ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จำลอง สารพัดนึก"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 3:
 
==ประวัติ==
ดร.จำลอง สารพัดนึก เป็นชาว ต.บ้านกลาง อ.เมือง จ.[[ปทุมธานี]] เกิดเมื่อพ.ศ. 2475 ในครอบครัวซึ่งประกอบอาชีพทำนา และมีฐานะยากจนมากครอบครัวหนึ่งในละแวกนั้น ภายหลังเนื่องจากการทำนาได้รายได้น้อยไม่พอจุนเจือครอบครัว บิดาของท่านจึงเปลี่ยนมาขายข้าวสาร โดยซื้อข้าวใส่เรือแจวล่องมาขายที่[[กรุงเทพ]] ฯ ในย่าน[[คลองผดุงกรุงเกษม ]] แต่เมื่อบวกกับภาระหนี้สินแล้วฐานะของครอบครัวก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด
ดร.จำลอง สารพัดนึกได้บรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระภิกษุเพื่อศึกษาเล่าเรียน สามารถสอบได้นักธรรมเอก และเปรียญธรรม 5 ประโยคจากสำนักเรียน[[วัดอนงคาราม]] จากนั้นจึงเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีด้านพุทธศาสนาที่[[มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ]] โดยเป็นพระนิสิตรุ่นแรก ๆ ของมหาวิทยาลัยนั้น ขณะศึกษาปริญญาตรีได้เรียนภาษา[[สันสกฤต]]กับ ศาสตราจารย์ [[แสง มนวิทูร]] และอาจารย์ [[กรุณา กุศลาสัย]] เมื่อจบการศึกษาได้ศึกษาต่อระดับปริญญาโท ด้านภาษาสันสกฤต ได้รับปริญญา M.A.(Sanskrit)จาก Banaras Hindu University เมืองพาราณสี [[ประเทศอินเดีย]]
 
ในวัยเด็ก ดร.จำลองได้เริ่มการศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนประชาบาลวัดมะขาม ใกล้กับบ้าน และบิดาก็ได้นำมาฝากเป็นศิษย์วัดไว้กับพระอธิการพลาย ถาวโร เจ้าอาวาสในขณะนั้นซึ่งมีศักดิ์เป็นตาของดร.จำลองด้วย ดังนั้นนอกจากภาระการศึกษาเล่าเรียนแล้ว จึงต้องคอยปรนนิบัติหลวงตาตามกำลังของตน กระนั้นเมื่อเสร็จจากภาระที่โรงเรียนและวัดแล้วก็ยังต้องรีบกลับบ้านเพื่อช่วยเหลือภาระงานทางบ้านอีก ทำให้ชีวิตในวัยเด็กต้องประสบกับความยากลำบาก และไม่ได้เล่นสนุกสนานเช่นเด็กอื่น ๆ
หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท ได้เข้ารับราชการที่[[คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร]] เมื่อ พ.ศ. 2512 และศึกษาต่อระดับปริญญาเอกด้านภาษาสันสกฤตที่ [[มหาวิทยาลัยสัมปูรณานันท สันสกฤต]] เมือง[[พาราณสี]] [[ประเทศอินเดีย ]] โดยทำวิทยานิพนธ์เรื่อง '''ฤคเวทียปฺรถมมณฺฑลสฺย สมาโลจนาตฺมกมฺ อธฺยยนมฺ''' (พ.ศ. 2523-2525)
 
