ผลต่างระหว่างรุ่นของ "คดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2551"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
JBot (คุย | ส่วนร่วม)
ย้อนการแก้ไขที่อาจเป็นการทดลอง หรือก่อกวนด้วยบอต ไม่ควรย้อน? แจ้งที่นี่
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1:
{{อัปเดต}}
{{ความหมายอื่น||คดีในปี พ.ศ. 2549|คดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549}}
'''คดียุบพรรคการเมือง[[ พ.ศ. 2551''']] เป็นคดีที่เป็นคดีที่[[พรรคชาติไทย]] [[พรรคมัชฌิมาธิปไตย]] [[ พรรคพลังประชาชน]] (2 ใบแดง)และ[[พรรคเพื่อแผ่นดิน]] อาจถูกตัดสินยุบพรรคฟ้องเป็นจำเลยอันเนื่องมาจากกรณีทุจริต[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2550|การเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550]] ส่วนข้อกล่าวหากรณีที่[[พรรคพลังประชาชน]]เป็นนอมินีหรือตัวแทนของ[[พรรคไทยรักไทย]]ซึ่งได้ถูกตัดสินให้[[คดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549|ยุบพรรค]]ไปแล้วเมื่อ พ.ศ. 2550 คณะกรรมการเลือกตั้งสรุปว่าปรากฏหลักฐานเพียงพอที่พรรคพลังประชาชนเข้าข่ายเป็นตัวแทนของพรรคไทยรักไทย แต่ได้ยกคำร้องเพราะไม่มีกฎหมายเอาผิด
 
==ประวัติ ==
== พรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย ==
หลังการเลือกตั้ง 2550 คณะกรรมการการเลือกตั้งพบการทุจริต มีการให้ใบแดงและพิจารณาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายมณเฑียร สงฆ์ประชา ผู้สมัครรับเลือกตั้งและรองเลขาธิการพรรคชาติไทย กับนายสุนทร วิลาวัลย์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งและรองหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย<ref name="thaipost">ไทยโพสต์, มติ กกต. 4:1 เชือด'ชท.-มฌ.', 12 เมษายน 2551, หน้า 2</ref>
 
คดียุบพรรคมีจุดเริ่มต้นจากมี[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2550]]ต่อมา[[ศาลฎีกา]]แผนกคดีเลือกตั้งได้เพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคของแต่ละพรรคเป็นเวลา5ปี ต่อมา[[คณะกรรมการการเลือกตั้ง]] (กกต.)มีความเห็นว่าทั้ง 3 พรรคกระทำความผิดตามมาตรา 237 วรรค 2 ของ[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550]]และได้ส่งสำนวนต่ออัยการสูงสุดเพื่อให้[[ศาลรัฐธรรมนูญ]]มีคำสั่งยุบพรรคการเมืองทั้ง 3 พรรค
วันที่ 16 เมษายน 2551 คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติด้วยคะแนนเสียง 4 ต่อ 1 (มติเสียงข้างน้อย 1 เสียงในทั้งสองกรณี คือ [[สมชัย จึงประเสริฐ|นายสมชัย จึงประเสริฐ]])<ref name="thaipost" /> เห็นชอบตามที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เสนอความเห็นให้ส่งสำนวนเรื่องการยุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตยให้อัยการสูงสุดพิจารณา
 
 
แม้ว่าคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงได้สรุปก่อนหน้านั้นว่าหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคคนอื่นในทั้งสองพรรค ไม่มีส่วนรู้เห็นต่อการกระทำผิดของนายมณเฑียร สงฆ์ประชา และนายสุนทร วิลาวัลย์ แต่การที่ทั้งสองคนต่างก็เป็นกรรมการบริหารพรรคเสียเอง กกต.จึงพิจารณาตามมาตรา 237 วรรคสอง ของ[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550]] และมาตรา 103 วรรคสอง ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ซึ่งบัญญัติไว้ตรงกันว่า ถ้าการกระทำดังกล่าวปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย หรือทราบแล้วไม่ได้ยับยั้งหรือแก้ไข เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการซึ่งให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
== คำร้องให้ยุบพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย ==
หลัง[[การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย 2550พ.ศ. 2550]][[คณะกรรมการการเลือกตั้ง]]พบการทุจริต มีการให้ใบแดงและพิจารณาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายมณเฑียร สงฆ์ประชา ผู้สมัครรับเลือกตั้งและรองเลขาธิการ[[พรรคชาติไทย]] กับนายสุนทร วิลาวัลย์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งและรองหัวหน้า[[พรรคมัชฌิมาธิปไตย]]<ref name="thaipost">ไทยโพสต์, มติ กกต. 4:1 เชือด'ชท.-มฌ.', [[12 เมษายน]] 2551, หน้า 2</ref>
 
