ผู้ใช้:Oumaum/กระบะทราย

พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตถิผโล

เรียนที่โรงเรียนแสงหิรัญ พระขโนง ถึง ป.4 ช่วง ป.5 - มศ.4 เรียนที่สาธิตเกษตร มศ.5 ไปสอบเตรียมทหาร แต่สอบไม่ติด เพราะไม่ได้กวดวิชา เว้นว่าง 1 ปี สอบอีกครั้งในปีถัดมา เพราะที่บ้านเลยอยากให้เข้าทหาร เพราะทุกอย่างฟรีหมด คราวนี้เรียนกวดวิชา ซึ่งเอาข้อสอบ 20 ปีย้อนหลังมาหัดทำ ก็ได้หัดทำจนคล่อง เข้าสอบด้วยความมั่นใจ ทำข้อสอบเสร็จหมดก่อนเวลา และมั่นใจว่าสอบได้ ซึ่งก็สามารถสอบได้จริงๆ จึงได้ลาออกจากสาธิตเกษตร

เมื่อสอบเข้ามาได้จึงไปบวชแก้บน ร.5 ซึ่งได้บนไว้ว่าถ้าเข้าเตรียมทหารได้ จะบวช จึงได้มาบวชกับหลวงพ่อชา ที่วัดหนองป่าพง

เนื่องจากคนข้างบ้าน(ตอนนี้ย้ายมาแถวรามอินทรา) ศรัทธาในตัวหลวงพ่อชา จึงแนะนำให้มาบวชที่นี่

เมื่อเข้าไปบวชแล้วก็รู้สึกศรัทธา เพราะไม่เหมือนพระทั่วไปที่เคยเจอ (ปกติไม่ค่อยชอบพระเท่าไหร่) ถือว่าโชคดีที่ได้เจอครูอาจารย์ดี เริ่มเห็นความพิเศษของหลวงพ่อชา ในหลายๆ อย่าง นอกจากข้อวรรถปฏิบัติที่เรียบง่ายแล้ว ก็ยังได้เห็นข้อพิเศษของหลวงพ่อชา เช่น รู้จิตของเรา ว่าเราคิดอะไร โดยได้เล่าว่า วันหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ในโบสก์ นั่งอยู่หน้าปากประตู พระ 40-50 องค์ หลวงพ่อชา นั่งเป็นประธาน นั่งอยู่เราได้ยินเสียงช้อนกระทบแก้ว ใจจึงคิดว่า คงมีคนชงน้ำหวาน อีกเดี๋ยวคงเอาขึ้นมาถวาย จิตส่งออกไปตามเสียง คิดดังนั้นหลวงพ่อชาก็พูดขึ้นมากลางที่ประชุมว่า "หิวรึบ่ คึก" ตอนนั้นสะดุ้งเลย เกิดสงสัยว่ารู้ได้อย่างไร และทำไมต้องเป็นเรา และเวลานั้นคือเพิ่งคิดเสร็จพอดี จึงเริ่มรู้ว่า ท่านกำหนดรู้จิตได้ เริ่มถามพระองค์อื่น ก็รู้ว่า โดนกันมาเยอะ หลวงพ่อชา ปกติก็จะเตือน เมื่อรู้ว่าลูกศิษย์จิตส่งออก เช่นเดียวกันกับหลวงพ่อเลี่ยม เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง ในปัจจุบัน หลวงพ่อชา เป็นพระที่มักจะหยิบอุปมา ใกล้ๆ ตัว มาอธิบายได้ เป็นอย่างดี จึงได้ศรัทธา ที่จะเดินตามรอย เริ่มศึกษา รักษาศีลห้า โดยอ่านหนังสือ 2 เล่ม เป็นคู่มือ คือ "นอกเหตุ เหนือผล" และ "โพธิญาณ"

เกือบทุกปิดเทอม ก็จะไปปฏิบัติที่วัดหนองป่าพง อยู่กุฏิ รักษาศีล 8 เดินจงกรม ภาวนา ตลอด 10 วัน 15 วัน หรือเดือนนึงบ้าง จนปี 4 จึงได้มาบวชอีกครั้ง เป็นเวลา 1 เดือน ตามที่แม่ได้ขอไว้ ซึ่งในช่วงนี้ หลวงพ่อชาเริ่มป่วยแล้ว ขณะบวชก็เริ่มคิดว่า ชอบความเป็นพระ ไม่อยากสึก จึงตั้งใจไว้ว่า จะต้องบวชยาวๆ อีกหากมีโอกาส

