ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สถาปัตยกรรมบารอก"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
บรรทัด 38:
สถาปัตยกรรมบาโรกเริ่มมาจากสถาปัตยกรรมในอิตาลีเช่นบาซิลิกา สิ่งก่อสร้างชิ้นแรกที่แยกตัวมาจากลักษณะ[[แมนเนอริสม์]] คือวัดซานตาซูซานนาซึ่งออกแบบโดย คาร์โล มาเดอร์โน จังหวะการวางโครงสร้างของเสา โถงกลาง และ การตกแต่งภายในทำให้สิ่งก่อสร้างเพิ่มความซับซ้อนขึ้น และการริเริ่มความมีลูกเล่นภายในกฏของโครงสร้างแบบคลาสสิค
สถาปัตยกรรมบาโรกจะเน้นความยืดหยุ่น ความต่อเนื่อง และ ความเป็นนาฏกรรมของสิ่งก่อสร้างซึ่งจะเห็นได้จากผลงานวัดซานลูคาและซานตา
ตัวอย่างของสิ่งก่อสร้างตามลักษณะนี้คือลาน/จัตุรัสหน้า[[มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์]]ที่กรุงโรม ออกแบบโดย [[จานลอเรนโซ เบร์นินี]] ระหว่างปี ค.ศ. 1656 ถึงปี ค.ศ. 1667 ซึ่งถือกันว่าเป็นงานชิ้นเอกของสถาปัตยกรรมบาโรกที่เพิ่มความเด่นชัดของภูมิทัศน์เมืองโรม ตัวจัตุรัสเป็นซุ้มโค้งสองด้าน (colonnades) รอบลานกลางทรง trapezoidal เพราะความใหญ่โตและรูปทรงของจัตุรัสที่ดึงเข้าไปสู่ด้านหน้ามหาวิหาร ทำให้ผู้ที่เดินเข้ามาในจัตุรัสมีความรู้สึกเกรงขามหรือทึ่ง ผังที่เบร์นินีเองชอบคือวัดรูปไข่ซานอันเดรียอาลควินาลเล (Sant'Andrea al Quirinale) ที่ออกแบบเมื่อปี ค.ศ. 1658 ซึ่งมีแท่นบูชาตระหง่านและโดมสูงเป็นตัวอย่างที่แสดงหัวใจของสถาปัตยกรรมแบบบาโรกได้อย่างกระทัดรัด ตัวอย่างของสถาปัตยกรรมแบบบาโรกสำหรับที่อยู่อาศัยของเบร์นินีก็ได้แก่วังบาร์เบรินี (Palazzo Barberini) ออกแบบเมื่อปี ค.ศ.
คู่แข่งคนสำคัญของเบร์นินีที่โรมคือ [[ฟรานเซสโก บอโรมินิ]] ซึ่งงานของเขาจะแยกแนวไปจากการจัดองค์ประกอบตามสถาปัตยกรรมแบบแผนโบราณและสถาปัตยกรรมฟื้นฟูศิลปวิทยาเป็นอย่างมาก สถาปัตยกรรมของบอโรมินิจะหนักไปทางนาฏกรรมมากกว่าแบบแผนเดิมซึ่งในภายหลังถือว่าเป็นการปฏิวัติทางสถาปัตยกรรมหลังจากที่ถูกโจมตีในคริสต์ศตวรรษที่ 16 บอโรมินินิยมใช้การจัดรูปแบบจากรูปทรงเรขาคณิตต่างๆ อย่างซับซ้อน ช่องว่างภายในของจะขยายออกหรือหดตัวตามที่บอโรมินิจะจัดซึ่งมาเชื่อมต่อกับลักษณะการออกแบบระยะต่อมาโดย[[
หลังจากบอโรมินิเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1640 [[คาร์โล ฟอน
คริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นศตวรรษที่เมืองหลวงของสถาปัตยกรรมแบบบาโรกย้ายจากโรมไป[[ปารีส]] สถาปัตยกรรมแบบ[[ศิลปะโรโคโค|โรโคโค]]ที่รุ่งเรืองที่โรมราวปี ค.ศ. 1720 เป็นต้นมาเป็นสถาปัตยกรรมที่มีอิทธิพลอย่างมากมาจากความคิดของบอโรมินิ สถาปนิกที่มีชื่อที่สุดในกรุงโรมสมัยนั้นก็มีฟรานเชสโก เดอ ซองตีส์ (Francesco de Sanctis) ผู้สร้าง[[บันไดสเปน
