ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ประเทศไทยในสงครามโลกครั้งที่สอง"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
ย้อนไปยังรุ่นของ Setawut |
||
บรรทัด 1:
{{ต้องการอ้างอิง}}
'''[[สงครามโลกครั้งที่สอง]]ใน[[ประเทศไทย]]'''
==รัฐนิยม==
{{โครง-ส่วน}}
หลัง[[การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475]] ในช่วงรัชกาล[[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]] [[คณะราษฎร]]เข้ามามีบทบาทสูงในการนำสังคม จอมพล [[ป. พิบูลสงคราม]] ผู้นำคนหนึ่งของคณะราษฎร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2481 ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองไม่กี่ปี ในยุคนี้ มีการปรับปรุงประเทศในด้านต่าง ๆ ให้ทันสมัย รัฐบาลออก "[[รัฐนิยม]]" ซึ่งแสดงนโยบายของประเทศว่าต้องการให้ประชาชนคนไทยรักหวงแหนและภูมิใจในความเป็นไทย เช่น ให้ข้าราชการแต่งเครื่องแบบตามที่กำหนด ห้ามสวมกางเกงแพร ให้ทักทายกันด้วยคำว่า “ สวัสดี “ ห้ามกินหมาก ให้สวมหมวกทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ใช้คำขวัญปลุกใจทุกเช้าก่อนเรียน การยกเลิกบรรดาศักดิ์โดยให้ใช้เพียงชื่อ สกุล เหมือนคนทั่วไป การเคารพธงชาติ ฯลฯ นอกจากนั้นยังมีการปลุกระดมความรู้สึกชาตินิยมอย่างรุนแรงด้วย
สภาพสังคมหลัง[[การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475]] ทำให้สังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตย ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญ คือ ประชาชนขึ้นมาเป็นเจ้าของประเทศและมีบทบาทในการปกครองประเทศด้วยกระบวนการกฎหมายรัฐธรรมนูญ ชนชั้นกลาง พวกพ่อค้า ปัญญาชน ขึ้นมามีบทบาทในสังคมแต่ผู้กุมอำนาจยังคงได้แก่ทหารและข้าราชการ นายทุนเติบโตจากการค้าและอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งมีอิทธิพลและบทบาทจนได้เปรียบในสังคม
เกิดช่องว่างในสังคมทำให้ชาวไร่ ชาวนา และกรรมกรมีฐานะและชีวิตอยู่กับความยากจนและถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคม{{อ้างอิง}}
==ลัทธิชาตินิยมและรัฐนิยม==▼
{{โครง-ส่วน}}
==กรณีพิพาทอินโดจีน==
{{บทความหลัก|กรณีพิพาทอินโดจีน}}
เส้น 50 ⟶ 22:
ด้าน[[กองทัพอากาศไทย]] เครื่องบินรบของไทยและฝรั่งเศสได้ปะทะกันในภาคตะวันออก การต่อสู้ที่ได้รับการกล่าวขานอย่างที่สุด คือ ในวันที่ 10 ธันวาคม เรืออากาศโท [[ศานิต นวลมณี]] ได้นำเครื่องขับไล่แบบคอร์แซร์เข้าโจมตีทิ้งระเบิดเมืองเวียงจันทน์ในระยะต่ำ เครื่องบินของเรืออากาศโทศานิตได้ถูกกระสุนปืนต่อสู้อากาศของฝ่ายฝรั่งเศส ทำให้เกิดไฟลุกท่วมเครื่องบิน นักบินพลปืนหลังได้เสียชีวิตทันทีเนื่องจากถูกกระสุน เรืออากากาศโทศานิตได้กระโดดร่มลงในฝั่งไทย แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเนื่องจากถูกไฟคลอกและกระสุนทะลุหัวเข่า ถูกส่งเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลที่กรุงเทพมหานคร และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา{{อ้างอิง}}
