็นครั้งแรกในเดือน[[มีนาคม]] ขณะอายุ 7 ปี 3 เดือน ที่เมืองโคโลญจน์ (Cologne) แต่บิดาของเบโธเฟ่นโกหกประชาชนว่าเบโธเฟ่นอายุ 6 ปี เพราะหากอายุเบโธเฟ่นยิ่งน้อยยิ่งน้อย ประชาชนจะยิ่งให้ความสนใจมากขึ้น ในฐานะนักดนตรีที่เก่งตั้งแต่เด็ก
 
หลังจากนั้น เบโธเฟ่นก็เรียนไวโอลินและออร์แกนกับอาจารย์หลายคน จนใน [[ค.ศ. 1781]] เบโธเฟ่นได้เป็นศิษย์ของคริสเตียน กอตท์โลบ เนเฟนีเฟ (Christian Gottlob Neefe) ซึ่งเป็นอาจารย์ที่สร้างความสามารถในชีวิตให้เขามากที่สุด เนเฟสอนเบโธเฟ่นนีเฟสอนเบโธเฟ่นในเรื่องเปียโนและการแต่งเพลง
 
[[ค.ศ. 1784]] เบโธเฟ่นสามารถเข้าไปได้เล่นออร์แกนในคณะดนตรีประจำราชสำนัก ในตำแหน่งนักออร์แกนที่สองในคณะดนตรีประจำราชสำนัก มีค่าตอบแทนให้พอสมควร แต่เงินส่วนใหญ่ที่หามาได้ ก็หมดไปกับค่าสุราของบิดาเช่นเคย
 
[[ค.ศ. 1787]] เบโธเฟ่นเดินทางไปยังเมือง[[เวียนนา]](Vienna) เพื่อศึกษาดนตรีต่อ เขาได้เข้าพบโมซาร์ทโมสาร์ท และมีโอกาสเล่น[[เปียโน]]ให้[[โวล์ฟกัง อมาเดอุส โมซาร์ทโมสาร์ท|โมซาร์ทโมสาร์ท]]ฟัง เมื่อโมซาร์ทโมสาร์ทได้ฟังฝีมือของเบโธเฟ่นแล้ว กล่าวกับเพื่อนว่าเบโธเฟ่นจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในโลกดนตรีต่อไป แต่อยู่เมืองนี้ได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ ก็ได้รับข่าวว่าอาการวัณโรคของมารดากำเริบหนัก จึงต้องรีบเดินทางกลับบอนน์ หลังจากกลับมาถึงบอนน์และดูแลมารดาได้ไม่นาน มารดาของเขาก็เสียชีวิตลงในวันที่ [[17 กรกฎาคม]] [[ค.ศ. 1787]] ด้วยวัย 43 ปี เบโธเฟ่นเศร้าโศกซึมเซาอย่างรุนแรง ในขณะที่บิดาของเขาก็เสียใจไม่แพ้กัน แต่การเสียใจของบิดานั้น ทำให้บิดาของเขาดื่มสุราหนักขึ้น ไร้สติ จนในที่สุดก็ถูกไล่ออกจากคณะดนตรีประจำราชสำนัก เบโธเฟ่นในวัย 16 ปีเศษ ต้องรับบทเลี้ยงดูบิดาและน้องชายอีก 2 คน
 
[[ค.ศ. 1788]] เบโธเฟ่นเริ่มสอนเปียโนให้กับคนในตระกูลบรอยนิงค์ เพื่อหาเงินให้ครอบครัว
บรรทัด 37:
[[ค.ศ. 1789]] เบโธเฟ่นเข้าเป็นนักศึกษาไม่คิดหน่วยกิตในมหาวิทยาลัยบอนน์
 