สถาปัตยกรรมบาโรกช่วงหลังในอิตาลีจะเห็นได้จากวังคาเซอร์ตา[http://commons.wikimedia.org/wiki/image:Caserta-reggia-15-4-05_112-ritoc.JPG] (Caserta Palace) โดยลุยจิ แวนวิเทลลิ (Luigi Vanvitelli) ซึ่งว่ากันว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นลักษณะที่มีอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมบาโรกของฝรั่งเศสและสเปน ตัวอาคารวางเข้ากันกับสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ ลักษณะของสิ่งก่อสร้างของแวนวิเทลลิที่[[เนเปิลส์]]และคาเซอร์ตาเป็นแบบที่ค่อนข้างเรียบแต่ก็รักษาความสวยงามไว้ซึ่งเป็นลักษณะที่เอื้อต่อการวิวัฒนาการไปเป็น[[สถาปัตยกรรมฟื้นฟูคลาสสิค]]ในสมัยต่อมา
เส้น 53 ⟶ 52:
=== ประเทศอิตาลี - ภาคเหนือ ===
[[ภาพ:Museo_del_Risorgimento_italiano.JPG|thumb|250px||ด้านหน้าวังคาริยาโน โดย ฟรานเซสโก บอโรมินิ]]
ทางภาคเหนือของอิตาลีเจ้านาย[[ราชวงศ์ซาวอย]]ทรงนิยมสถาปัตยกรรมบาโรกจึงจ้าง [[กัวริโน กัวรินี]]
กัวรินีเดิมเป็นพระใช้ความชำนาญทางสถาปัตยกรรมกอธิคเดิมเป็นพื้นฐานในการสร้างสิ่งก่อสร้างที่รูปทรงไม่สมมาตร โดยการใช้เสารูปใข่หรือการทำ[[ด้านตกแต่ง]] (Façade)<!-- Façade ไม่จำเป็นต้องเป็นด้านหน้าของตัวอาคาร -->ที่ผิดแปลกไปจากจากที่เคยทำกันมา โดยสร้างลักษณะที่เรียกกันว่า “architectura obliqua” ซึ่งนำมาจากลักษณะของ[[ฟรานเซสโก บอโรมินิ]]ทั้งรูปทรงและโครงสร้าง วังคาริยาโน (Palazzo Carignano) ที่กัวรินีสร้างเมือปี ค.ศ. 1679 ถือว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่หรูหราที่สุดในการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยในคริสต์ศตวรรษที่ 17
ลักษณะสิ่งก่อสร้างของฟิลิปโป จูวาร์ราจะดูเบาเหมือนลอยได้ซึ่งเป็นลักษณะที่พบใน[[ศิลปะแบบโรโคโค]] งานออกแบบชิ้นที่สำคัญที่สุดเป็นงานที่ทำให้กับวิคทอร์ อามาเดอุสที่ 2 แห่งซาร์ดิเนีย ทัศน์ศิลป์ของบาซิลิกาซุเพอร์กาที่จูวาร์ราสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1717 มีอิทธิพลมาจากตึกเด่นๆ และเนินเขาบริเวณตูริน ตัวบาซิลิกาเองตั้งเด่นอยู่บนเขาเหนือตัวเมืองซึ่งเป็นลักษณะที่มีอิทธิพลต่อการสร้างบ้านพักล่าสัตวฺ์ สำหรับวังสตูปินยิ (Palazzina di Stupinigi) เมื่อปี ค.ศ. 1729 งานของจูวาร์รามีอิทธิพลนอกเหนือไปจากบริเวณ[[ตูริน]] ซึ่งจะเห็นได้จากงานสุดท้ายที่ทำคือพระราชวังลากรานฮา[http://commons.wikimedia.org/wiki/image:La_Granja_Palacio.jpg] (La Granja) ที่[[มาดริด]] [[ประเทศสเปน]] สำหรับพระเจ้าฟิลลิปที่ 5 แห่งสเปน และพระราชวังอรานฮูซ[http://commons.wikimedia.org/wiki/image:Aranjuez_PalacioReal_cadena.jpg] (Palacio Real de Aranjuez)