การต่อสู้ยังคงดำเนินไปถึงปลายเดือนมกราคม 2484 ไม่มีทีท่าว่าจะสงบ ทางญี่ปุ่นแสดงเจตจำนงเข้ามาไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง เหตุการณ์ได้จบลงโดยที่ฝรั่งเศสได้มอบดินแดนบางส่วนคืนให้แก่ไทย ฝ่ายไทยจึงจัดการปกครองเป็น 4 จังหวัด คือ [[จังหวัดพิบูลสงคราม]] [[จังหวัดพระตะบอง]] [[จังหวัดนครจัมปาศักดิ์]] และ[[จังหวัดลานช้าง]] หลังสงคราม มีการสร้าง[[อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ]]ขึ้นเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนี้
==เริ่มสงคราม==
{{บทความหลัก|การบุกครองไทยของญี่ปุ่น}}
[[ไฟล์:Yuwacho Tahan-Battle of Tha Nang Sang.jpg|thumb|ภาพจำลองเหตุการณ์การรบของ[[ยุวชนทหาร]]ที่เชิง[[สะพานท่านางสังข์]] [[จังหวัดชุมพร]]]]
หลังการเข้ามามีบทบาทของญี่ปุ่นในเหตุการณ์นี้ เป็นที่คาดหมายว่า ญี่ปุ่นจะยาตราทัพเข้าสู่ประเทศไทยแน่ในอนาคต
▲หลังการเข้ามามีบทบาทของญี่ปุ่นในเหตุการณ์นี้ เป็นที่คาดหมายว่า ญี่ปุ่นจะยาตราทัพเข้าสู่ประเทศไทยแน่ในอนาคต<ref name="Reynolds-1994"/><ref>Charivat Santaputra (1985) ''Thai Foreign Policy 1932–1946''. Thammasat University Press. ISBN 974-335-091-8</ref><ref name="Stowe-1991">Judith A. Stowe. (1991) ''Siam becomes Thailand: A Story of Intrigue''. University of Hawaii Press. ISBN 0-8248-1393-6</ref> ขณะเดียวกัน จอมพล ป. ประกาศให้ประเทศไทยเป็นกลาง{{อ้างอิง}} และได้รณรงค์ให้ประชาชนปลูก[[ผักสวนครัว]] เลี้ยงสัตว์ และการเสริมสร้างเศรษฐกิจระดับต้น ๆ อย่างเข้มแข็ง เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เช่นการออกพระราชบัญญัติสงวนอาชีพบางประเภท ที่ส่วนมากเป็นงานฝีมือ เฉพาะแก่คนไทย เป็นต้น{{อ้างอิง}}
ทูตทหารบกของกลุ่มประเทศตะวันตกประจำกรุงเทพมหานครแจ้งต่อ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้เร่งรัดปรับปรุงกองทัพ เพื่อรับมือกับสถานการณ์สงครามขนาดใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับทั้งมีความเห็นว่าควรหลีกเลี่ยงการสู้รบกับกองทัพญี่ปุ่น เพราะจะทำให้เกิดความสูญเสียอย่างหนัก และประเทศไทยจะหวังพึ่งชาติอื่นไม่ได้เลย ก่อนกองทัพญี่ปุ่นจะบุกเอเชียอาคเนย์ 2 เดือน บรรดาทูตทหารตะวันตกประจำประเทศไทยได้แจ้งให้ทราบเป็นการลับเฉพาะว่า ญี่ปุ่นจะบุกอินโดจีนผ่านประเทศไทยทางด้านอรัญประเทศ เพื่อมุ่งไปโจมตีพม่า และจะมีกำลังหนึ่งกองพลตรึงอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ส่วนอีกสี่กองทัพใหญ่จะกระจายขึ้นตามฝั่งทะเลภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี ไปถึงโกตาบารู ซึ่งเป็นแผนการที่แน่นอน{{อ้างอิง}}