วันที่ [[16 เมษายน]] 2551 [[คณะกรรมการการเลือกตั้ง]]มีมติด้วยคะแนนเสียง 4 ต่อ 1 (มติเสียงข้างน้อย 1 เสียงในทั้งสองกรณี คือ [[สมชัย จึงประเสริฐ|นายสมชัย จึงประเสริฐ]])<ref name="thaipost" /> เห็นชอบตามที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เสนอความเห็นให้ส่งสำนวนเรื่องการยุบ[[พรรคชาติไทย]]และ[[พรรคมัชฌิมาธิปไตย]]ให้อัยการสูงสุดพิจารณา
 
แม้ว่าคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงได้สรุปก่อนหน้านั้นว่าหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคคนอื่นในทั้งสองพรรค ไม่มีส่วนรู้เห็นต่อการกระทำผิดของนายมณเฑียร สงฆ์ประชา และนายสุนทร วิลาวัลย์ แต่การที่ทั้งสองคนต่างก็เป็นกรรมการบริหารพรรคเสียเอง กกต.จึงพิจารณาตามมาตรา 237 วรรคสอง ของ[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550]] และมาตรา 103 วรรคสอง ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง[[สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร]]และการได้มาซึ่ง[[สมาชิกวุฒิสภา]] พ.ศ. 2550 ซึ่งบัญญัติไว้ตรงกันว่า ถ้าการกระทำดังกล่าวปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย หรือทราบแล้วไม่ได้ยับยั้งหรือแก้ไข เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการซึ่งให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ใน[[รัฐธรรมนูญ]]
 
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้นายทะเบียนพรรคการเมือง (ประธาน กกต.) ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 95 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ไม่อาจใช้ดุลยพินิจในการเลือกที่จะแจ้งหรือไม่แจ้งต่ออัยการสูงสุด
เส้น 16 ⟶ 21:
ตามขั้นตอนทางกฎหมาย หากอัยการสูงสุดมีความเห็นสมควร อัยการสูงสุดจะยื่นคำร้องเพื่อให้[[ศาลรัฐธรรมนูญ]]มีคำสั่งยุบพรรค แต่หากอัยการสูงสุดมีความเห็นไม่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ นายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องตั้งคณะทำงานโดยมีผู้แทนจากทั้งนายทะเบียนพรรคและอัยการสูงสุด รวบรวมพยานหลักฐาน และส่งให้อัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป แต่หากในกรณีที่คณะทำงานดังกล่าวไม่อาจหาข้อยุติได้ภายใน 30 วัน นับแต่ที่ได้แต่งตั้งคณะทำงาน นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของ กกต. มีอำนาจยื่นคำร้องเองได้
 
== คำร้องให้ยุบพรรคพลังประชาชน ==
วันที่ [[26 กุมภาพันธ์]] 2551 [[คณะกรรมการการเลือกตั้ง]]มีมติด้วยเสียงข้างมาก 3 ใน 5 (งดออกเสียงหนึ่งเสียง) ให้ใบแดงและส่งความเห็นไปยัง[[ศาลฎีกา]]แผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ[[ยงยุทธ ติยะไพรัช|นายยงยุทธ ติยะไพรัช]] รองหัวหน้า[[พรรคพลังประชาชน]] ส.ส.แบบสัดส่วน ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา<ref>ไทยโพสต์, ระส่ำ! 'ยุบพรรค', 27 กุมภาพันธ์ 2551, หน้า 1,12</ref> เนื่องจากพบว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งที่[[จังหวัดเชียงราย]] โดยมีนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนัน ต.จันจว้า อ.แม่จัน เป็นพยานคนสำคัญ
 