[[ค.ศ. 1792]] เบโธเฟ่นตั้งรกรากที่กรุง[[เวียนนา]] [[ประเทศออสเตรีย]] เบโธเฟ่นมีโอกาสศึกษาดนตรีกับ[[โจเซฟโยเซฟ ไฮเดิน]] หลังจากเขาเดินทางมาเวียนนาได้ 1 เดือน ก็ได้รับข่าวว่าบิดาป่วยหนักใกล้จะเสียชีวิต (มาเวียนนาครั้งก่อน อยู่ได้ครึ่งเดือนมารดาป่วยหนัก มาเวียนนาครั้งนี้ได้หนึ่งเดือนบิดาป่วยหนัก) แต่ครั้งนี้เขาตัดสินใจไม่กลับบอนน์ แบ่งหน้าที่ในบอนน์ให้น้องทั้งสองคอยดูแล และในปีนั้นเองบิดาของเบโธเฟ่นก็สิ้นใจลงโดยไม่มีเบโธเฟ่นกลับไปดูใจ แต่ทางเบโธเฟ่นเองก็ประสบความสำเร็จในการแสดงคอนเสิร์ตในฐานะนักเปียโนเอก และเป็นผู้ที่สามารถเล่นได้โดยคิดทำนองขึ้นมาได้สด ๆ ทำให้เขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแวดวงขุนนางและครอบครัวของขุนนาง
 
[[ค.ศ. 1795]] เขาเปิดการแสดงดนตรีในโรงละครสาธารณะในเวียนนา และแสดงต่อหน้าประชาชน ทำให้เบโธเฟ่นเริ่มเป็นที่รู้จักของประชาชนมากขึ้น
บรรทัด 45:
[[ค.ศ. 1801]] เบโธเฟ่นเปิดเผยเรื่องปัญหาในระบบการได้ยินให้ผู้อื่นฟังเป็นครั้งแรก แต่ครั้งนี้สังคมยอมรับ ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องปกปิดเรื่องอาการหูตึงอีก หลังจากนั้น ก็เป็นยุคที่เขาประพันธ์เพลงออกมามากมาย แต่เพลงที่เขาประพันธ์นั้นจะมีปัญหาตรงที่ล้ำสมัยเกินไป ผู้ฟังเพลงไม่เข้าใจในเนื้อหา แต่ในภายหลัง เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้คนเริ่มเข้าใจในเนื้อเพลงของเบโธเฟ่น บทเพลงหลายเพลงเหล่านั้นก็เป็นที่นิยมล้นหลามมาถึงปัจจุบัน
 
เมื่อเบโธเฟ่นโด่งดังก็ย่อมมีผู้อิจฉา มีกลุ่มที่พยายามแกล้งเบโธเฟ่นให้ตกต่ำ จนเบโธเฟ่นคิดจะเดินทางไปยังเมืองคาสเซล ทำให้มีกลุ่มผู้ชื่นชมในผลงานของเบโธเฟ่เบโธเฟ่นมาขอร้องไม่ให้เขาไปจากเวียนนา พร้อมทั้งเสนอตัวให้การสนับสนุนการเงิน โดยมีข้อสัญญาว่าเบโธเฟ่นต้องอยู่ใน[[เวียนนา]] ทำให้เขาสามารถอยู่ได้อย่างสบาย ๆ และผลิตผลงานตามที่ต้องการโดยไม่ต้องรับคำสั่งจากใคร
 
เบโธเฟ่นโด่งดังมากในฐานะคีตกวี อาการสูญเสียการได้ยินมีมากขึ้น แต่เขาพยายามสร้างสรรค์ผลงานจากความสามารถและสภาพที่ตนเป็นอยู่ มีผลงานชั้นยอดเยี่ยมให้กับโลกแห่งเสียงเพลงเป็นจำนวนมาก ผลงานอันโด่งดังในช่วงนี้ได้แก่ [[ซิมโฟนีหมายเลขห้าของเบโธเฟ่น|ซิมโฟนีหมายเลข 5]] ที่เบโธเฟ่นถ่ายทอดท่วงทำนองออกมาเป็นจังหวะ ''สั้น - สั้น - สั้น - ยาว'' อาการไม่ได้ยินรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และ ซิมโฟนีหมายเลข 9 ที่เขาประพันธ์ออกมาเมื่อหูหนวกสนิทตั้งแต่ปี [[ค.ศ. 1819]] เป็นต้นมา รวมทั้งบทเพลง[[ควอเต็ต]]เครื่องสายที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขาก็ประพันธ์ออกมาในช่วงเวลานี้เช่นกัน
บรรทัด 55:
[[12 ธันวาคม]] [[ค.ศ. 1826]] โรคเรื้อรังในลำไส้และตับของเบโธเฟ่นกำเริบหนัก อาการทรุดลงตามลำดับ
 
