ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เอมีล ดูร์กายม์"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
SieBot (คุย | ส่วนร่วม)
โรบอต แก้ไข: zh:爱米尔·涂尔干
Xqbot (คุย | ส่วนร่วม)
โรบอต เพิ่ม: mk:Емил Диркем; ปรับแต่งให้อ่านง่าย
บรรทัด 1:
{{รอการตรวจสอบ}}
{{ลิงก์ไปภาษาอื่น}}
[[ภาพไฟล์:Emile_Durkheim.jpg|frame|right|]]
 
'''ดาวิด อีมิล เดอร์ไคหม์''' (David Émile Durkheim) ([[15 เม.ษ.]] [[ค.ศ. 1858|1858]] (พ.ศ. 2439) -- [[15 พ.ย.]] [[ค.ศ. 1917|1917]] (พ.ศ. 2460)) เป็นผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของ[[สังคมวิทยา]]สมัยใหม่ เขายังเป็นผู้ก่อตั้งภาควิชาสังคมวิทยาแห่งแรกในยุโรปในปี ค.ศ. 1895 และในปี ค.ศ. 1896 ได้ก่อตั้งวารสารทางวิชาการด้านสังคมวิทยาชื่อ [[:en:Année Sociologique|L'Année Sociologique]]
บรรทัด 7:
'''ประวัติ'''
 
อีมิล เดอร์ไคหม์ เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อปี ค.ศ 1858 ณ เมืองเอปินาล(Epinal)หลังจากสำเร็จการศึกษาที่เมือง Epinalและ Paris ได้เป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง(un lycée)ในสาขาวิชาปรัชญา (Philosophie)แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาได้หันมาสนใจในด้านของสังคมวิทยาอย่างจริงจัง และได้ไปศึกษาเพิ่มเติมที่เยอรมัน ในด้านที่เกี่ยวกับสังคมวิทยา และเริมตั้งแต่ปี 1887 เขาได้เป็นอาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยบอร์กโดว์ (l'université de Bordeaux)ซึ่งสอนในด้าน Science sociale และ Education หลังจากนั้น ตั้งแต่ปี 1902 เขาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยซอร์กบอน เมืองParis (La sorbonne) ในสาขา science of education และ สาขา Sociology
 
Durkheim ได้ก่อตั้งวารสารแห่งชาติ ทางด้านสังคมวิทยาที่มีชือว่า L'Année sociologie
Durhkeim ได้รับการยกย่องเป็นบุคคลสำคัญมากคนหนึ่ง ทางด้านสังคมวิทยาฝรั่งเศส
 
บรรทัด 22:
4.Les formes élémentaires de la vie religieuse เป็นงานซึ่งช่วยสนับสนุนทฤษฎสังคมวิทยาของDurkheim อีกเล่มหนึ่ง
 
== ทฤษฎีและแนวคิด ==
เดอร์ไคหม์สังเกตเห็นการล่มสลายของ[[บรรทัดฐานทางสังคม]] และการเพิ่มขึ้นของความไม่เป็นส่วนตัวในการใช้ชีวิตในสังคม เพื่อที่จะศึกษาชีวิตของมนุษย์ในสังคมสมัยใหม่ เขาได้สร้างวิธีการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมแบบวิทยาศาสตร์แนวทางแรกๆ
 
เดอร์ไคหม์ไม่คิดเหมือน [[มักซ์ เวเบอร์]] ที่เชื่อว่านักสังคมวิทยาต้องศึกษาปัจจัยที่ผลักดันกิจกรรมที่ปัจเจกกระทำ เขามักได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของ[[แนวคิดกลุ่มนิยมเชิงระเบียบวิธี]] หรือแนวคิดองค์รวม (ซึ่งตรงกันข้ามกับ[[แนวคิดปัจเจกนิยมเชิงระเบียบวิธี]]) เนื่องจากเขามีเป้าหมายที่จะศึกษา ''[[ความจริงทางสังคม]]'' ซึ่งเขาใช้เรียกปรากฏการณ์ที่มีอยู่ในสังคมซึ่งเกิดขึ้นและดำรงอยู่ โดยไม่ขึ้นอยู่กับกิจกรรมของบุคคลใดๆ บุคคลหนึ่งคนเดียว
 