แต่ผู้ที่ได้รับอิทธิพลจากกัวรินี และจูวาร์รามากที่สุดเห็นจะเป็นเบอร์นาร์โด วิทโทเน สถาปนิกชาว[[พีดมอนท์]]ผู้สร้างวัดแบบโรโคโคไว้มาก ผังจะเป็นสี่กลีบและใช้รายละเอียดมากในการตกแต่ง แบบของวิทโทเนจะซับซ้อนเป็น[[เพดานโค้ง]]ซ้อนกันหลายชั้น โครงสร้างซ้อนโครงสร้าง และโดมซ้อนโดม
เส้น 68 ⟶ 67:
ศูนย์กลางของ[[สถาปัตยกรรมบาโรก]]สำหรับที่อยู่อาศัยก็เห็นจะต้องเป็น[[ประเทศฝรั่งเศส]] การออกแบบวังมักเป็นผังแบบสามปีกรูปเกือกม้าที่เริ่มทำกันมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 แต่สิ่งก่อสร้างที่มีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมบาโรกที่แท้จริงคือ วังลักเซมเบิร์กซึ่งออกแบบโดย [[ซาโลมอน เดอ โบร]] (Salomon de Brosse) ที่เป็นลักษณะไปทางคลาสสิคซึ่งเป็นลักษณะบาโรกของฝรั่งเศส หลักการจัดองค์ประกอบของสิ่งก่อสร้างก็จะให้ความสำคัญกับบริเวณหลักเช่นห้องรับรอง เป็นบริเวณสำคัญที่สุด ([[:en:corps de logis|corps de logis]]) การจัดลักษณะนี้เริ่มทำกันเป็นครั้งแรกในประเทศฝรั่งเศส ขณะที่ห้องทางปีกที่ใกลออกไปจากห้องหลักจะค่อยลดความสำคัญลงไปตามลำดับ หอแบบ[[ยุคกลาง]]มาแทนที่ด้วยมุขที่ยื่นออกมาตรงกลางสิ่งก่อสร้างซึ่งอาจจะเป็นประตูมหึมาสามชั้นเป็นต้น
งานของเดอ โบรเป็นงานผสมระหว่างลักษณะแบบฝรั่งเศส (สูงลอย หลังคาแมนซารด์[http://commons.wikimedia.org/wiki/image:Mansard.jpg] (Mansard) และหลังคาที่ซับซ้อน) กับลักษณะแบบอิตาลีที่คล้ายกับ[[วังพิตติ]][http://commons.wikimedia.org/wiki/image:Palazzo_Pitti_Gartenfassade_Florenz.jpg]ที่[[ฟลอเรนซ์]]ทำให้กลายมาเป็นลักษณะที่เรียกว่า “ลักษณะหลุยส์ที่ 13” ผู้ที่ใช้ลักษณะนี้ได้ดีที่สุดก็เห็นจะเป็น[[ฟรองซัว มองซาร์|ฟรองซัวส์ มองซาร์]]ผู้ที่ถือกันว่าเป็นผู้นำสถาปัตยกรรมบาโรกเข้ามาในฝรั่งเศส เมื่อออกแบบวังไมซองส์ (Château de Maisons) เมื่อปี ค.ศ. 1642 มองซาร์สามารถนำทฤษฎีการก่อสร้างทั่วไปและแบบบาโรกมาปรับให้เข้ากับลักษณะกอธิคที่ยังหลงเหลือภายในการก่อสร้างแบบฝรั่งเศสได้เป็นอย่างดี