[[26 มีนาคม]] [[พ.ศ. 2369|ค.ศ. 1827]] เบโธเฟ่นก็เสียชีวิตลง พิธีศพของเขาจัดขึ้นอย่างอลังการในโบสถ์เซนต์ ตรินิตี โดยมีผู้มาร่วมงานกว่า 20,000 คน ศพของเขาถูกฝังอยู่ที่สุสานกลางในกรุง[[เวียนนา]]
 
== รูปแบบทางดนตรีและนวัตกรรม ==
 
ในประวัติศาสตร์ดนตรีแล้ว ผลงานของเบโธเฟ่นแสดงถึงช่วงรอยต่อระหว่างยุคคลาสสิก ([[ค.ศ. 1750]] - [[ค.ศ. 1810]]) กับ ยุคโรแมนติก ([[ค.ศ. 1810]] - [[ค.ศ. 1900]]) ในซิมโฟนีหมายเลข 5 ของเขา เบโธเฟ่นได้นำเสนอทำนองหลักที่เน้นอารมณ์รุนแรงในท่อนโหมโรงท่อน เช่นเดียวกับในอีกสี่สามท่อนที่เหลือ (เป็นรูปแบบที่พบเห็นได้บ่อยในผลงานประพันธ์ช่วงวัยเยาว์ของเขา) ช่วงต่อระหว่างท่อนที่สามกับท่อนสุดท้าย เป็นทำนองหลักของ[[อัตทากา]]โดยไม่มีการหยุดพัก และท้ายสุด ซิมโฟนีหมายเลข 9 ได้มีการนำ[[การขับร้องประสานเสียง]]มาใช้ในบทเพลง[[ซิมโฟนี]]เป็นครั้งแรก (ในท่อนที่สี่) ผลงานทั้งหลายเหล่านี้นับเป็นนวัตกรรมทางดนตรีอย่างแท้จริง
 
เขาได้ประพันธ์[[โอเปราอุปรากร]]เรื่อง ''"ฟิเดลิโอ"'' โดยใช้เสียงร้องในช่วงความถี่เสียงเช่นเดียวกับเครื่องดนตรีในวง[[ซิมโฟนี]] โดยมิได้คำนึงถึงขีดจำกัดของนักร้องประสานเสียงแต่อย่างใด
 
หากจะนับว่าผลงานของเขาประสบความสำเร็จต่อสาธารณชน นั่นก็เพราะแรงขับทางอารมณ์ที่มีอยู่อย่างเปี่ยมล้นในงานของเขา
บรรทัด 71:
เบโธเฟ่นยังเป็นบุคคลแรก ๆ ที่ศึกษาศาสตร์ของวง[[ออร์เคสตรา]]อย่างพิถีพิถัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาบทเพลง การต่อบทเพลงเข้าด้วยกันโดยเปลี่ยนรูปแบบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโน้ตแผ่นที่เขาเขียนให้เครื่องดนตรีชิ้นต่าง ๆ นั้น ได้แสดงให้เห็นวิธีการนำเอาทำนองหลักกลับมาใช้ในบทเพลงเดียวกันในรูปแบบที่มีเอกลักษณ์ โดยมีการปรับเปลี่ยนเสียงประสานเล็กน้อยในแต่ละครั้ง การปรับเปลี่ยนโทนเสียงและสีสันทางดนตรีอย่างไม่หยุดยั้ง เปรียบได้กับการเริ่มบทสนทนาใหม่ โดยที่ยังรักษาจุดอ้างอิงของความทรงจำเอาไว้
 