เส้น 67 ⟶ 36:
ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ตั้งแต่เวลาประมาณ 02.00 น. กองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่[[จังหวัดประจวบคีรีขันธ์]] [[ชุมพร]] [[นครศรีธรรมราช]] [[สงขลา]] [[สุราษฎร์ธานี]] [[ปัตตานี]]และ[[บางปู]] [[สมุทรปราการ]] และบุกเข้าประเทศไทยทางบกที่[[อรัญประเทศ]] กองทัพญี่ปุ่นสามารถขึ้นบกได้โดยไม่ได้รับการต่อต้านที่บางปู ส่วนทางภาคใต้และทางอรัญประเทศมีการต่อสู้ต้านทานอย่างหนักของทหารไทย ประชาชนทั่วไปและอาสาสมัครที่เป็นเยาวชน ที่เรียกว่า [[ยุวชนทหาร]] ในบางจังหวัด เช่นการรบที่สะพานท่านางสังข์ จังหวัด[[ชุมพร]] กล่าวคือ กลุ่มยุวชนทหารและกองกำลังผสมทหารตำรวจซึ่งกำลังจะต่อสู้ปะทะกันอยู่ที่สะพานท่านางสังข์ โดยที่กลุ่มยุวชนทหารนั้นมีผู้บังคับการคือ[[ร้อยเอกถวิล นิยมเสน]] ในระหว่างการสู้รบร้อยเอกถวิลนำกำลังยุวชนทหารออกมาปะทะกองทหารญี่ปุ่น แม้ร้อยเอกถวิลจะถูกทหารญี่ปุ่นยิงเสียชีวิต แต่ยุวชนทหารยังคงสู้ต่อไปจนกระทั่งรัฐบาลสั่งหยุดยิง เมื่อเวลา 11.00 น. โดยประมาณ เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นทราบว่ากลุ่มยุวชนทหารหลายคนเป็นเพียงนักเรียน[[มัธยมศึกษา]] จึงส่งหนังสือเชิดชูความกล้าหาญมายัง[[กระทรวงกลาโหม]] และร้อยเอกถวิล นิยมเสน ได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นพันโท ส่วนการเชิดชูเกียรติของยุวชนทหารผู้เสียชีวิตและผู้ร่วมต่อสู้ในครั้งนั้น มีอนุสาวรีย์อยู่ที่ริมสะพานท่านางสังข์ เป็นรูปยุวชนทหารพร้อมกับอาวุธปืนยาวติด[[ดาบปลายปืน]] ในท่าเฉียงอาวุธ ยืนอยู่บนแท่น สร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2524{{อ้างอิง}}
ซึ่งในระยะแรกกองทัพญี่ปุ่นยังไม่อาจบุกเข้ามาได้ ทางญี่ปุ่นเองได้ประกาศว่า ไม่ต้องการยึดครองประเทศไทยแต่จะขอใช้ไทยเป็นทางผ่านไปยัง[[พม่า]]และ[[อินเดีย]] เท่านั้น การต่อสู้ทำท่าว่าจะยืดเยื้อต่อไป จนกระทั่งอัครราชทูตญี่ปุ่นเดินทางมาพบนายกรัฐมนตรีเมื่อเวลาประมาณ 07.55 น. พร้อมกับคำขู่ว่า ญี่ปุ่นได้เตรียมเครื่องบินทิ้งระเบิดไว้ 250 ลำที่[[ไซ่ง่อน]] เพื่อจะมาทิ้งระเบิดกรุงเทพมหานคร ถ้าไทยไม่ยอมให้ผ่าน มีกำหนดเวลา 10.30 น. <ref>พีระพงศ์ ดามาพงศ์, ท่องอดีตกับสามเกลอ เล่ม 5, 2550 ISBN 978-974-7297-29-0</ref> รัฐบาลไทยเห็นว่า ไม่อาจต้านทานกองกำลังญี่ปุ่นได้นาน จึงยอมยุติการต่อสู้ และประกาศทางวิทยุให้ทุกฝ่ายหยุดยิง เมื่อเวลา 10.00 น. ในวันที่ 11 ธันวาคม และในวันที่ 17 ธันวาคม รัฐบาลไทยโดยจอมพล.