ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แมว"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ย้อนการแก้ไขที่ 6636513 สร้างโดย Tanabodee10309 (พูดคุย)
เอเอเอ (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 33:
แมวในโลกนี้มีมากมายหลายพันธุ์ โดยเฉพาะแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงไม่นับรวมสัตว์ตระกูลแมว พวก[[เสือ]] [[แมวดาว]] [[แมวป่า]] หรือ[[สิงโต]] แมวเลี้ยงหรือที่เราเรียกว่า ''Domestic cat'' นั้นมีวิวัฒนาการมาจากแมวป่าในธรรมชาติจากหลายภูมิภาคของโลก ชื่อเรียกพันธุ์แมวที่แตกต่างกันที่เรียกกันทุกวันนี้ เช่น [[แมวเปอร์เซีย|เปอร์เซีย]] [[แมวไทย|แมวสยาม]] [[แมวบาหลี]] [[อะบิสซิเนียน|แมวอะบิสซิเนีย]] และ[[แมวโซมาลี]] นั้น แสดงถึงถิ่นกำเนิดที่แสดงถึงภูมิศาสตร์ที่เขาถือกำเนิดมา ในการจัดนิทรรศการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน[[ประเทศอังกฤษ]]เมื่อปีคริสศักราช 1871 ถือเป็นการเริ่มต้นในการนำเสนอพันธุ์แมวในระดับนานาชาติ ทำให้ผู้สนใจในแมวมีความตื่นตัว แต่การแสดงในครั้งนั้นส่วนใหญ่เป็นแมวเปอร์เซียและแมวขนสั้นเป็นหลัก
 
แมว สิ่งมีชีวิตที่ชอบอมครวยป้อม เรียกชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า มรุเดช
== สรีรวิทยา ==
มันมีกลิ่นที่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์อย่างมาก เลยต้องกำจัดมันโดยให้กินไส้กรอกชีส
แมวมีความคุ้นเคยและเลี้ยงได้ง่าย สรีรวิทยาของแมวได้รับการศึกษาโดยเฉพาะ โดยทั่วไปจะมีลักษณะคล้ายกับสัตว์ เลี้ยงลูกด้วยนมที่กินเนื้ออื่น ๆ แต่จากลักษณะที่ผิดแปลกออกไปหลายอย่าง อาจจะทำให้เชื่อว่าเชื้อสายแมว มาจากสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย<ref name="MacDonald">{{Cite journal
มันจึงจะตาย
|title=Nutrition of the domestic cat, a mammalian carnivore
|last=MacDonald
|first=M. L.
|last2=Rogers
|first2=Q. R.
|last3=Morris
|first3=J. G.
|journal=Annual Review of Nutrition
|volume=4
|pages=521–562
|year=1984
|pmid=6380542
|doi=10.1146/annurev.nu.04.070184.002513
}}</ref> ตัวอย่างเช่นแมวที่สามารถทนต่ออุณหภูมิสูงมาก มนุษย์โดยทั่วไปเริ่มที่จะรู้สึกอึดอัดผิวเมื่อมีอุณหภูมิประมาณ 38 ° C (100 ° F) แต่แมวแสดงความรู้สึกไม่สบายผิวของพวกมันเมื่ออุณหภูมิถึงราว ๆ 52 ° C (126 ° F)<ref name="Case">{{Cite book
|title=The Cat: Its Behavior, Nutrition, and Health
|last=Case
|first=Linda P.
|year=2003
|publisher=Iowa State University Press
|location=Ames, IA
|isbn=0-8138-0331-4
}}</ref>และสามารถทนต่ออุณหภูมิสูงถึง 56 ° C (133 ° F ) ถ้าพวกมันมีการเข้าถึงน้ำได้<ref name="SDCN">{{Cite book
|author=Subcommittee on Dog and Cat Nutrition
|title=Nutrient Requirements of Dogs and Cats
|publisher=National Academies Press
|location=Washington, DC
|year=2006
|page=292
|isbn=0-309-08628-0
}}</ref>
 