หลังจากจบชั้น ป.4 จึงได้บรรพชาเป็น[[สามเณร]]เมื่อ พ.ศ. 2487 โดยมีกำหนดการแรกเริ่มจะบวชเพียง 15 วันเท่านั้น แต่ด้วยจิตที่ใฝ่ในทางพระศาสนามาแต่เล็กทำให้มีศรัทธาจะอยู่ในเพศบรรพชิตต่อมา และได้ศึกษาเล่าเรียนนักธรรมด้วยความพากเพียรมาก ถึงจะสอบตกก็หาได้ทำให้ความมุ่งมั่นของสามเณรจำลองลดถอยลงไม่ ในภาวะหลัง[[สงครามโลก]]ขณะนั้นที่วัดมะขามไม่มีไฟฟ้าใช้ ทั้งยังขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงจุดตะเกียง ในยามกลางคืนที่อัตคัดบางครั้งพระเณรถึงกับต้องใช้ธูปจุดไฟรวมเป็นกำแล้วเป่าไฟส่องหนังสืออ่านแล้วท่องจำเป็นตอน ๆ ไป ในช่วงที่บวชเป็นสามเณรที่วัดมะขามนั้นท่านได้เริ่มเรียน[[ภาษาอังกฤษ]]โดยขอร้องให้ผู้รู้ช่วยสอนให้ แม้จะเริ่มได้อย่างกระท่อนกระแท่นแต่ก็ได้พยายามฝึกฝนต่อมาอย่างสม่ำเสมอ
 
พ.ศ. 2491 พระอธิการพลาย ถาวโรได้นำสามเณรจำลองมาฝากให้ศึกษาต่อที่[[วัดอนงคาราม]] [[ธนบุรี]]ในสมัยที่[[สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม พุทธสโร)]] เป็นเจ้าอาวาส ได้ศึกษานักธรรมเอกและ[[ภาษาบาลี]]ในสำนักเรียนวัดอนงคาราม รวมทั้งได้ซื้อตำราภาษาอังกฤษมาศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเอง ขณะเป็นสามเณรเปรียญสอบได้ป.ธ.4 ได้สอบเข้าศึกษาต่อที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย [[วัดมหาธาตุ]] ฯ โดยเป็นนิสิตรุ่นแรก ๆ ของมหาวิทยาลัยนั้นจนอายุครบบวชเมื่อ พ.ศ. 2496 ได้อุปสมบทที่วัดมะขาม จ.ปทุมธานี โดยมีพระครูบวรธรรมกิจ ([[หลวงปู่เทียน วัดโบสถ์]]) เป็นพระ[[อุปัชฌาย์]] กระทั่งพ.ศ. 2498 สอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค ช่วงที่ศึกษาใน[[มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ]] ได้ศึกษาวิชาความรู้หลายอย่าง แต่มีวิชาหนึ่งที่ชอบและสนใจเป็นพิเศษคือวิชา[[ภาษาสันสกฤต ]] โดยได้รับแรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้ทรงความรู้ได้มีวีการสอนที่ดีและให้กำลังใจเป็นอันมาก คือ ท่านอาจารย์[[กรุณา กุศลาสัย ]] และท่านศาสตราจารย์[[แสง มนวิทูร ]] รวมถึงได้ศึกษากับอาจารย์ชาวอินเดียคือพราหมณ์สัตยนารายณ์ ตริปาฐิ ส่วนในด้านภาษาบาลีนั้นก็ได้รับคำชมเชยจากอาจารย์ผู้สอนเป็นอย่างดีเช่นกัน
 
หลังจากจบการศึกษาปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิตแล้ว พ.ศ. 2507 ได้รับทุน[[มูลนิธิเอเชีย]] (The Asia Foundation) ไปศึกษาต่อด้านภาษาสันสกฤตระดับปริญญาโท ที่ Banaras Hindu University เมืองพาราณสี [[ประเทศอินเดีย]]ได้รับปริญญา M.A.(Sanskrit)เมื่อจบการศึกษาในปี 2509 ได้กลับเข้ามาทำงานในมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ปรับปรุงหลักสูตรและตำราเรียนภาษาสันสกฤตหลายเล่ม จนปี พ.ศ.2511 ได้ดำรงตำแหน่งรักษาการคณบดีคณะครุศาสตร์ และได้รับนิมนต์ไปช่วยสอนภาษาสันสกฤต ที่[[คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร]]
 