ป ได้รับคำปรึกษาจากทูตทหารเยอรมันให้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นเนื่องจากสถานการณ์ทางการรบของญี่ปุ่นกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ จนในที่สุดในอีก 4 วันต่อมา รัฐบาลไทยได้ทำพิธีลงนามร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นในวันที่ 21 ธันวาคม ที่พระอุโบสถ[[วัดพระศรีรัตนศาสดาราม]] และในวันที่ 25 มกราคม สถานการณ์ผลจากสงครามทวีความรุนแรงขึ้นอัครราชทูตญี่ปุ่นได้ชักชวนรัฐบาลไทยให้ร่วมลงนามเป็นพันธมิตรทางการทหารกับ[[ฝ่ายอักษะ]]ย่างเต็มตัวโดยมีการลงนามโดยผ่านสถานทูตญี่ปุ่นและเยอรมันประจำกรุงเทพมหาครและได้ยกเลิกความสัมพันธ์กับประเทศกลุ่มฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งหมด
==ระหว่างสงคราม==
[[ไฟล์:โปสเตอร์สามัคคี เก่า.jpg|thumb|240px|โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลไทยใน[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] เผยแพร่โดย[[กรมโฆษณาการ]]]]
[[ไฟล์:Phot and Tojo.jpg|thumb
ในเวลานั้น ทหารญี่ปุ่นจำนวนมากได้เข้าสู่พระนครเต็มไปหมด และได้ใช้สถานที่ทางราชการบางแห่งเป็นที่ทำการ รัฐบาลได้ประกาศให้ญี่ปุ่นเป็น '''มหามิตร''' ประชาชนทุกคนต้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนกับทางญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ การกระทำใด ๆ ที่เป็นปรปักษ์มีโทษถึง[[ประหารชีวิต]] แต่ก็มีประชาชนบางส่วนลับหลังได้เรียกญี่ปุ่นอย่างดูถูกว่า "ไอ้ยุ่น" หรือ "หมามิตร" เป็นต้น{{อ้างอิง}}
ในวันที่ 25 มกราคม 2485 รัฐบาลไทยประกาศสงครามกับ[[สหราชอาณาจักร]]และ[[สหรัฐอเมริกา]]
ในวันที่ 28 มกราคม 2485 ประเทศไทยลงนามร่วมรบกับญี่ปุ่น จึงเข้ามาตั้งทัพในไทยฐานะพันธมิตร อีกทั้งในเดือนกรกฎาคม นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น พลเอก [[ฮิเดะกิ โทโจ]] ได้ทางเยือนกรุงเทพมหานครและได้เจรจาวางแผนและแบ่งเขตการรบกับไทย นัยว่าเพื่อหวังจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยตามที่ตกลงไว้ในสนธิสัญญา ในการเจรจาสรุปได้ว่ากองทัพไทยต้องถูกส่งไปรบที่[[เชียงตุง]] โดยก่อตั้งกองพลพายัพเพื่อรบกับอังกฤษและ[[สาธารณรัฐจีน]] ตามข้อตกลงแบ่งเขตการรบที่ทำไว้กับญี่ปุ่นว่าตั้งแต่รัฐกะยาห์จนถึงครึ่งใต้ของเมือง[[มัณฑะเลย์]]โดยยึดเส้นแบ่งเขตใต้ของเมืองเป็นของไทย จนถึงแม่น้ำโขงเป็นเขตการรบของไทย ฝ่ายทางรัฐบาลไทยต้องรบเพื่อรักษาอาวุธยุทธภัณฑ์ไว้ไม่ให้[[ขบวนการเสรีไทย]]ลักลอบขโมยไปจนหมด กองทัพไทยยังสามารถขออาวุธของญี่ปุ่นมาเพิ่มเติมได้ด้วย ส่วนทางญี่ปุ่นก็ได้สร้างเส้นทางรถไฟสายไทย-พม่าหรือ[[ทางรถไฟสายมรณะ]]เพื่อลำเลียงกองทัพไปรบยังพม่า{{อ้างอิง}}▼
ช่วงกลางปี 2485 รัฐบาลจอมพล.ป ก่อตั้ง[[สหรัฐไทยเดิม]]