หลังจากนั้นกลับไปทำงาน และได้เรียนต่อปริญญาโทที่จุฬา ตำแหน่งหน้าที่การงาน ก็เป็นไปได้ดี แต่เมื่อหลวงพ่อชาสิ้น ก็ได้เกิดจุดให้คิดว่า อีกหน่อยเราเองก็ต้องตาย จึงได้มีตัดสินใจที่จะกลับมาบวชอีก

โดยได้ลาราชการ ลองบวชก่อน 4 เดือน เพื่อดูว่า บวชยาวไหวหรือไม่ โดยก่อนหน้าได้เคลียร์หน้าที่การงานก่อนหน้า 6 เดือน หลังจากครบ 4 เดือน รู้ตัวเองว่าอยู่ได้ จึงได้ตัดสินใจเซ็นใบลาออก โดยหัวหน้าพิจารณาถึง 6 เดือน จึงอนุญาตให้ลาออกได้

ในระหว่างนั้นก็เริ่มพิจารณากายเรื่อยๆ เพื่อทับทุกข์ แต่ก็ยังเห็นว่าช้าอยู่ จึงได้เริ่มดูจิต เพื่อให้ทับทุกข์ได้เร็วขึ้น จากนั้นก็เริ่มทิ้งความสุข ตามที่หลวงพ่อชาสอน เพื่อวางจิตเป็นอุเบกขา โดยอาศัยคำสอนหลวงพ่อชาว่า "สุข ทุกข์ มีดเล่มเดียวกัน" การภาวนา ก็ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ

อยู่ที่วัดบุญญาวาส ก็ไม่ได้คิดจะไปไหน แต่มีเหตุที่พระเถระ ที่สามารถให้นิสัยเราได้ อีก 2 องค์ ได้ชวนกันออกมา โดยมีคนถวายที่ให้ 50 ไร่ เป็นทุ่งนาแถวคลอง 10 ร้อนมาก ใน 5-6 ปีแรก ปลูกต้นไม้อย่างเดียว เดินรดน้ำจนตัวดำ ปลูกต้นไม้วันละ 2-3 ร้อยต้น มีโยมเอาต้นไม้มาถวายให้ทุกวัน ต้นตะเคียน 30,000 ต้น กรมป่าไม้ นำมาถวาย ส่วนใหญ่แล้วช่วงออกพรรษา ก็อยู่องค์เดียว เนื่องจากอีก 2 องค์ ออกไปวิเวกธุดงค์ แต่ช่วงเข้าพรรษา ท่านก็กลับมา อยู่กัน 3 องค์ จนครบ 5 ปี ท่านทั้ง 2 จึงเห็นว่าเราอยู่องค์เดียวได้แล้ว จึงได้ อ.ณศักดิ์ มีโยมถวายที่ให้ที่เชียงใหม่ จึงได้เดินทางไปจำที่เชียงใหม่ ส่วน อ.โสภณ ไปได้ที่ ที่ชัยภูมิ เป็นสาขาทิ้งร่าง ของวัดหนองป่าพง ท่านก็ไปบุกเบิก

จากนั้นก็อยู่องค์เดียว จึงได้ศึกษา ธรรมของพระโอษฐ์ ของท่านพุทธทาส ซึ่งถึงจิต ถึงใจมาก อ่านตลอด 6 เดือน จนมาเจอพุทธวจน ที่ว่าอย่าสนใจคำของสาวก จึงได้หาคำตอบต่อไปว่าทำไม? จากนั้นได้ ถาม ตอบ กับโยมบ่อยๆ ถาม ตอบ กับพระบ่อยๆ ก็เริ่มคล่องขึ้น จนเมื่อท่านไพบูลย์มา ก็เริ่มมีพระที่มีแนวคิดเดียวกัน จึงเริ่มต่อยอดของพุทธวจน