แมวเก็บรักษาความร้อนโดยการลดการไหลเวียนของเลือดไปยังผิวและระบายความร้อนโดยการระเหยผ่านปากของพวกมัน แมวมีความสามารถน้อยที่จะขับเหงื่อโดยมีต่อมอยู่ในอุ้งเท้า<ref>{{cite web | url=http://www.cathealth.com/how-and-why/how-do-cats-sweat | title=How do cats sweat? | publisher=Cat Health,com | accessdate=24 February 2014}}</ref> และจะหอบเพื่อบรรเทาความร้อนที่อุณหภูมิสูงมากเท่านั้น<ref name="Adams 1970">{{Cite journal
|title=Temperature Regulation of the Unanesthetized Cat During Mild Cold and Severe Heat Stress
|last=Adams
|first=T.
|author2=Morgan, M. L. |author3=Hunter, W. S. |author4= Holmes, K. R.
|journal=Journal of Applied Physiology
|volume=29
|issue=6
|pages=852–858
|year=1970
|pmid=5485356
}}</ref> (แต่อาจหอบเมื่อเครียด) อุณหภูมิร่างกายของแมวไม่ได้แตกต่างกันตลอดทั้งวัน อาจสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะมีความกระตือรือร้น ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน<ref name="CAN">{{Cite book
|author=Committee on Animal Nutrition
|title=Nutrient Requirements of Cats
|year=1986
|edition=2nd
|publisher=National Academy Pr
|url= http://www.nap.edu/catalog.php?record_id=910#toc
}}</ref> อุจจาระแมวจะแห้งและปัสสาวะจะมีความเข้มข้นสูงซึ่งทั้งสองอย่างคือการปรับตัวที่จะช่วยให้แมวเก็บน้ำได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้<ref name="MacDonald" /> ไตของแมวมีประสิทธิภาพเพื่อให้แมวสามารถอยู่รอดได้ในอาหารที่มีเฉพาะเนื้อสัตว์โดยที่ไม่ต้องกินน้ำเพิ่มเติม<ref name="Prentiss 1959">{{Cite journal
|title=Hydropenia in Cat and Dog: Ability of the Cat to Meet its Water Requirements Solely from a Diet of Fish or Meat
|last=Prentiss
|first=Phoebe G.
|journal=American Journal of Physiology
|volume=196
|issue=3
|pages=625–632
|year=1959
|pmid=13627237
}}</ref> และยังสามารถได้รับน้ำโดยดื่มน้ำทะเล<ref name="CAN" /><ref name="Wolf 1959">{{Cite journal
|title=Potability of Sea Water with Special Reference to the Cat
|last=Wolf
|first=A. V.
|journal=American Journal of Physiology
|year=1959
|volume=196
|issue=3
|pages=633–641
|pmid=13627238
}}</ref>
 
แมวเป็นสัตว์กินเนื้อ สรีรวิทยาของพวกมันมีการพัฒนาในการย่อยเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพและในทางตรงกันข้ามพวกมันมีปัญหาในการย่อยพืช<ref name="MacDonald" /> ในขณะที่สัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์ เช่นหนูซึ่งต้องการโปรตีนในอาหารประมาณ 4% แต่แมวจะต้องการโปรตีนประมาณ 20% ในอาหารของมัน<ref name="MacDonald" /> แมวจะผิดปกติถ้าขาดอาร์จินีนและการรับประทานอาหารที่ขาดอาร์จินีนเป็นสาเหตุของอาการน้ำหนักลดและอาจถึงแก่ชีวิตได้อย่างรวดเร็ว<ref name="Morris 1978">{{Cite journal
|title=Arginine: An Essential Amino Acid for the Cat
|last=Morris
|first=J. G.
|last2=Rogers
|first2=Q. R.
|journal=Journal of Nutrition
|volume=108
|issue=12
|pages=1944–1953
|date=1 December 1978
|pmid=722344
}}</ref> อีกคุณสมบัติที่ผิดปกติคือการที่แมวไม่สามารถผลิตทอรีน การขาดทอรีนก่อให้เกิดการเสื่อมสภาพในจอประสาทตาของแมวทำให้ตาบอดถาวร<ref name="MacDonald" /> แมวจะกินเหยื่อของพวกมันทั้งหมดเพราะจะได้รับแร่ธาตุโดยการย่อยกระดูกสัตว์ ดังนั้นอาหารที่มีเนื้อสัตว์โดยเฉพาะอาจก่อให้เกิดการขาดแคลเซียม<ref name="MacDonald" />
 
