ผลต่างระหว่างรุ่นของ "อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยประชาธิปไตย)"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 51:
แต่[[พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร]]ทรงประทับอยู่ ณ [[สวิตเซอร์แลนด์]]เป็นเวลานานและต้องมีผู้สำเร็จ[[ราชการ]]แทนพระองค์เพื่อบริหาร[[ราชการ]][[แผ่นดิน]]แทนจนกว่า[[พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร]]เสด็จกลับสู่[[พระนคร]]
== ความขัดแย้งระหว่างคณะราษฎรกับ "คณะเจ้า" (พ.ศ. 2475–81) ==
=== รัฐบาลพระยามโนปกรณนิติธาดา ===
[[ไฟล์:The granting of Siam's 'permanent' constitution.jpg|thumb|left|[[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]พระราชทานรัฐธรรมนูญ วันที่ 10 ธันวาคม 2475]]
[[การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475]] เป็นเหตุการณ์เปลี่ยนระบอบการปกครองของสยามจาก[[สมบูรณาญาสิทธิราช]]มาเป็น[[ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ]] นำโดยคณะบุคคลที่เรียก [[คณะราษฎร]] โดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งจากการกำเนิดของข้าราชการใหม่ซึ่งเป็นชนชั้นกลางหลังการปฏิรูปขยายระบบราชการในปี 2435<ref name="ชาญวิทย์">{{cite book |last= เกษตรศิริ |first= ชาญวิทย์ |date= 2551 |title= ประวัติศาสตร์การเมืองไทยสยาม พ.ศ. 2475–2500 |url= |location= |publisher= มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ |page= | author-link = ชาญวิทย์ เกษตรศิริ |isbn= 978-974-372-972-0 }}</ref>{{rp|18–9}} โดยสบโอกาสในช่วงที่สยามได้รับผลกระทบจาก[[ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่]] ภายในเวลาห้าวัน คณะราษฎรนำมาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับแรก ตั้งสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาล ในขณะเดียวกัน ผู้นำคณะราษฎรฝ่ายทหารเข้าควบคุมตำแหน่งสำคัญในกองทัพบกเพื่อสร้างฐานอำนาจของตน<ref name="ชาญวิทย์"/>{{rp|41–2}}
วันที่ 28 มิถุนายน 2475 สภาผู้แทนราษฎรประชุมกันครั้งแรก มีมติเลือก[[พระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์)]] เป็นประธานกรรมการราษฎร (นายกรัฐมนตรี) คนแรก มีการตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 7 คน โดยมีสมาชิกคณะราษฎรเพียงคนเดียว ส่วนที่เหลือเป็นขุนนางระดับเจ้าพระยาในระบอบเก่า นับว่าคณะราษฎรไม่มีฐานอำนาจพอที่จะผลักดันวาระของพวกตน<ref name="ชาญวิทย์"/>{{rp|126–7}} การร่างรัฐธรรมนูญใช้เวลาเพียง 5 เดือนก็มีการประกาศใช้ในวันที่ 10 ธันวาคม 2475 นับเป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกและฉบับที่ใช้ยาวนานที่สุดของประเทศ หลังมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ มีการตั้ง[[คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 2|รัฐบาลใหม่]]โดยพระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ มีสมาชิกคณะราษฎรร่วมคณะรัฐมนตรีด้วยหลายคนแต่เป็นเพียง[[รัฐมนตรีลอย|ตำแหน่งลอย]]<ref name="ชาญวิทย์"/>{{rp|127–8}}