▲ในวันที่ 28 มกราคม 2485 ประเทศไทยลงนามร่วมรบกับญี่ปุ่น จึงเข้ามาตั้งทัพในไทยฐานะพันธมิตร อีกทั้งในเดือนกรกฎาคม นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น พลเอก [[ฮิเดะกิ โทโจ]] ได้ทางเยือนกรุงเทพมหานครและได้เจรจาวางแผนและแบ่งเขตการรบกับไทย นัยว่าเพื่อหวังจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยตามที่ตกลงไว้ในสนธิสัญญา ในการเจรจาสรุปได้ว่ากองทัพไทยต้องถูกส่งไปรบที่[[เชียงตุง]] โดยก่อตั้งกองพลพายัพเพื่อรบกับอังกฤษและ[[สาธารณรัฐจีน]] ตามข้อตกลงแบ่งเขตการรบที่ทำไว้กับญี่ปุ่นว่าตั้งแต่รัฐกะยาห์จนถึงครึ่งใต้ของเมือง[[มัณฑะเลย์]]โดยยึดเส้นแบ่งเขตใต้ของเมืองเป็นของไทย จนถึงแม่น้ำโขงเป็นเขตการรบของไทย ฝ่ายทางรัฐบาลไทยต้องรบเพื่อรักษาอาวุธยุทธภัณฑ์ไว้ไม่ให้[[ขบวนการเสรีไทย]]ลักลอบขโมยไปจนหมด กองทัพไทยยังสามารถขออาวุธของญี่ปุ่นมาเพิ่มเติมได้ด้วย
▲ช่วงกลางปี 2485 รัฐบาลจอมพล.ป ก่อตั้ง[[สหรัฐไทยเดิม]]<ref>[https://books.google.com/books?id=Gdr4Sd8GMu8C&pg=PA19&lpg=PA19&dq=thailand+annexed+laos+1941+japanese&source=bl&ots=YeJxZar8GA&sig=LYA1Ex7VMbZqygJY0oNiwf0BnSI&hl=en&sa=X&ei=B2D9U_OeLoyyuASWwoDwDw&ved=0CDwQ6AEwBA#v=onepage&q=thailand%20annexed%20laos%201941%20japanese&f=false Ronald Bruce St. John, ''The Land Boundaries of Indochina: Cambodia, Laos and Vietnam,'' p. 20]</ref>โดยรวมดินแดนที่ส่งกองทัพเข้ายึดดินแดนที่มีทรัพยากรจำนวนมาก ได้แก่ แคว้น[[รัฐฉาน]] ([[เชียงตุง]] เมืองพาน), [[รัฐกะยา]] รวมไปถึงเมือง[[ตองยี]]และครึ่งใต้ของเมือง[[มัณฑะเลย์]]ในเขตประเทศพม่าอีกด้วย<ref name="Reynolds-1994"/><ref>Young, Edward M. (1995) ''Aerial Nationalism: A History of Aviation in Thailand''. Smithsonian Institution Press. ISBN 1-56098-405-8</ref> ผลจากสงครามทำให้สถานการณ์รุนแรงภายในของไทยถึงขนาดมีการปลุกระดมให้เกิด[[ลัทธิคลั่งชาติ]]อย่างรุนแรง ถึงปลูกฝังความคิดชาตินิยม จอมพล ป.พิบูลสงคราม ยังได้เริ่มกำหนดนโยบายต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตรร่วมกับจักรวรรดิญี่ปุ่น{{อ้างอิง}}
หลังจากนั้น [[ฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง|ฝ่ายสัมพันธมิตร]]เริ่มส่งเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดในพระนคร การทิ้งระเบิดครั้งแรก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2485 สถานการณ์โดยทั่วไปในพระนครนั้น ประชาชนได้รับคำสั่งให้พรางไฟ คือการใช้[[ผ้าขนหนู]]หรือ[[ผ้าขาวม้า]]ปิดบังแสงไฟในบ้าน ให้เหลือเพียงแสงสลัว ๆ เพื่อป้องกันมิให้เครื่องบินของฝ่ายข้าศึกมาทิ้งระเบิดลงได้{{อ้างอิง}} ส่วนสถานการณ์โดยรวมของสงคราม [[ฝ่ายอักษะ]]มีทีท่าว่าจะได้รับชัยชนะในยุทธบริเวณยุโรปและแอฟริกาเหนือ ส่วนในเอเชีย ญี่ปุ่นก็สามารถยึด[[มลายู]]และ[[สิงคโปร์]]ได้แล้ว