ในผลงานเมื่อปี ค.ศ. 1893 ([[พ.ศ. 2436]]) ชื่อ ''[[การแบ่งงานในสังคม (หนังสือ)|การแบ่งงานในสังคม]]'' เดอร์ไคหม์ได้ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์กันระหว่างสมาชิกในสังคมรูปแบบต่างๆ เขามุ่งประเด็นอยู่ที่ลักษณะของ[[การแบ่งงาน]] และศึกษาความแตกต่างที่มีใน[[สังคมดั้งเดิม]]และสังคม[[สมัยใหม่]] นักคิดก่อนหน้าเดอร์ไคหม์ เช่น [[เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์]] ([[:en:Herbert Spencer|Herbert Spencer]]) และ [[เฟอร์ดินานด์ โทเอนนีส์]] ([[:en:Ferdinand Toennies|Ferdinand Toennies]]) ได้อธิบายว่า สังคมนั้นมีการพัฒนาในลักษณะเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิต จากที่มีรูปแบบพื้นฐานไม่ยุ่งยาก จนกลายเป็นสิ่งที่ซับซ้อนขึ้น คล้ายคลึงกับการทำงานของเครื่องจักรที่ซับซ้อน เดอร์ไคหม์มองในมุมที่กลับกัน เขากล่าวว่าสังคมดั้งเดิมนั้นมีลักษณะเป็นแบบ 'เชิงกลไก' โดยที่สังคมนั้นเกาะเกี่ยวเป็นหนึ่งเดียวกันได้ด้วยสาเหตุที่ว่าทุกคนมีลักษณะที่คล้ายๆ กัน ซึ่งทำให้มีสิ่งของรวมถึงความคิดที่เหมือนและไปกันได้ เดอร์ไคหม์กล่าวว่า ในสังคมดั้งเดิมนั้น [[สำนึกของกลุ่ม]]นั้นมีบทบาทเหนือสำนึกของปัจเจก — บรรทัดฐานนั้นเข้มแข็ง และพฤติกรรมของสมาชิกก็อยู่ในกฎเกณฑ์
 
ลักษณะเช่นนี้เปลี่ยนไปในสังคมสมัยใหม่ ซึ่งเขากล่าวว่า ผลของระบบการแบ่งงานอย่างซับซ้อนทำให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 'เชิงอินทรีย์' (organic solidarity) กล่าวคือ ความชำนาญเฉพาะด้านในหน้าที่การงานรวมถึงบทบาททางสังคม ทำให้เกิดการขึ้นต่อกันที่ยึดเหนี่ยวผู้คนเอาไว้ด้วยกัน ทั้งนี้เนื่องจากผู้คนไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยการกระทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว ตัวอย่างเช่นในสังคม 'เชิงกลไก' ชาวนาอาจทำนานและอยู่ได้โดยลำพัง แต่ก็รวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ที่มีแบบแผนการดำรงชีวิตรวมถึงอาชีพแบบเดียวกัน ในสังคม 'เชิงอินทรีย์' คนงานทำงานเพื่อได้รายได้ แต่ก็ต้องพึ่งคนอื่นๆ ที่มีความชำนาญในด้านที่แตกต่างออกไป เช่นทำเครื่องนุ่งห่ม ผลิตอาหาร เพื่อตอบสนองความต้องการในด้านต่างๆ
 
ผลจากการเพิ่มขึ้นของระดับการแบ่งงาน ในความคิดของเดอร์ไคหม์นั้น คือการเกิดขึ้นของสำนึกของสมาชิกแต่ละคน ที่มักจะอยู่ในสภาวะขัดแย้งกับสำนึกของกลุ่ม จึงทำให้เกิดความสับสนกับบรรทัดฐาน และในที่สุดแล้วอาจทำให้เกิดการล่มสลายของพฤติกรรมที่อยู่ในกฎเกณฑ์ของ[[บรรทัดฐาน (สังคมวิทยา)|บรรทัดฐานทางสังคม]] เดอร์ไคหม์เรียกสภาวะนี้ว่า ''[[อโนมี]]'' ซึ่งหมายถึงสภาวะที่ไร้บรรทัดฐานทางสังคมทั้งหมด อันเป็นสภาวะที่ความปรารถนาของปัจเจกบุคคลมีได้ถูกบังคับไว้ด้วยบรรทัดฐานใดๆ ทางสังคมเลย สภาวะทำให้เกิด[[พฤติกรรมเบี่ยงเบน]]หลายๆ แบบ เช่น [[อัตวินิบาตกรรม]] หรือ การฆ่าตัวตาย
 