ในเดือนมกราคม 2476 รัฐบาลประกาศห้ามตั้ง "สมาคมคณะชาติ" ซึ่งประกอบด้วยขุนนางในระบอบเก่า ซึ่งเท่ากับห้ามคณะราษฎรไปโดยปริยายด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลถือว่าข้าราชการไม่พึงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง และรับสนองพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ไม่ทรงโปรดให้มีพรรคการเมือง<ref name="ชาญวิทย์"/>{{rp|132–3}} ในเดือนมีนาคม 2476 [[สมุดปกเหลือง|เค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ]] ("สมุดปกเหลือง") ที่[[ปรีดี พนมยงค์|หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์)]] เป็นผู้เสนอโดยมีใจความสำคัญคือ รัฐบาลจะซื้อที่ดินเพาะปลูกทั้งหมดแล้วให้ชาวนาเป็นลูกจ้างรัฐบาล รัฐบาลเป็นเจ้าของร้านค้า นับเป็นการตัดพ่อค้าคนกลาง ก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้โดยปรีดีถูกกล่าวหาว่าเป็น[[คอมมิวนิสต์]]<ref name="ชาญวิทย์"/>{{rp|134,138–9}} พระยามโนปกรณนิติธาดายังเอาพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (เรียก "สมุดปกขาว") มาเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย ทำให้ปรีดีลาออก<ref name="ชาญวิทย์"/>{{rp|140–1}}
วันที่ 1 เมษายน 2476 สืบเนื่องจากความแตกแยกระดับสูงทำให้พระยามโนปกรณนิติธาดาออก[[รัฐประหารในประเทศไทย เมษายน พ.ศ. 2476|กฤษฎีกาปิดประชุมสภาฯ และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา]] ซึ่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวปรากฏชื่อสมาชิกคณะราษฎรส่วนหนึ่งด้วย ซึ่งอาจถือได้ว่าแยกไปเข้ากับระบอบเก่า<ref name="ชาญวิทย์"/>{{rp|143,145}} รัฐบาลใหม่รีบออกพระราชบัญญัติว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2476 และแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยทั้งสองมีจุดประสงค์เพื่อขจัดการวางแผนเศรษฐกิจที่เป็นภัยต่อระบอบเก่า<ref name="ชาญวิทย์"/>{{rp|145–6}} วันที่ 20 มิถุนายน 2476 นายทหารบกและทหารเรือซึ่งมีพันเอก [[พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)]] เป็นหัวหน้า [[รัฐประหารในประเทศไทย มิถุนายน พ.ศ. 2476|ยึดอำนาจการปกครอง]]โดยระบุเหตุผลว่าเพื่อให้เปิดประชุมสภาและขจัดผู้เผด็จการ
=== รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา, กบฏบวรเดช, การสละราชสมบัติ ===
{{ดูเพิ่มที่|กบฏบวรเดช}}
พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 5 ปี นับเป็นช่วงที่คณะราษฎรเริ่มกุมอำนาจทางการเมือง รัฐบาลพยายามสถาปนาระบอบรัฐธรรมนูญ รัฐบาลประสบความสำเร็จในการแก้ไขสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมกับชาติตะวันตก มีการร่างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในปี 2477 และ 2478 ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการยกเลิกสนธิสัญญาเหล่านี้ จนสำเร็จในปี 2482
[[ไฟล์:Boworadet Rebellion Map.png|thumb|300px|แผนที่จังหวัดที่เข้าร่วมกบฏบวรเดช {{legend|Red|ฝ่ายพระองค์เจ้าบวรเดช}}{{legend|Blue|ฝ่ายรัฐบาล}}]]
ปฏิกิริยาต่อการเดินทางกลับประเทศสยามของหลวงประดิษฐ์มนูธรรมในเดือนเมษายน 2476 นั้น ปรากฏว่า วันที่ 11 ตุลาคม 2476 [[พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช]] อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม นำทหารจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางบางส่วนนำกำลังมาทางรถไฟและเข้ายึด[[สนามบินดอนเมือง]] ข้อกล่าวหาของ "คณะกู้บ้านกู้เมือง" มีว่าคณะรัฐมนตรีปล่อยให้มีการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและปล่อยให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรมกระทำการแบบคอมมิวนิสต์ต่อไป