สาธารณชนในขณะนี้จะรู้จักผลงาน[[ซิมโฟนี]]และ[[คอนแชร์โต]]ของเบโธเฟ่นเสียเป็นส่วนใหญ่ มีน้อยคนที่ทราบว่าผลงานการคิดค้นแปลกใหม่ที่สุดของเบโธเฟ่นนั้นได้แก่[[แชมเบอร์มิวสิกเชมเบอร์มิวสิค]] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง[[โซนาตา]]สำหรับ[[เปียโน]] 32 บท และบทเพลงสำหรับวง[[ควอเต็ต]]เครื่องสาย 16 บท นั้น นับเป็นผลงานสร้างสรรค์ทางดนตรีอันเจิดจรัส --- [[โซนาตา]]สำหรับเครื่องดนตรีสองหรือสามชิ้นนับเป็นผลงานสุดคลาสสิก --- บทเพลง[[ซิมโฟนี]]เป็นผลงานคิดค้นรูปแบบใหม่ --- ส่วนบทเพลง[[คอนแชร์โต]]นั้น ก็นับว่าควรค่าแก่การฟัง
 
=== ผลงานซิมโฟนี ===
[[โจเซฟโยเซฟ ไฮเดิน]]ได้ประพันธ์[[ซิมโฟนี]]ไว้กว่า 100104 บท [[โวล์ฟกัง อมาเดอุส โมซาร์ทโมสาร์ท|โมซาร์ทโมสาร์ท]]ประพันธ์ไว้กว่า 40 บท หากจะนับว่ามีคีตกวีรุ่นพี่เป็นตัวอย่างที่ดีแล้ว เบโธเฟ่นไม่ได้รับถ่ายทอดมรดกด้านความรวดเร็วในการประพันธ์มาด้วย เพราะเขาประพันธ์[[ซิมโฟนี]]ไว้เพียง 9 บทเท่านั้น และเพิ่งจะเริ่มประพันธ์ซิมโฟนีหมายเลข 10 แต่สำหรับซิมโฟนีทั้งเก้าบทของเบโธเฟ่นนั้น ทุกบทต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
 
ซิมโฟนีสองบทแรกของเบโธเฟ่นได้รับแรงบันดาลใจและอิทธิพลจากดนตรีใน[[ยุคคลาสสิก]] อย่างไรก็ดี ซิมโฟนีหมายเลข 3 ที่มีชื่อเรียกว่า ''"อิรอยก้า"'' จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการเรียบเรียงวง[[ออร์เคสตรา]]ของเบโธเฟ่น ซิมโฟนีบทนี้แสดงถึงความทะเยอทะยานทางดนตรีมากกว่าบทก่อน ๆ เฮโรอิก โดดเด่นด้วยความสุดยอดของเพลงทุกท่อน และการเรียบเรียงเสียงประสานของวง[[ออร์เคสตรา]] เพราะแค่ท่อนแรกเพียงอย่างเดียวก็มีความยาวกว่าซิมโฟนีบทอื่น ๆ ที่ประพันธ์กันในสมัยนั้นแล้ว ผลงานอันอลังการชิ้นนี้ได้ถูกประพันธ์ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่[[นโปเลียน โบนาปาร์ต]] และส่งเบโธเฟ่นขึ้นสู่ตำแหน่งสุดยอดสถาปนิกทางดนตรี และเป็นคีตกวีคนแรกแห่ง[[ยุคโรแมนติก]]
 
{{listen|filename=Ludwig van Beethoven - Symphonie 5 c-moll - 1. Allegro con brio.ogg|title=Symphonie 5 c-moll - 1. Allegro con brio}}
 