===ทิ้งระเบิด===
[[ไฟล์:WWII Rama VI Bridge1.jpg|200px|right|thumb|เครื่องบินทิ้งระเบิดฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดที่[[สะพานพระราม 6]]]]
การที่ไทยประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทางสหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้ส่งเครื่องบิน [[บี 24]], [[บี-29 ซูเปอร์ฟอร์เทรส|บี 29]] และ
ทางกองทัพอากาศไทยได้ส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นต่อสู้สกัดกั้น แต่ไม่ได้ผลเพราะเครื่องบินที่มีสมรรถนะต่ำกว่า และต่อมาในระยะหลังที่ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบบี -29 ซึ่งจะบินมาเป็นหมู่ในระยะสูง ปืนต่อสู้อากาศยานยิงไม่ถึง จึงได้มีการมาทิ้งระเบิดเวลากลางวันอย่างเสรี อีกทั้งรัฐบาลต้องประกาศให้ประชาชนเตรียมพร้อมสำหรับการทิ้งระเบิด เมื่อมาถึงทางการจะเปิดเสียงสัญญาณหวอเสียงดังเพื่อเตือนให้ประชาชนได้ระวังตัว เช่น หลบอยู่ในหลุมพรางที่ขุดขึ้นเอง หรือพรางไฟ เป็นต้น แต่ประชาชนบางส่วนก็ได้อพยพย้ายไปอยู่ตามชานเมืองหรือต่างจังหวัด ตลอดจนลงไปอยู่ในหลุมที่ทางการจัดสร้างไว้ เป็นต้น ซึ่งการอพยพนั้นมักจะเดินกันไปเป็นขบวนกลุ่มใหญ่เหมือน[[ขบวนคาราวาน]] โดยชานเมืองที่ผู้คนนิยมไปกันเป็นจำนวนมากคือ บริเวณ[[ถนนสุขุมวิท]] ซึ่งในเวลานั้นเรียกว่า [[เขตบางกะปิ|บางกะปิ]]{{อ้างอิง}}
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2487 ถึงเดือนมกราคม 2488 ประเทศไทยถูกโจมตีทางอากาศจากฝ่ายสัมพันธมิตร ประมาณ 250 ครั้ง{{อ้างอิง}} มีเครื่องบินเข้าปฏิบัติการประมาณ 2,490 เที่ยวบิน{{อ้างอิง}} ทิ้งลูกระเบิดทำลายประมาณ 18,600 ลูก ระเบิดเพลิงประมาณ 6,100 ลูก ทุ่นระเบิดประมาณ 250 ลูก พลุส่องแสงประมาณ 150 ลูก มีผู้เสียชีวิตประมาณ 1,900 คน บาดเจ็บประมาณ 3,000 คน อาคารถูกทำลายประมาณ 9,600 หลัง เสียหายประมาณ 1,200 หลัง รถจักรเสียหาย 73 คัน รถพ่วงเสียหาย 617 คัน เรือจักรกลเสียหาย 14 ลำ เรืออื่น ๆ ประมาณ 100 ลำทรัพย์สินเสียหายประมาณ 79 ล้านบาท{{อ้างอิง}}
=== อุทกภัยปี 2485 ===
[[ไฟล์:พระที่นั่งอนัน2475.jpg|thumb|200px|right|น้ำท่วมใหญ่ปี 2485 ที่[[ลานพระบรมรูปทรงม้า]]]]
ในปลายปี 2485 เกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นที่พระนครและ[[ธนบุรี]]
รัฐบาลไทยโดยจอมพล ป. พิบูลสงครามได้เปิด[[ทำเนียบรัฐบาล]]ซึ่งขณะนั้นตั้งอยู่ที่[[พระที่นั่งอนันตสมาคม]] ให้ประชาชนทั่วไปมารับแจกข้าวสาร โดยนำหลักฐานคือสำมะโนครัวไปด้วย โดยทำการแจก 1 ครั้งต่อ 1 สัปดาห์ คณะผู้แจกโดยมากจะเป็นนักเรียนนายร้อยทหารบกและ[[ยุวชนทหาร]]{{อ้างอิง}}
เส้น 124 ⟶ 71:
”กองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทย” นั้นมีกองบัญชาการอยู่ที่หอการค้าจีนที่ถนนสาทร กรุงเทพ อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของพลโท[[นะกะมุระ อะเกะโตะ]] โดยมีหน้าที่สำคัญสองประการคือ ป้องกันไทยซึ่งเป็นที่มั่นแนวหลังให้กับสมรภูมิพม่า และหน้าที่ในการดูแลกองทัพญี่ปุ่นที่เดินทัพผ่านประเทศไทย จะเห็นได้ว่าหน้าที่หลักทั้งสองของกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทยมีลักษณะในการดูแลความสงบเรียบร้อยมากกว่าที่จะเป็นกองทัพเพื่อการสู้รบ กล่าวจนถึงที่สุดก็คือการจัดตั้งกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทยก็เพื่อรักษาวินัยของทหารญี่ปุ่นเพื่อให้บรรลุเจตนารมณ์ของสัญญาพันธไมตรีระหว่างประเทศทั้งสองนั่นเอง<ref name="เหตุการณ์สำคัญในศตวรรษที่ 20_11">ธนู แก้วโอภาส, '''เหตุการณ์สำคัญในศตวรรษที่ 20''', ฝ่ายโรงพิมพ์ บริษัท ตภาตา พับลิเคชั่น จำกัด, 2549, หน้า 436</ref>
การที่ญี่ปุ่นเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยเพื่อป้องกันการโจมตีของฝ่ายสัมพันธมิตรทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรมองรัฐบาลไทยของจอมพล ป. ในสถานะเดียวกันกับ[[ราชอาณาจักรอิตาลี (ค.ศ. 1861-1946)|ราชอาณาจักรอิตาลี]]ซึ่งเห็นได้จาก[[การบุกครองเกาะซิซิลีของฝ่ายสัมพันธมิตร|การที่สัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่เกาะซิซิลี]]ที่[[นาซีเยอรมนี|เยอรมนี]]ส่งกองทัพเข้ามาตั้งฐานทัพในอิตาลีเพื่อปกป้องการคงอยู่ของพันธมิตร[[มุสโสลินี]]
==รัฐบาลพลเรือนควง อภัยวงศ์==
เส้น 131 ⟶ 78:
พันตรี[[ควง อภัยวงศ์]]หนึ่งในสมาชิกขบวนการเสรีไทยได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487 รัฐบาลของนาย ควง อภัยวงศ์ ได้แถลงนโยบายต่อสภาฯ ว่า “ จะร่วมมือกับฝ่ายญี่ปุ่นโดยใกล้ชิดตามสัญญาพันธกรณีที่ได้มีต่อกันไว้ด้วยดี ” และให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นตามข้อเรียกร้องของญี่ปุ่นทุกประการ แต่รัฐบาลชุดนี้ก็ได้แต่งตั้งบุคคลระดับหัวหน้าใน “องค์กรต่อต้านญี่ปุ่น” เป็นรัฐมนตรีด้วยกันหลายคน และได้ช่วยเหลือการดำเนินงานของขบวรการเสรีไทยอย่างลับๆ นอกจากนั้นผู้นำทางการเมืองและการปกครองสำคัญๆ หลายคนก็ได้เข้าร่วมในองค์การต่อต้านญี่ปุ่น เช่น พลตรี[[สังวร สุวรรณชีพ]] และ พล.ต.อ.[[อดุล อดุลเดชจรัส]] อธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมตัว “เสรีไทย” จากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษที่เดินทางเข้าประเทศ
==
