ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เงินไซซี"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Grandpalace s (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
Grandpalace s (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 1:
เมื่อครั้งที่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานีของไทย (ประมาณปี พ.ศ. ๑๗๘๑-๑๙๘๑) และชนชาติไทยเริ่มผลิตเงินพดด้วงออกใช้เป็นเงินตราอย่างแพร่หลายนั้น อาณาเขตทางตอนเหนือของสุโขทัยคือ อาณาจักรลานนาไทย ซึ่งมีเนื้อที่ครอบคลุมถึงจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง และน่านในปัจจุบันก็มีเงินท้องถิ่นของตนใช้อยู่ คือ เงินกำไล เงินเจียง เงินดอกไม้ และเงินท้อก เป็นต้น นอกจากนั้น ยังมีเงินตราอีกชนิดหนึ่งซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่เงินที่ทำขึ้นในท้องถิ่นนั้น แต่ก็ได้รับการยอมรับและใช้เป็นสื่อกลางในการค้าขายในอาณาจักรลานนาไทยเป็นเวลาช้านานมาแล้ว เงินชนิดนี้มีแหล่งกำเนิดจากประเทศจีน รู้จักกันดีในนามของ “เงินไซซี”▼
▲'''เงินไซซี''' เป็นเงินแท่งซึ่งมีแหล่งกำเนิดมาจากประเทศจีน โดยพ่อค้าชาวจีนนำเข้ามาเพื่อใช้ในการซื้อสินค้าเมื่อครั้ง
'''“ไซซี”''' เป็นคำภาษาจีน แปลว่า ไหมบริสุทธิ์ ที่เรียกเงินแท่งว่าเงินไซซี ก็เป็นการเปรียบเทียบกับโลหะเงินหรือทองที่ถูกหลอมจนเหลวและไหลเป็นสายลงไปในแม่พิมพ์ มองดูคล้ายสายไหมนั่นเอง เงินไซซีมีวิธีการทำโดยการหล่อจากแม่พิมพ์ให้มีรูปร่างตามต้องการ และขณะที่โลหะยังแข็งตัวไม่เต็มที่ก็จะตีตราประทับชื่อผู้ออกเงิน สถานที่ผลิตเงิน และข้อความอื่นๆ ลงบนด้านบนของเงินไซซี นอกจากนั้นยังเป็นเงินที่ไม่มีราคาหน้าเหรียญเพราะเป็นแท่งเงินที่กำหนดค่าโดยน้ำหนักและเนื้อเงิน ทั้งนี้ ลักษณะรูปร่าง ขนาด น้ำหนัก และเนื้อเงินของเงินไซซีอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแหล่งที่ทำ จึงไม่จำเป็นที่เงินไซซีจะต้องทำจากเนื้อเงินบริสุทธิ์เสมอไป แต่เงินไซซีที่ทำด้วยเนื้อเงินบริสุทธิ์ก็มี เงินไซซีอานม้า (Saddle money) เงินไซซีรองเท้า (Shoe money) เงินไซซีเรือสำเภา (Boat money) เงินไซซีขนมครก เป็นต้น และเมื่อต้องการใช้เงินปลีกย่อยก็จะตัดเงินไซซีออกเป็นส่วนย่อยๆ ตามน้ำหนักที่ต้องการ โดยเงินไซซีที่พบมากที่สุดคือ เงินไซซีรองเท้า ซึ่งมีลักษณะคล้ายรองเท้าของสตรีจีนที่นิยมสวมใส่ในสมัยโบราณ สำหรับเงินไซซีทองคำนั้นมีการพบน้อยมาก และเงินไซซีที่มีน้ำหนักมากที่สุดที่พบในประเทศไทยคือ เงินไซซีเรือสำเภาซึ่งมีน้ำหนักถึง ๑๒๕ บาท (ประมาณ ๑,๘๗๕ กรัม) ด้วยเหตุที่เป็นเงินแท่งที่มีความบริสุทธิ์สูง สามารถตีให้ยาวเหยียดคล้ายเส้นไหมได้ คนไทยจึงเรียกเงินไซซีนี้ว่า เงินมุ่น ซึ่งแปลว่า ละเอียดเหมือนมุ่นไหม ชาวลานนาจึงนิยมนำมาใช้เครื่องประดับ ตลอดจนเครื่องใช้ในครัวเรือน เช่น ขันเงิน เชี่ยนหมากเงิน เข็มขัดเงิน ตลอดจนใช้เป็นเงินตราของอาณาจักรลานนาด้วย
'''สมัยราชวงศ์ฮั่น'''
การใช้เงินไซซีในประเทศจีนเริ่มปรากฏหลักฐานการใช้ในสมัยราชวงศ์ฮั่น (Han Dynasty) ซึ่งมีเงินไซซีที่ทำด้วยโลหะเงินและทองคำสำหรับใช้ในการค้าขายรายใหญ่ๆ
'''สมัยราชวงศ์มองโกล'''
ในสมัยราชวงศ์มองโกล (Mangol Dynasty) ประมาณปี พ.ศ. ๑๘๒๓-๑๙๑๑ เงินไซซีและธนบัตรกลายเป็นเงินตราที่สำคัญที่สุด
'''ปลายราชวงศ์หมิง จนถึง ต้นราชวงศ์กิง'''
ในปลายราชวงศ์หมิง (Ming Dynasty) เรื่อยมาจนถึงต้นราชวงศ์กิง (Quin Dynasty) คือ ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๓ ถึงต้นคริสศตวรรษที่ ๒๕
'''สมัยหลังกบฏไทปิง'''
หลังจากเกิดกบฏไทปิง (Taiping rebellion) ขึ้นในประเทศจีน เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๐๔ ชาวตะวันตกได้เพิ่มความสนใจที่จะทำการค้ากับประเทศจีนมากขึ้นถึงขนาดผลิตเหรียญดอลล่าร์เงิน
'''สมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง'''
เงินไซซีและธนบัตรที่ออกโดยพ่อค้าเริ่มเสื่อมความนิยมลงเมื่อประเทศจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ และได้ออกเหรียญดอลล่าร์จีนหรือที่เรียกว่า เงินหยวน (yuan) ออกใช้ ซึ่งได้รับการยอมรับจากประชาชนเป็นอย่างดี ในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ รัฐบาลจีนได้ประกาศเลิกใช้เงินไซซีไปในที่สุด
▲'''เงินไซซีในประเทศไทย'''
==หนังสืออ้างอิง==
*
*สารัตถะแห่งเครื่องราชอิสริยยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเงินตราสยาม พิมพ์ครั้งที่ ๑ มีนาคม ๒๕๓๙ ISBN 974-7700-09-3 สงวนลิขสิทธิ์ ๒๕๓๙ โดย กองเครื่องราชอิสริยยศ กรมธนารักษ์ พิมพ์ที่ บริษัท ด่านสุทธาการพิมพ์ จำกัด
==แหล่งข้อมูลอื่น==
|