ผู้ใช้:Athaphon lamyai/ทดลองเขียน

วัดดาวดึงษาราม

เจ้าจอมหรือเจ้าจอมมารดาแว่น หรือแหว่น  ซึ่งเรียกกันว่าคุณเสือ

เป็นหม่อมมาตั้งแต่เมื่อพระพุทธยอดฟ้ายังเป็นเจ้าคุณเห็นจะได้  เมื่อเสด็จไป

ทัพ มีเรื่องเล่ากันถึงเจ้าจอมคนโปรดนี้มาก ...

   เมื่อพระพุทธยอดฟ้าเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว  คนในวังและ

เห็นจะเป็นคนทั่วไปด้วย  เรียกเจ้าจอมมารดาแว่นว่า "คุณเสือ"  เห็นจะเป็นด้วย

ท่านดุแหว ดอกกระมัง ...

   ... ที่น่าเห็นว่าเป็นคนดี ก็เพราะท่านจงรักต่อสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า

เป็นที่สุด  เป็นผู้ปฏิบัติในเวลาทรงพระชราอยู่จนสิ้นรัชกาล   เมื่อทรงสร้างพระ

โกษทองใหญ่ไว้สำหรับพระองค์นั้น  ครั้งสร้างเสร็จแล้ว ก็โปรดให้ยกเข้าไปตั้ง

ไว้ถวายทอดพระเนตรในพระที่นั่งไพศาลฯ   ทอดพระเนตรแล้วก็มิได้ตรัสให้

ยกไปเก็บเข้าคลัง  ให้ตั้งไว้บนพระที่นั่งหลายวัน  

   คุณเสือไม่สบายใจเห็นเป็นลาง  ก็ทูลวิงวอนว่า  เป็นอัปมงคลให้

ยกไปเสีย   ตรัสตอบว่า   กูทำสำหรับใส่ตัวกูเองจะเป็นอัปมงคลทำไม  แต่ก็

โปรดให้ยกพระโกษไป   คุณเสือเป็นคนได้รับพระราชทานอภัย  ทูลอะไรทูลได้

จึงมีเรื่องเล่าต่อไป

   วันหนึ่งพระพุทธยอดฟ้าทรงแสดงพระอาการว่า สบายพระราชหฤทัย

ตรัสและทรงพระสรวลอย่างสนุกสนาน  คุณเสือเห็นเป็นโอกาสดี  ก็เข้าไปใกล้

พระองค์ทูลว่า "ขุนหลวงเจ้าขา  ดีฉันจะทูลความสักเรื่องหนึ่ง  แต่ขุนหลวง

อย่ากริ้วหนา"

   ตรัสตอบว่า "จะพูดอะไรก็พูดไปเถิด ไม่กริ้วดอก"

   คุณเสือทูลว่า "ถ้ายังงั้น ขุนหลวงสบถให้ดีฉันเสียก่อน ดีฉันจึงจะ

ทูล"

   ตรัสว่า "อีอัปรีย์  บ้านเมืองลาวของมึง เคยให้เจ้าชีวิตจิตสันดาน

สบถหรือ  กูไม่สบถ พูดไปเถิด  กูไม่โกรธดอก"

   คุณเสือกระเถิบเข้าไปกระซิบทูลว่า  "เดี๋ยวนี้  แม่รอดท้องได้  ๔

เดือน"

   ทรงอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า  "ท้องกับใคร"

   คุณเสือทูลว่า  "จะมีกะใครเสียอีกเล่า  ก็พ่อโฉมเอกของขุนหลวง

น่ะซี"

   พระพุทธยอดฟ้ากริ้วนิ่ง ๆ อยู่หลายวัน   ไม่มีใครทราบว่าจะอย่างไร

กันแน่  พากันเกรงพระราชอาญาแทนเจ้าฟ้าสองพระองค์ไปตามกัน  คุณเสือ

ร้อนใจ  จึงหาโอกาสเข้าไปทูลถามว่า  ทารกในพระครรภ์จะเป็นเจ้าฟ้าหรือ

ไม่  ตรัสตอบว่า  เจ้าฟ้า  ก็โล่งใจไปตามกัน  ในที่สุดกรมพระราชวังบวรมหา

สุรสิงหนาท  เข้าไปขอพระพระราชทานโทษแทนพระหลานทั้งสองพระองค์

   (เจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์นั้น  คือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้า

กรมหลวงอิศรสุนทร  ภายหลังได้เสด็จเสวยราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธ

เลิศหล้าฯ  รัชกาลที่ ๒  กับเจ้าฟ้าหญิงบุญรอด  พระธิดาของเจ้าฟ้ากรมพระ

ศรีสุดารัตน์  ซึ่งในรัชกาลที่ ๔  โปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระศรี

สุริเยนทราบรมราชินี)

   ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกริ้วนิ่ง ๆ อยู่เป็นเวลาหลาย

วัน  เจ้าจอมแว่น หรือ "คุณแว่น" พระสนมเอกคนโปรดที่ใคร ๆ ชอบเรียกกันว่า

"คุณเสือ"  ร้อนใจเป็นที่สุด  เพราะรักใคร่เจ้าฟ้าทั้งสององค์นี้มากเป็นพิเศษ

ถึงกับได้บนบานว่า   หากเรื่องคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว  จะสร้างวัดถวายไว้

ในพระพุทธศาสนาหนึ่งวัด

   และในที่สุด  คุณเสือก็ได้สร้างวัดขึ้นกลางสวนในตำบลบางยี่ขัน

ธนบุรี  วัดหนึ่ง  เพื่อแก้บน  

   พระอุโบสถ ก่อเป็นอิฐสูงพ้นดินประมาณ ๒ ศอก  เอาเสาไม้แก่น

เป็นเสาประธาน  หลังคามุงกระเบื้อง  ฝาผนังเอาไม้สักเป็นฝารอบ  มีบาน

ประตูหน้าต่าง   แต่กุฎีนั้น  ทำด้วยเสาไม้แก่น  มีหลังคามุงบัง  สัณฐานเช่น

เรือนโบราณ

   ชาวบ้านเรียกว่า "วัดขรัวอิน"  ตามชื่อสมภารชื่อ  "อิน"

ครั้นต่อมาในรัชกาลที่ ๒  เมื่อคุณแว่นถึงแก่กรรมแล้ว  ได้มีญาติ

หญิงของคุณแว่นคนหนึ่ง  เป็นข้าราชการฝ่ายในชื่อ "อิน"  ได้มีจิตศรัทธา

จัดการปฏิสังขรณ์วัดขรัวอินเสียใหม่ทั้งวัด

   การปฏิสังขรณ์คราวนี้ได้รื้อเอาสถานที่ของเก่าออกทิ้งทั้งหมดแล้ว

สร้างใหม่  ได้สร้างอุโบสถขนาดเล็กก่ออิฐปูนขึ้นใหม่  เสนาสนะก่อด้วยอิฐปูน

แต่เครื่องบนใช้ไม้ไผ่สานเป็นแกน

   เสร็จแล้วได้กราบถวายบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ  จึงทรงดำริว่า  วัดขรัวอินนี้แปลก   สมภาร

เจ้าวัดชื่อ "อิน"  ผู้ศรัทธาปฏิสังขรณ์ก็ชื่อ "อิน"  ไม่แต่เท่านั้น  ชาวบ้านก็

อุตส่าห์ให้เรียกว่า "วัดขรัวอิน"  เสียอีก   จึงได้พระราชทานนามให้วัดนี้ใหม่ว่า

"วัดดาวดึงษาสวรรค์"  อันหมายถึง สวรรค์ชั้นที่พระอินทร์สถิตย์อยู่

  พระยามหาเทพ (ปาน)  ซึ่งเป็นต้นตระกูล "ปาณิกบุตร"   ตั้ง

บ้านเรือนอยู่ใกล้วัดดาวดึงษาสวรรค์  เป็นผู้มีศรัทธา  ได้รื้อกุฎีเหล่านั้นเสีย

ทั้งหมด  แล้วสร้างใหม่  แล้วรื้อพระอุโบสถเก่าที่เจ้าอินสร้างไว้นั้นออก

แล้วสร้างใหม่เช่นกัน  ด้านในพระอุโบสถถือปูน  และเขียนเป็นรูปภาพต่าง ๆ

มีพระรูปพระเจ้า  ๑๐ ชาติ  เป็นต้น

   แล้วจึงให้ขุดคลองระหว่างอุโบสถกับกุฎีต่อกัน  ปากคลองทิศ

ตะวันออกเฉียงใต้จดแม่น้ำเจ้าพระยา  ตะวันตกเฉียงเหนือจดคลองบางยี่ขัน

แล้วให้ขุดสระอีก ๒ สระข้างกุฎีด้านตะวันออกเฉียงใต้  เป็นสระกลม  กว้าง

๖ ศอก   แล้วขุดสระด้านตะวันตกเฉียงเหนือ  ๔  เหลี่ยม อีก ๑ สระ  **

   ครั้นพระยามหาเทพ (ปาน) สร้างพระอารามสำเร็จลงในรัชกาลที่ ๓

จึงได้ทูลเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง  รัชกาลที่ ๓  จึงได้พระราชทานนาม

ใหม่ ว่า  "วัดดาวดึงษาราม"