ในเวลาเดียวกัน ก็เกิดขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นโดยคนไทยด้วยกันเอง เรียกว่า '''ขบวนการไทยถีบ''' ขบวนการนี้ทำหน้าที่ดักปล้นของเล็กของน้อย ยุทธปัจจัยต่าง ๆ ของกองทัพญี่ปุ่น ไปซ่อนตามป่าเขา โดยเฉพาะการตัดขบวน[[รถไฟ]]ขณะลำเลียงสิ่งของต่าง ๆ ให้ขาดจากกัน อีกทั้งบางครั้งยังแอบเข้าไปลักลอบขโมย[[ดาบซามูไร]]ของทหารญี่ปุ่นในเวลาหลับอีกด้วย เรียกว่า ไทยลักหลับ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ขบวนการนี้บางครั้งขโมยแม้แต่ทรัพย์สินของรัฐบาลไทยเอง เช่น ลวดทองแดง สายโทรศัพท์ เป็นต้น อีกทั้ง[[ขบวนการเสรีไทย]]ก็ไม่ได้นับขบวนการไทยถีบเป็นแนวร่วมแต่อย่างใด
เส้น 145 ⟶ 92:
ม.ร.ว.เสนีย์ ออกเดินทางจากสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2488 ถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 17 กันยายน และได้ดำเนินการเจรจากับอังกฤษและตกลงข้อสัญญาบางประการกับทางอังกฤษ ไทยได้ตกลงทำสัญญาที่เรียกว่า [[สัญญาความตกลงสมบูรณ์แบบ]]เพื่อเลิกสถานะสงคราม ระหว่างไทยกับสัมพันธมิตร ประกอบด้วยสัญญา 24 ข้อ<ref>http://www1.tv5.co.th/service/mod/heritage/nation/pastevent/past_ram83.htm</ref> จนแล้วเสร็จและได้ทำบันทึกอย่างเป็นทางการลงวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2489 เป็นอันเสร็จภารกิจและ ม.ร.ว.เสนีย์ ก็ได้ยื่นใบลาออกในวันนั้นทันที แต่ต้องอยู่รักษาการไปจนกระทั่งสิ้นเดือนมกราคม [[พ.ศ. 2489]]
ในขณะเดียวกันรัฐบาลได้กราบบังคมทูลเชิญ[[พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร]]เสด็จนิวัติพระนครพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี และ[[พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช]] ซึ่งการเสด็จนิวัติประเทศในครั้งนี้ ทางราชการได้จัดพระที่นั่งบรมพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวังเป็นที่ประทับ
ระหว่างนี้ได้มีการออกกฎหมายอาชญากรสงครามมาเพื่อให้ผู้กระทำผิดต้องขึ้นศาลไทย จอมพล ป. พิบูลสงคราม รวมทั้งอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาระดับสูงหลายคน เช่น [[หลวงวิจิตรวาทการ]], [[จรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์]], พลเอก[[มังกร พรหมโยธี]] เป็นต้น จึงถูกจับกุมและถูกดำเนินคดีในประเทศไทย และต่อมาไม่ต้องรับโทษเพราะ[[ศาลฎีกา]]วินิจฉัยว่ากฎหมายไม่มีผลย้อนหลังและอ้าง[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย]]ที่ระบุเรื่องสิทธิเสรีภาพของบุคคลซึ่งเป็นกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่ากฎหมาย[[อาชญากรสงคราม]] ทั้งนี้มีผู้วิจารณ์ว่าการออกกฎหมายอาชญากรสงครามก็เพื่อไม่ให้คนไทยถูกส่งไปดำเนินคดีในต่างประเทศอันจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศและทำให้เสียเปรียบในการเจรจาหลังสงคราม หรือบางแหล่งก็ว่าเป็นการช่วยเหลือจอมพล ป. ให้พ้นโทษ ในขณะที่อาชญากรสงครามของประเทศอื่นๆ ถูกจับกุมและประหารชีวิตในที่สุด{{อ้างอิง}}
|