วังไมซองส์แสดงให้เราเห็นถึงการค่อยๆ แปลงจากสถาปัตยกรรมหลังยุคกลางของวังในคริสต์ศตวรรษที่ 16 มาเป็นลักษณะแบบคฤหาสน์ชนบทในคริสต์ศตวรรษที่ 18 โครงสร้างเป็นสัดส่วนแบบสมมาตรและใช้เสาตกแต่งทุกชั้นอย่างเป็นระเบียบ ส่วนใหญ่จะเป็นเสาอิง ด้านหน้าตกแต่งด้วย[[ชายคา]]ที่ดูราวกับว่ามีความยืดหยุ่น ทำให้สิ่งก่อสร้างทั้งหมดดูเหมือนสามมิติ แต่โครงสร้างของมองซาร์จะ “ปอก” สิ่งตกแต่งที่ “รก” ที่มักจะใช้ในสถาปัตยกรรมบาโรกแบบโรมออก
เส้น 78 ⟶ 77:
การขยายครั้งสุดท้ายของพระราชวังแวร์ซายทำโดย [[จุลส์ อาร์ดวง มองซาร์]] (Jules Hardouin-Mansart) ผู้เป็นคนสำคัญในการออกแบบ โดมเดออินแวลีด (Les Invalides) ซึ่งถือกันว่าเป็นวัดที่สำคัญที่สุดในศตวรรษนั้นของฝรั่งเศส อาร์ดวง มองซาร์ ได้รับประโยชน์จากคำสอนของฟรองซัว มองซาร์ผู้เป็นลุง ซึ่งเป็นการสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อนในประเทศทางตอนเหนือของอิตาลี และการใช้โดมครึ่งวงกลมบนโครงสร้างที่มั่นคงที่ดูแล้วมิได้แสดงสัดส่วนที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งก่อสร้าง จุลส์ อาร์ดวงมิได้แต่ปรับปรุงทฤษฎีของลุงเท่านั้นแต่ยังวางรากฐานการก่อสร้างแบบบาโรกลักษณะฝรั่งเศสด้วย
ในสมัย[[พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส|พระเจ้าหลุยส์ที่ 15]] ก็เริ่มปฏิกิริยาต่อลักษณะสถาปัตยกรรมแบบ[[พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส|พระเจ้าหลุยส์ที่ 14]] โดยเปลี่ยนมาเป็นรูปลักษณะที่ละเอียดอ่อนช้อยและเป็นกันเองกว่าเดิมที่เรียกกันว่า “[[ศิลปะโรโคโค]]” ผู้ริเริ่มการใช้ลักษณะนี้คือนิโคลัส พินเนอ (Nicholas Pineau) ผู้ร่วมมือกับจุลส์ อาร์ดวง มองซาร์ตกแต่งภายในวังมาร์ลี[http://en.wikipedia.org/wiki/image:Marly_1724.jpg] (Château de Marly) ศิลปินอื่นที่สร้างงานแบบโรโคโคคือปิแอร์ เลอ
===มอลตา===
[[ภาพ:Valetta1589-cleaned.jpg|thumb|250px|right|ผังเมืองหลวง[[วัลเลตตา]] มอลตา]]
[[ภาพ:800px-Koninlijk Paleis DSCN2407.jpg|thumb|250px|ตึกเทศบาลเมืองอัมสเตอร์ดัม โดยเจคอป แวน แค็มเพ็น ค.ศ. 1646]]
[[ผังเมือง]]วาลเลททาซึ่งเป็นเมืองหลวงของ [[ประเทศมอลตา]]วางเมื่อปี ค.ศ. 1566 เพื่อเป็นเมืองรับศึกของ “[[Knights of Malta]]” เดิมคือ “[[Knights of Rhodes]]” ผู้มายึดเกาะมอลตาหลังจากถูกขับจาก[[โรดส์]]โดยกองทัพทหาร[[อิสลาม]] ตัวเมืองออกแบบโดยฟรานเชสโก ลา
=== เนเธอร์แลนด์ ===
ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 สถาปัตยกรรมแบบบาโรกเกือบไม่มีอิทธิพลใน[[ประเทศเนเธอร์แลนด์]] สถาปัตยกรรมของสาธารณะรัฐทางตอนเหนือของยุโรปเป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อแสดงคุณค่าของประชาธิปไตยของประชาชนมิใช่เพื่อเป็นการแสดงอำนาจของเจ้าของผู้สร้าง สถาปัตยกรรมก็จะสร้างเลียนแบบ[[สถาปัตยกรรมคลาสสิค]] ซึ่งคล้ายกับการวิวัฒนาการในอังกฤษสถาปัตยกรรมแบบพาเลเดียนของเนเธอร์แลนด์จะดูทะมึนและรัดตัว สถาปนิกที่สำคัญสองคน เจคอป แวน แค็มเพ็น (Jacob van Campen) และ เปียร์เตอร์ โพสต์ (Pieter Post) ใช้การผสมผสานของเสาใหญ่
งานที่ใหญ่ๆ ในสมัยนั้นก็ได้แก่ตึกเทศบาลเมืองอัมสเตอร์ดัม ออกแบบเมื่อ ค.ศ. 1646 โดยแค็มเพ็นและ มาสตริชท์ (Maastricht) สร้างเมื่อค.ศ. 1658 วังต่างๆ ของราชวงศ์ออเร็นจ์ (House of Orange) จะละม้ายคฤหาสน์ของผู้มีอันจะกินมากกว่าจะเป็นวัง เช่นวัง Huis ten Bosch และ Mauritshuis เป็นทรงบล็อกสมดุลประกอบด้วยหน้าต่างใหญ่
รัฐเนเธอร์แลนด์เป็นรัฐหนึ่งที่มีอำนาจมากในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในยุโรปฉะนั้นอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมของเนเธอร์แลนด์จึงมีความสำคัญต่อยุโรปตอนเหนือ สถาปนิกจากเนเธอร์แลนด์ถูกจ้างให้สร้างโครงการใหญ่ๆ ทางตอนเหนือของประเทศเยอรมนี
=== ประเทศเบลเยียม ===
เส้น 118 ⟶ 117:
เทสซิน ผู้พ่อเกิดที่ประเทศเยอรมนีเป็นผู้สร้างลักษณะสถาปัตยกรรมแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของสวีเดนซึ่งผสมระหว่างสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสร่วมสมัยและลักษณะบอลติกยุคกลาง การออกแบบวังโดรทนิงโฮล์ม (Drottningholm Palace) เป็นการใช้ลักษณะฝรั่งเศสและอิตาลีแต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีลักษณะของสแกนดิเนเวียเช่นหลังคาเป็นแบบ “hipped roof”
เทสซิน ผู้ลูกรักษาลักษณะเดียวกับพ่อ ที่จะทำด้านหน้าสิ่งก่อสร้างที่ค่อนข้างเรียบ การออกแบบวังสตอกโฮล์มเป็นอิทธิพลโดยตรงของผัง[[พิพิธภัณฑ์ลูฟร์]]ของ[[จานลอเรนโซ เบร์นินี]]ที่มิได้สร้างตามแผนของเบร์นินี ซึ่งทำให้นึกภาพวังสตอกโฮล์มตั้งอยู่อย่างเหมาะสมที่[[เนเปิลส์]]
บาโรกสวีเดนมีอิทธิพลจนมาถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 จนเมื่อสถาปัตยกรรมแบบเดนมาร์กและรัสเซียเข้ามามิอิทธิพลแทนที่ งานชิ้นที่เห็นได้ชัดคืองานของนิโคไล เอทเวด (Nicolai Eigtved) เช่นบริเวณอามาเลียนบอร์ก (Amalienborg) กลางเมืองโคเปนเฮเกน ปราสาทประกอบด้วยอาคารสี่เหลี่ยมสี่หลังสำหรับผู้ปกครองที่มีอำนาจสี่กลุ่มใน[[ประเทศเดนมาร์ก]] จัดรอบจัตุรัสแปดเหลี่ยม ด้านหน้าตกแต่งแบบเรียบแต่ภายในเป็นแบบโรโคโคที่ดีที่สุดของทวีปยุโรปตอนเหนือ
|