คดีทุจริตเลือกตั้งนี้เกิดจากนายวิจิตร ยอดสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส.[[พรรคชาติไทย]] นำหลักฐานเป็นวีซีดี กล่าวหาว่านายยงยุทธเรียกกำนัน 10 คน ในอำเภอแม่จัน [[จังหวัดเชียงราย]] นำโดยนายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ เดินทางไปพบที่กรุงเทพฯ ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550 และเข้าพักที่โรงแรมเอสซีปาร์ค นายยงยุทธขอให้กำนันช่วยเหลือตนและน้องสาว ตลอดจนนายอิทธิเดช ผู้สมัคร เขต 3 จากนั้นคนสนิทของนายยงยุทธได้มอบเงินให้กำนันคนละ 20,000 บาท นายยงยุทธได้ออกมาตอบโต้ตลอดเวลาว่าเป็นการจัดฉาก ถูกสร้างพยานหลักฐานเท็จ ด้าน กกต. กล่าวว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับซีดีเพราะมีพยานบุคคลที่ยืนยันชัดเจน หลัง กกต.มีมติ นายยงยุทธได้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ประธานสภาโดยไม่ลาออก
 
วันที่ 8 กรกฎาคม 2551 [[ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง]] วินิจฉัยว่ากรณีที่นายยงยุทธให้เงินกับกำนัน อ.แม่จัน ทั้ง 10 คน เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจริงตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ จึงพิพากษายืนตามมติของ กกต. และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายยงยุทธเป็นเวลา 5 ปี ขณะที่ กกต.เตรียมดำเนินการต่อ โดยสรุปสำนวนส่งให้[[อัยการสูงสุด]] เพื่อยื่นต่อ[[ศาลรัฐธรรมนูญ (ประเทศไทย)|ศาลรัฐธรรมนูญ]] เสนอยุบพรรคพลังประชาชนต่อไป<ref>สำนักข่าวไทย, [http://www.mcot.net/inside-headline.php?nid=1440 ศาลฎีกาให้ใบแดงยงยุทธ เพิกถอนสิทธิ 5 ปี], 8 กรกฎาคม 2551</ref>
 
การพิจารณาคดีนี้คาดว่าอาจใช้เวลานานหลายเดือน เช่นเดียวกับคดียุบพรรคไทยรักไทย นอกจากนี้ ยังถูกเชื่อมโยงกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งหลายฝ่ายออกมาตั้งข้อสังเกตและต่อต้าน<ref>มติชน, [http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=25877&catid=156&catid=1 ส.ส.'พปช.'ปัดแก้รธน.ฟอก'แม้ว'นิรโทษฯ 111 ทรท. ยันไม่สนถูกถอดจากตำแหน่ง], 1 เมษายน 2551</ref> เนื่องจากมองว่ามีเจตนาทำเพื่อตัวเอง ไม่ให้พรรคพลังประชาชนถูกยุบ
 
== พรรคเพื่อแผ่นดิน ==
คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2551 โดยมติเป็นเอกฉันท์ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) แก่[[นพดล พลซื่อ|นายนพดล พลซื่อ]] รองเลขาธิการ[[พรรคเพื่อแผ่นดิน]]และกรรมการบริหารพรรค เป็นผู้สมัคร ส.ส. เขต 3 (ได้รับเลือกตั้งที่ [[จ.ร้อยเอ็ด]]) และนายกิตติพงศ์ พรหมชัยนันท์ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 3 (ไม่ได้รับเลือกตั้ง) เนื่องจากพบการกระทำผิดในข้อกล่าวหาว่าขนคนไปฟังการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งและให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งได้สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ และให้นายนพดลชดใช้ค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้งใหม่ รวมทั้งให้ดำเนินคดีอาญากับทั้งสองผู้สมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งผู้เกี่ยวข้อง และได้มอบหมายให้ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยรวบรวมพยานหลักฐานยื่นคำร้องต่อศาลฏีกาภายใน 15 วัน เพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไป<ref>ข่าว กกต., [http://www.ect.go.th/thai/download51/98_2551.pdf กกต. แจกใบแดง ส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดิน], 3 กรกฎาคม 2551</ref> หากศาลฎีกาวินิจฉัยยืนตามที่ กกต.ชี้มูล ก็มีโอกาสที่พรรคเพื่อแผ่นดินจะถูก กกต.เสนอยุบพรรค
 