รัฐบาลนำกำลังเข้าปราบปรามเริ่มตั้งแต่วันที่ 12–13 ตุลาคม จนวันที่ 16 ตุลาคม ฝ่ายรัฐบาลยึดสนามบินดอนเมืองคืนได้ รัฐบาลเดินทางโดยรถไฟไล่ตามกบฏที่ถอนกำลัง จนยึดนครราชสีมาได้ในวันที่ 25 ตุลาคม ในที่สุดพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชทรงลี้ภัยไปยัง[[อินโดจีนฝรั่งเศส|อินโดจีน]]<ref name="ชาญวิทย์"/>{{rp|158–9}} มีการประเมินว่าทรัพย์สินเสียหายเป็นมูลค่า 3 ล้านบาท ทหารฝ่ายรัฐบาลเสียชีวิต 15 นาย ต่อมารัฐบาลสร้าง[[อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ]]ที่[[วงเวียนหลักสี่]]<ref name="ชาญวิทย์"/>{{rp|159}} รัฐบาลตั้งศาลพิเศษเพื่อพิจารณาโทษฝ่ายกบฏ มีจำเลย 318 คน ลงโทษถอดยศและบรรดาศักดิ์ 35 คน จำคุกตลอดชีวิต 47 คน อีก 107 คนถูกจำคุก<ref name="ชาญวิทย์"/>{{rp|160}}
บทบาทของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในกบฏครั้งนี้นั้นเป็นประเด็นถกเถียงตลอดมา รัฐบาลกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีความขัดแย้งกันมากขึ้น และมีการกล่าวหาว่าราชสำนักสมทบเงินแก่กบฏ พระองค์ทรงประทับอยู่ที่จังหวัดสงขลาเกือบตลอดเวลา ประเด็นเรื่องพระราชอำนาจในการแต่งตั้งสมาชิกสภาฯ ประเภทสองจำนวน 78 คน ในเดือนมกราคม 2476 (นับแบบเก่า)<ref name="ชาญวิทย์"/>{{rp|161}} พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปประทับยังประเทศอังกฤษเพื่อรักษาพระเนตร โดยมีบุคคลสำคัญในระบอบเก่าทยอยออกนอกประเทศไปเป็นจำนวนมาก เดือนพฤศจิกายน 2477 ผู้แทนรัฐบาลปฏิเสธข้อต่อรองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจนตกลงกันไม่ได้ จนทรงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2477 (นับแบบเก่า) ทั้งนี้ พระองค์ทรงเห็นว่าตราบเท่าที่สยามยังไม่เป็นประชาธิปไตยแท้จริง พระมหากษัตริย์ก็ยังต้องมีพระราชอำนาจส่วนหนึ่ง แต่คณะราษฎรเห็นว่าพระมหากษัตริย์ควรเป็นประมุขเชิงสัญลักษณ์แบบพระมหากษัตริย์อังกฤษเท่านั้น<ref name="ชาญวิทย์"/>{{rp|164}}
จากนั้น รัฐบาลสถาปนา[[พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร|พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล]] ขณะทรงมีพระชนมายุ 8 พรรษา ผู้ทรงกำลังศึกษาอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ถัดไป มีการจัดการเลือกตั้งโดยอ้อมในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม 2476 นับเป็นการเลือกตั้งทางอ้อมครั้งเดียวของไทย โดยในขณะนั้นประชาชนเลือกผู้แทนตำบล ซึ่งจะทำหน้าที่แลกผู้แทนราษฎรอีกต่อหนึ่ง ไม่มีการตั้งพรรคการเมือง และหญิงมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเช่นเดียวกับบุรุษ รัฐบาลดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบผสม มีแผนสร้างถนนทั่วประเทศ ท่าเรือคลองเตย ขุดลอกสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยา รัฐบาลเข้าจัดการการค้าข้าวและน้ำมันเชื้อเพลิงอันเป็นจุดเริ่มต้นของ[[รัฐวิสาหกิจ]]<ref name="ชาญวิทย์"/>{{rp|167–8}} ผู้แทนราษฎรในช่วงนี้ทำหน้าที่ของตนได้อย่างดี เป็นการกลบข้ออ้างว่าประเทศไทยไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตย<ref name="ชาญวิทย์"/>{{rp|168}} ในช่วงนี้จากการตรวจสอบของ ส.ส. ฝ่ายค้าน ทำให้พระยาพหลพลพยุหเสนาลาออกถึง 3 ครั้ง<ref name="ชาญวิทย์"/>{{rp|169}}
== ดูเพิ่ม ==