เดอร์ไคหม์ได้พัฒนาแนวคิดของอโนมีเพิ่มเติมในหนังสือ ''อัตวินิบาตกรรม'' ที่ตีพิมพ์ในปีค.ศ. 1897 ([[พ.ศ. 2440]]) เขาเปรียบเทียบอัตราการทำอัตวินิบาตกรรมระหว่างกลุ่มคนในนิกาย[[โปรเตสแตนท์]]และในนิกาย[[แคทอลิก]] และอธิบายว่าระดับของความเข้มแข็งของการควบคุมทางสังคมในกลุ่มนิกาย[[แคทอลิก]] มีผลเกี่ยวข้องกับอัตราการทำอัตวินิบาตกรรมที่ต่ำกว่า ในทัศนะของเดอร์ไคหม์ ผู้คนนั้นมีการยึดติดอยู่กับกลุ่มในระดับหนึ่ง การยึดติดนี้เขาเรียกว่า[[บูรณาการทางสังคม]] ([[:en:social integration|social integration]]) ระดับที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไปของบูรณาการทางสังคมอาจทำให้ระดับของการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น ระดับของบูรณาการทางสังคมที่ต่ำเกินไปทำให้สังคมขาดการจัดองค์กรที่ดี และมีลักษณะที่กระจัดกระจาย ทำให้ผู้คนหันไปพึ่งการฆ่าตัวตายเพื่อเป็นทางออกสุดท้าย ในขณะที่ระดับที่สูงเกินไปบีบบังคับให้ผู้คนฆ่าตัวตายเพื่อลดภาระที่เกิดจากสังคม เดอร์ไคหม์ได้ให้ความเห็นว่าสังคมแคทอลิกนั้นมีระดับของบูรณาการที่ปกติ ในขณะที่สังคมโปรเตสแตนท์มีระดับที่ต่ำ ผลงานชิ้นนั้นมีอิทธิพลต่อการศึกษา[[ทฤษฎีควบคุม (สังคมวิทยา)|ทฤษฎีควบคุม]] และมักถูกจัดว่าเป็นการเนื้อหาของสังคมวิทยายุคคลาสสิก
 
เดอร์ไคหม์ยังสนใจเกี่ยวกับการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เนื่องจากเขาเองทำงานเป็นผู้ฝึกสอนครู และเขาก็ใช้โอกาสนี้ในการปรับปรุงหลักสูตรให้มีการสอนสังคมวิทยาไปในวงกว้างเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้เขายังสนใจที่จะใช้การศึกษาเพื่อสร้างพื้นฐานทางสังคมร่วมกันของพลเมืองชาวฝรั่งเศส เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสภาวะอโนมีขึ้น เพื่อเป้าประสงค์นี้ เขาจึงได้เสนอให้มีการตั้งกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเพื่อเป็นแหล่งสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสำหรับผู้ใหญ่
 
เดอร์ไคหม์ยังเป็นที่จดจำจากงานของเขาที่เกี่ยวกับชนพื้นเมือง (นั่นคือ มนุษย์ที่ไม่ใช่ชาวตะวันตก) ในหนังสือชื่อ ''รูปแบบพื้นฐานของชีวิตศาสนิกชน'' และในความเรียงชื่อ ''การจำแนกชนพื้นเมือง'' ที่เขาเขียนร่วมกับ [[มาเซล มูส]] ([[:en:Marcel Mauss|Marcel Mauss]]) งานเหล่านี้ศึกษาบทบาทของศาสนาและตำนานที่มีกับมุมมองต่อโลกและบุคลิกลักษณะของผู้คน ที่อยู่ในสังคมที่มีลักษณะเป็นสังคมเชิงกลอย่างมาก
 
== แหล่งข้อมูลอื่น ==
*[http://www.relst.uiuc.edu/durkheim The Durkheim Pages] - เว็บไซต์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเดอร์ไคหม์
*[http://www.hewett.norfolk.sch.uk/curric/soc/durkheim/durk.htm Useful information about Durkheim] - เว็บไซต์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเดอร์ไคหม์อีกที่หนึ่ง
 
 
== อ้างอิง ==
* ลิวอิส เอ. โคเซอร์. ''นักปราชญ์ระดับโลก'' แปลโดย กาญจพรรษ (อังกาบ) กอศรีพร, วารุณี ภูริสินสิทธ์, นฤจร อิทธิจีระจรัส, และ จามะรี พิทักษ์วงศ์ ISBN 974-92043-8-7
 
บรรทัด 83:
[[lt:Émile Durkheim]]
[[lv:Emīls Dirkems]]
[[mk:Емил Диркем]]
[[nl:Émile Durkheim]]
[[nn:Émile Durkheim]]