== กรณีพรรคพลังประชาชนเป็นตัวแทนพรรคไทยรักไทย ==
เส้น 34 ⟶ 36:
 
วันที่ 1 พฤษภาคม 2551 คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณากรณีดังกล่าวโดยแบ่งเป็นสองประเด็น คำร้องของนายประสิทธิ์นั้น กกต.มีมติ 4 ต่อ 1 ให้ยกคำร้อง เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดได้ ส่วนคำร้องของนายวีระ กกต.มีมติ 3:1:1 สามเสียงเห็นว่าปรากฏหลักฐานเพียงพอที่พรรคพลังประชาชนเข้าข่ายเป็นตัวแทนของพรรคไทยรักไทย แต่เมื่อพิจารณาตามกฎหมายแล้วไม่เข้าข่ายมีความผิดตามมาตราใดของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง หนึ่งเสียงเห็นว่าไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิดและไม่มีพฤติการณ์เข้าองค์ประกอบความผิด ส่วนอีกหนึ่งเสียงเห็นว่าควรแจ้งนายทะเบียนพรรคดำเนินการตรวจสอบต่อ<ref>ไทยโพสต์, เข้าข่ายตัวแทนทรท. กกต.ยกคำร้องนอมินี, 2 พฤษภาคม 2551, หน้า 1, 12</ref>
 
==การไต่สวนและคำวินิจฉัย==
 
''' ผู้พิพากษาคดียุบพรรคการเมือง'''
 
ผู้พิพากษาคดียุบพรรคการเมืองมีทั้งหมด 9 คน ซึ่งทั้งหมดมีดังนี้
 
นายชัช ชลวร (ประธานคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)
นายจรัญ ภักดีธนา(กุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ )
นายจรูญ อินทจาร (ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ )
นายเฉลิมพล เอกอุรุ( ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ )
นายนุรักษ์ มาประณีต( ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ )
นายบุญส่ง กุลบุปผา (ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ )
นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ (ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ )
นายสุพจน์ ไข่มุกต์ (ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ )
นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี (ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ )
 
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ไต่สวนพยานวันที่[[28 พฤศจิกายน]] [[พ.ศ. 2551]] มีตัวแทน[[พรรคการเมือง]]เข้าร่วมรับฟังพร้อมเพรียงพยาน[[พรรคมัชฌิมาธิปไตย]]จำนวน 20 ปาก และขอเพิ่มเติมอีก 29 ปาก พยาน[[พรรคชาติไทย]]จำนวน 42 ปาก พยานเทปซีดีคำปราศรัยห้ามซื้อเสียง และพยานเอกสาร 33 รายการ พยาน[[พรรคพลังประชาชน]]จำนวน 60 ปาก
 
==สรุปคำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ==
เวลา 12.00-13.32 น. วันที่ [[2 ธันวาคม]] [[พ.ศ. 2551]] คณะ[[ตุลาการรัฐธรรมนูญ]]อ่านคำวินิจฉัยกรณีอัยการสูงสุดมีคำร้องให้ยุบ[[พรรคพลังประชาชน ]][[พรรคชาติไทย]] และ[[พรรคมัชฌิมาธิปไตย]]โดยมีคำสั่งให้ยุบพรรคทั้ง3พรรค รวมทั้งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งต่อกรรมการบริหารพรรคเป็นจำนวน 37 คน, 43 คน, และ 29 คน ตามลำดับ มีกำหนด 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญคำสั่งให้ยุบพรรคสามารถสรุปได้ดังนี้
 