แม้ว่าจะถูกมองว่าเป็น[[ซิมโฟนี]]ที่สั้นกว่าและคลาสสิกกว่า[[ซิมโฟนี]]บทก่อนหน้า ท่วงทำนองของโศกนาฏกรรมในท่อน[[โหมโรง]]ทำให้ซิมโฟนีหมายเลข 4 เป็นส่วนสำคัญของพัฒนาการทางรูปแบบของเบโธเฟ่น ต่อจากนั้นก็ตามมาด้วยซิมโฟนีสุดอลังการสองบทที่ถูกประพันธ์ขึ้นในคืนเดียวกัน อันได้แก่ซิมโฟนีหมายเลข 5 และซิมโฟนีหมายเลข 6 - หมายเลข 5 นำเสนอทำนองหลักเป็นโน้ตสี่ตัว ''สั้น - สั้น - สั้น - ยาว'' สามารถเทียบได้กับซิมโฟนีหมายเลข 3 ในแง่ของความอลังการ และยังนำเสนอรูปแบบทางดนตรีใหม่ด้วยการนำทำนองหลักของโน้ตทั้งสี่ตัวกลับมาใช้ตลอดทั้งเพลง ส่วนซิมโฟนีหมายเลข 6 ที่มีชื่อว่า ''ปาสตอราลพาสโทราล'' นั้นชวนให้นึกถึงธรรมชาติที่เบโธเฟ่นรักเป็นหนักหนา นอกเหนือจากช่วงเวลาที่เงียบสงบชวนฝันที่ผู้ฟังสามารถรู้สึกได้เมื่อฟังซิมโฟนีบทนี้แล้ว มันยังประกอบด้วยท่อนที่แสดงถึงพายุโหมกระหน่ำที่เสียงเพลงสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างเหมือนจริงที่สุดอีกด้วย
 
แม้ว่าซิมโฟนีหมายเลข 7 จะมีท่อนที่สองที่ใช้รูปแบบของเพลง[[มาร์ช]]งานศพ แต่ก็โดดเด่นด้วยรูปแบบที่สนุกสนานและจังหวะที่รุนแรงเร่าร้อนในท่อนจบของเพลง [[ริชาร์ด วากเนอร์]]ได้กล่าวถึงซิมโฟนีบทนี้ว่า เป็น ''"ท่อนจบอันเจิดจรัสสำหรับการเต้นรำ"'' ซิมโฟนีบทต่อมา (ซิมโฟนีหมายเลข 8) เป็นการย้อนกลับมาสู่รูปแบบคลาสสิก ด้วยท่วงทำนองที่เปล่งประกายและสื่อถึงจิตวิญญาณ
 
ท้ายสุด ซิมโฟนีหมายเลข 9 เป็นซิมโฟนีบทสุดท้ายที่เบโธเฟ่นประพันธ์จบ นับเป็นอัญมณีแห่งซิมโฟนีทั้งหลาย ประกอบด้วยบทเพลงสี่ท่อน รวมความยาวกว่าหนึ่งชั่วโมง และมิได้ยึดติดกับรูปแบบของ[[โซนาตา]] แต่ละท่อนของซิมโฟนีบทนี้นับได้ว่าเป็นผลงานชั้นครูในตัวเอง แสดงให้เห็นว่าเบโธเฟ่นได้หลุดพ้นจากพันธนาการของยุคคลาสสิก และได้ค้นพบรูปแบบใหม่ในการเรียบเรียงเสียงประสานของวง[[ออร์เคสตรา]]ในที่สุด ในท่อนสุดท้าย เบโธเฟ่นได้ใส่บทร้องประสานเสียงและวง[[ควอเต็ต]]ประสานเสียงเข้าไป เพื่อขับร้อง ''"บทเพลงแห่งความอภิรมย์"'' ซึ่งเป็นบทกวีของ [[เฟรดริกฟรีดริก ฟอน ชิลเลอร์]] บทประพันธ์ชิ้นนี้ได้เรียกร้องให้มีความรักและภราดรภาพในหมู่มวลมนุษย์ และซิมโฟนีบทนี้ได้กลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของ[[ยูเนสโก]] ''"บทเพลงแห่งความอภิรมย์"'' ยังได้ถูกเลือกให้เป็นบทเพลงประจำชาติของยุโรปอีกด้วย
 