==การทำงาน==
พ.ศ.2512 ได้ลาสิกขา หลังจากนั้น ศ.มจ.[[สุภัทรดิศ ดิศกุล]] ได้รับไว้เป็นอาจารย์พิเศษด้าน[[ภาษาสันสกฤต ]] ที่คณะโบราณคดีต่อมา จนได้บรรจุเข้ารับราชการ และศึกษาต่อระดับปริญญาเอกด้านภาษาสันสกฤตที่ [[มหาวิทยาลัยสัมปูรณานันท สันสกฤต]] เมือง[[พาราณสี]] [[ประเทศอินเดีย ]] โดยทำวิทยานิพนธ์เรื่อง '''ฤคเวทียปฺรถมมณฺฑลสฺย สมาโลจนาตฺมกมฺ อธฺยยนมฺ''' (พ.ศ. 2523-2525) จากนั้นได้กลับมารับราชการต่อที่คณะโบราณคดี จนกระทั่งได้ดำรงตำแหน่งคณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อ พ.ศ. 2527 และลาออกจากตำแหน่งคณบดี เมื่อ พ.ศ. 2529 ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้สอนเพียงอย่างเดียวนับแต่นั้น
 
ดร.จำลอง สารพัดนึกเป็นผู้มีชื่อเสียงด้าน[[ภาษาสันสกฤต ]] มีความชำนาญภาษาสันสกฤตสมัยพระเวท [[วรรณคดีสันสกฤต ]] [[ภาษาบาลี ]] [[ภาษาฮินดี ]] และ[[ภาษามอญ ]] เคยเป็นตัวแทนประเทศไทยไปสัมมนาด้านภาษาสันสกฤตพร้อมกับ ศ.มล.[[จิรายุ นพวงศ์]] ที่ประเทศ[[อินเดีย]] และได้ร่วมเป็นผู้พิจารณาร่างหลักสูตรปริญญาโทอักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาภาษาบาลีและสันสกฤต [[จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย]]
 
ปัจจุบันมีอายุ 73 ปี เป็นข้าราชการบำนาญและอาจารย์พิเศษด้านภาษาสันสกฤตให้กับหลายสถาบัน นอกจากนี้ยังเป็นกรรมการจัดทำพจนานุกรม[[พระไตรปิฎก]]ของ[[ราชบัณฑิตยสถาน ]] และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิโครงการจัดทำ[[พจนานุกรมพุทธศาสนาจีน-สันสกฤต-อังกฤษ-ไทย]]ฉบับเฉลิมพระเกียรติ ของ[[คณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทย]] ดร.จำลอง สารพัดนึกได้รับรางวัลเข็มเกียรติคุณ "พระเกี้ยวทอง" จากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อพ.ศ. 2531 และหลังเกษียณอายุราชการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้มอบให้ดำรงตำแหน่ง'''ศาสตราจารย์พิเศษ'''ประจำมหาวิทยาลัย
 
ด้านชีวิตครอบครัวได้สมรสกับ อ.สุรีย์ สารพัดนึก มีธิดาหนึ่งคนคือ ดร.จิตตาภา สารพัดนึก ไชยปัญญา ปัจจุบันเป็นอาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ [[มหาวิทยาลัยบูรพา]]
 
==ผลงาน==
ดร.จำลอง สารพัดนึก เป็นนักวิชาการที่มีความพากเพียรมาก มีผลงานวิชาการทั้งที่เป็นตำรา งานแปล และงานวิจัยมากกว่า 100 เรื่อง นับว่าเป็นนักวิชาการด้านภาษาบาลีสันสกฤตที่มีผลงานปรากฏในวงวิชาการมากที่สุดผู้หนึ่งของไทย ปัจจุบันงานโครงการสำคัญที่กำลังพยายามจะทำให้สำเร็จทำอยู่คือพจนานุกรมสันสกฤต-ไทยซึ่งยังต้องใช้ระยะเวลาอีกพอสมควร
 
ผลงานที่สำคัญ ได้แก่