สำหรับกรณีของ[[พรรคพลังประชาชน]] นั้น [[ตุลาการรัฐธรรมนูญ ]] ระบุว่ากรณีที่นาย[[ยงยุทธ ติยะไพรัช]] อดีตรองหัวหน้าพรรคกระทำการฝ่าฝืนและขัดต่อ พ.ร.บ.พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ส.ว.พ.ศ. 2550 ที่มีผลทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริต และได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางของ[[รัฐธรรมนูญ]] ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่พรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ ต้องร่วมรับผิดชอบ
ศาลวินิจฉัยแล้วเห็นว่าคำแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกร้องฟังไม่ขึ้น เนื่องจากนายยงยุทธ เป็นนักการเมืองหลายสมัย มีฐานะเป็นถึงรองหัวหน้าพรรค และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ย่อมต้องเพิ่มความเข้มงวดที่จะไม่กระทำการใดๆ อันฝ่าฝืน[[กฎหมาย]] แต่นาย[[ยงยุทธ ติยะไพรัช ]] กลับกระทำผิดเสียเอง
 
นอกจากนี้กรณีที่[[พรรคพลังประชาชน]]โต้แย้งว่าได้จัดการประชุมชี้แจงเพื่อกำชับไม่ให้ผู้สมัครของพรรคกระทำการฝ่าฝืน[[กฎหมาย]]เลือกตั้งแล้วก็ตามนั้น ศาลเห็นว่าแม้พรรคจะมีการกระทำดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้เป็นข้อยกเว้นความรับผิดในการที่กรรมการบริหารพรรคจะไปกระทำผิดเอง เพราะทำให้เห็นว่ามาตรการดังกล่าวไม่ได้มีผลบังคับใช้
 
ส่วนที่มีข้อโต้แย้งว่าผลการสืบสวนของ[[คณะกรรมการการเลือกตั้ง]](กกต.) ละเมิดสิทธิและไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมนั้น ศาลวินิจฉัยแล้วเห็นว่า กกต.มีหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาล และได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายมาอย่างถูกต้องแล้ว
 
สำหรับกรณีของ[[พรรคมัชฌิมาธิปไตย]] และ[[พรรคชาติไทย]] ในการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งของนายสุนทร วิลาวัลย์ รองหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหาร[[พรรคมัชฌิมาฯ มัชฌิมาธิปไตย]]และนายมณเฑียร สงฆ์ประชา รองเลขาธิการพรรคชาติไทยนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินไปในทิศทางเดียวกันคือวินิจฉัยให้ยุบพรรคและตัดสิทธิเลือกตั้งแก่กรรมการบริหารพรรคคนละ 5 ปี
 
อย่างไรก็ดี ในส่วนข้อโต้แย้งของพรรคมัชฌิมาธิปไตยเกี่ยวกับสถานะภาพการเป็นกรรมการบริหารพรรคนั้น ศาลวินิจฉัยแล้วเห็นว่าแม้นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ จะได้ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคไปตั้งแต่วันที่ [[4 ธันวาคม]] [[พ..502550]] อันจะมีผลให้กรรมการบริหารพรรคต้องพ้นสภาพไปด้วยก็ตาม แต่ยังมีข้อกำหนดที่ให้กรรมการบริหารพรรคต้องทำหน้าที่รักษาการต่อไปจนกว่านายทะเบียนพรรคการเมืองจะตอบรับการเปลี่ยนแปลง
 
ดังนั้น จึงถือว่านายสุนทร ยังคงทำหน้าที่เป็นกรรมการบริหาร[[พรรคมัชฌิมาฯมัชฌิมาธิปไตย]]] อยู่ในขณะเกิดเหตุ แม้จะมีสถานะภาพเป็นเพียงผู้รักษาการณ์ก็ตาม อันเป็นเหตุให้การกระทำใดๆ ของกรรมการบริหารพรรคที่ขัดต่อ พ.ร.บ.พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา [[พ.. 2550 ]] มีเหตุให้ต้องยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคดังกล่าว
 
== แหล่งข้อมูลอื่น ==