ระบบทางเดินอาหารของแมวถูกปรับให้เข้ากับการรับประทานเนื้อสัตว์ ดังนั้นระบบทางเดินอาหารของแมวสั้นกว่าของสัตว์ที่กินทั้งพืชและสัตว์ และแมวมีระดับเอนไซม์ที่จำเป็นในการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตอยู่ในระดับต่ำ<ref name="Zoran">{{Cite journal
|last=Zoran
|first=D. L.
|title=The Carnivore Connection to Nutrition in Cats
|journal=Journal of the American Veterinary Medical Association
|volume=221
|issue=11
|pages=1559–1567
|year=2002
|pmid=12479324
|doi=10.2460/javma.2002.221.1559
|url= http://www.rawessentials.co.nz/media/documents/website%20-zorans_article.pdf
}}{{dead link|date=January 2013}}</ref> นี่จึงจำกัดความสามารถของแมวที่จะย่อยสารอาหารจากพืชอย่างมาก เช่นเดียวกับกรดไขมันบางอย่างที่แมวมีความสามารถในการย่อยจำกัด<ref name="Zoran" /> แม้สรีรวิทยาของแมวจะมุ่งเน้นไปทางอาหารที่เป็นเนื้อ แต่ก็มีอาหารแมวมังสวิรัติทำการตลาดมีการเสริมสังเคราะห์สารเคมีทอรีนและสารอาหารอื่น ๆ ในความพยายามที่จะผลิตอาหารที่สมบูรณ์แบบ แต่บางส่วนของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังคงล้มเหลวในการให้สารอาหารที่จำเป็นทั้งหมดต่อแมว<ref name="Gray 2004">{{Cite journal
|last=Gray
|first=C. M.
|last2=Sellon
|first2=R. K.
|last3=Freeman
|first3=L. M.
|title=Nutritional Adequacy of Two Vegan Diets for Cats
|journal=Journal of the American Veterinary Medical Association
|volume=225
|issue=11
|pages=1670–1675
|year=2004
|pmid=15626215
|doi=10.2460/javma.2004.225.1670
}}</ref> และผลิตภัณฑ์อาหารที่มีไม่มีส่วนประกอบจากสัตว์ก่อให้เกิดการขาดสารอาหารอย่างรุนแรง<ref name="Zaghini">{{Cite journal
|title=Nutritional Peculiarities and Diet Palatability in the Cat
|last=Zaghini
|first=G.
|last2=Biagi
|first2=G.
|journal=Vet. Res. Commun.
|volume=29
|issue=Supplement 2
|pages=39–44
|year=2005
|pmid=16244923
|doi=10.1007/s11259-005-0009-1
}}</ref>
 
แมวจะกินหญ้าเป็นครั้งคราวคำอธิบายหนึ่งก็คือแมวใช้หญ้าเป็นแหล่งของกรดโฟลิก อีกคำอธิบายหนึ่งก็คือมันจะใช้ในการเป็นแหล่งใยอาหาร<ref name="EatGrass">{{cite web|url=http://animal.discovery.com/healthy-pets/cat-health-101/why-do-cats-eat-grass.html |title=Cat Health 101: Why Do Cats Eat Grass? |work=AnimalPlanet.com |date=16 November 2011 |accessdate=13 August 2012}}</ref>
 
== อ้างอิง ==
เข้าถึงจาก "https://th.wikipedia.org/wiki/แมว"