นอกเหนือจากซิมโฟนีแล้ว เบโธเฟ่นยังได้ประพันธ์ ''[[คอนแชร์โต]]สำหรับ[[ไวโอลิน]]'' ที่สุดแสนไพเราะไว้อีกด้วย และได้ถ่ายทอดบทเพลงเดียวกันออกมาเป็น[[คอนแชร์โต]]สำหรับ[[เปียโน]] ที่ใช้ชื่อว่า ''คอนแชร์โตหมายเลข 6'' นอกจากนั้นก็ยังมี [[คอนแชร์โต]]สามชิ้นสำหรับ[[ไวโอลิน]] [[เชลโล]] และ [[เปียโน]] และ[[คอนแชร์โต]]สำหรับ[[เปียโน]]อีก 5 บท ซึ่งในบรรดา[[คอนแชร์โต]]ทั้งห้าบทนี้ ''[[คอนแชร์โต]]หมายเลข 5 สำหรับ[[เปียโน]]'' นับว่าเป็นรูปแบบของเบโธเฟ่นที่เด่นชัดที่สุด แต่ก็ไม่ควรลืมช่วงเวลาอันเข้มข้นในท่อนที่สองของ''[[คอนแชร์โต]]หมายเลข 4 สำหรับ[[เปียโน]]''
 
เบโธเฟ่นยังได้ประพันธ์เพลงโหมโรงอันเยี่ยมยอดไว้หลายบท (''เลโอนอเร่'', ''ปิศาจแห่ง[[โพรเมเธอุส]]'') [[ฟ็องเตซีแฟนตาซี]]สำหรับ[[เปียโน]] วง[[ขับร้องประสานเสียง]] และวง[[ออร์เคสตรา]]อีกหนึ่งบท ซึ่งทำนองหลักทำนองหนึ่งของเพลงนี้ได้กลายมาเป็นต้นแบบของ ''"บทเพลงแห่งความอภิรมย์"''
 
นอกจากนี้ยังมีเพลงสวด[[มิสซา]] ซึ่งมี ''มิสซา โซเลมนิส'' โดดเด่นที่สุด ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผลงานดนตรีขับร้องทางศาสนาที่สำคัญที่สุดเท่าที่เคยมีมา
 
ท้ายสุด เบโธเฟ่นได้ฝากผลงานประพันธ๋[[โอเปราอุปรากร]]เรื่องแรกและเรื่องเดียวไว้ มีชื่อเรื่องว่า ''ฟิเดลิโอ'' นับเป็นผลงานที่เขาผูกพันมากที่สุด อีกทั้งยังทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจไปมากที่สุดอีกด้วย
 
=== บทเพลงสำหรับเปียโน ===
บรรทัด 107:
Enfin, en 1822, l’éditeur (et lui-même compositeur) [[Anton Diabelli]] eut l’idée de réunir en un recueil des pièces des compositeurs majeurs de son époque autour d’un unique thème musical. L’ensemble de ces variations devait servir de panorama musical de l’époque. Beethoven, sollicité, et qui n’avait pas écrit pour le piano depuis longtemps, se prit au jeu, et au lieu de fournir une variation, en écrivit 33, qui furent publiées dans un fascicule à part. Les ''Variations Diabelli'', de par leur invention, constituent le véritable testament de Beethoven pianiste.
-->
=== เชมเบอร์มิวสิค ===
=== แชมเบอร์มิวสิก ===
{{โครง-ส่วน}}<!--
6 string Quartets in F,G,D,Cm,A,B Op.18