คุยกับผู้ใช้:Pwaypon/กระบะทราย

This sandbox is in the คุยกับผู้ใช้ namespace. Either move this page into your userspace, or remove the แม่แบบ:Tp template.

ผีกับฟิสิกส์

แก้

ผีคือวิญญาณที่หลุดออกจากร่างของคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งบางครั้งเขาก็มีเหตุผลที่จะอยากอยู่ต่อไปแม้จะตายก็ตาม. มันเป็นความเชื่อส่วนบุคคลในเรื่องของชีวิตหลังความตาย พลังงานที่เป็นวิญญาณนั้นไม่ได้ถูกทำลายเมื่อเขาตายลง แต่ว่าจะเปลี่ยนรูปแบบไป. พลังงานนี้สามารถตรวจจับได้โดยเครื่อง EMF Meter ที่จะสามารถวัดพลังงานแม่เหล็กได้.

เซอร์โอลิเวอร์ ลอดจ์ นักฟิสิกส์คนสำคัญชาวอังกฤษได้กล่าวไว้ว่า ผีอาจเป็นไปได้จริง ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ผี คงอธิบาย ได้ว่าเป็นภาพ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากพลังงานทางจิตที่รุนแรงของผู้ตายที่กระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม และประทับเป็นร่องรอยเอาไว้ สามารถทำให้บางคนที่มีประสาทสัมผัสไว เป็นพิเศษ รับคลื่นพลังงานที่แปรเป็นสภาพของปรากฏการณ์นั้นๆ ขึ้นมาใหม่ได้ คำอธิบายของเซอร์โอลิเวอร์ อาจมีส่วนถูกอยู่บ้าง และดูจะสอดคล้องกับความคิดเห็นของคนทั่วไปที่เชื่อว่า คนเมื่อตายแล้ว จะต้องกลายเป็นผีจนกว่าจะได้ไปเกิดใหม่ หรือไปสู่ภพใหม่ ส่วนปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า ผีหลอก นั้น คนส่วนมากเชื่อว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก ผู้ที่ตายไปยังไม่ยอมจากโลกไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เช่นได้รับความกดดันทางอารมณ์อย่างรุนแรง เป็นต้นว่า ความเจ็บปวด ความคับแค้นใจอิจฉาหรือห่วงใยอาวรณ์ ที่ท่วมล้นจิตใจก่อนที่ผู้ตายจะจากโลกไป เช่นเราเชื่อว่า คนที่ตายอย่างปวดร้าวกะทันหัน หรือคนที่มีห่วงมีใยอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็น ผีตายโหง ผีตายทั้งกลม หรือ ผีที่เกิดจาก แรงอาฆาต ความแค้น ความไม่เป็นธรรมต่างๆ ข้อสนับสนุนความเห็นดังกล่าวให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ได้แก่สถานที่ที่พบเห็นปรากฏการณ์ลึกลับที่น่ากลัวนั้น มักจะเป็นสถานที่ที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงหรือบริเวณที่มีการตายเกิดขึ้นอย่างทารุณ เช่น ฆาตกรรม อัตวิบาตกรรม หลุมศพโบราณ สนามรบ หรือวินาศภัยที่มีคนตายมากมาย ในบ้านเราเอง เรื่องของผีอาจถือได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนคุ้นเคยได้ยินได้ฟังเป็นประจำ โดยเฉพาะสมัยก่อนที่บ้านเมืองยังไม่มีความเจริญทางวัตถุยังเต็มไปด้วยป่าไม้ทุ่งนา ที่เป็นธรรมชาติเช่นนั้นมานานนับร้อยๆปี แม้ในปัจจุบันนี้ก็มีหนังสือและภาพยนต์เรื่องผี และเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติธรรมดาให้เห็นอยู่มากมาย ปรากฏการณ์เบื้องหลังความตายที่อธิบายว่าเห็นภาพวิญญาณของผู้ตายยังเป็นที่ถกเถียงกันมาก เพราะความเชื่อของคนทั่วไปไม่ว่าจะถีอลัทธิศาสนาใดก็ตาม มักจะถือมนุษย์เท่านั้นที่มีวิญญาณและวิญญาณก็ไม่ใช่ผี รูปที่เป็นผีนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แต่ ภาพร่างของมนุษย์มีได้ทั้งผีในรูปของสัตว์และต้นไม้ หรือแม้แต่สิ่งไม่มีชีวิต

ผีอยู่ภายใต้กฏของ”ฟิสิกส์”

แก้

หากจะถามกันว่ามีผีหรือไม่ ถ้ายึดเอาตามความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์แล้ว จะต้องบอกว่า มี หากมีอยู่แต่ในใจของแต่ละคนเท่านั้น

คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยคอลเลจ ที่กรุงลอนดอน ได้พบในการศึกษาเรื่องนี้ว่า เมื่อคนเราตกอยู่ ในบริเวณที่ไม่ค่อยจะมีแสงสว่างนัก สมองอาจถูกหลอกให้เห็นโน่นเห็นนี่ ซึ่งไม่ได้มีอยู่จริงได้ “สิ่งแวดล้อมในที่เราอยู่นับว่าสำคัญมาก บางทีมันอาจจะข่มหลักฐานตามที่ตาเราเห็นไปได้ และอาจจะทำให้เราทึกทักว่าเราเห็นมัน”

หนังสือพิมพ์รายวัน “เดอะ เดลี่ เทเลกราฟ” ฉบับใหญ่ของอังกฤษ รายงานข่าวต่อไปว่า ศาสตราจารย์ หลี่ เจาปิง หัวหน้านักวิจัย บอกให้รู้ว่า พวกนักมายากลได้ล่วงรู้ถึงปรากฏการณ์ อันนี้มาหลายปีแล้ว เมื่อเขาโยนลูกบอลขึ้นไปในอากาศ ตามด้วยลูกที่ 2 และ 3 ครั้นแล้วลูกที่สามจะเกิดหายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่อันที่จริงแล้ว บางทีลูกที่ 3 ไม่มีจริงเลย หากแต่ สมองของเราถูกสิ่งแวดล้อมหลอกเอา กลับบอกตัว เราว่าให้เรานึกว่าเห็นเขาโยนลูกทีละลูก รวมเป็น 3 ลูกจริง

เหตุที่ตาเราฝาด เห็นอสุรกาย ปรากฏออกมาจากเงามืด ก็ทำนองเดียวกันนี้แหละ เพราะที่ซึ่งเป็นเงามืดมองเห็นไม่ค่อยชัดอยู่แล้ว ดังนั้น จึงมักทำให้นึกวาดภาพต่อเติมให้เห็นเป็นตัวเป็นตนไป... อย่างไรก็ตาม ผีในทัศนะของนักวิทยาศาสตร์ไทยเช่น ศ.ดร.นพ.เทพพนม เมืองแมน กล่าวว่า ผีมีจริงและแพ้คลื่นโทรศัพท์มือถือ โดยกล่าวอ้างถึงการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษว่าผีเป็นพลังงานในลักษณะที่คล้ายพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของโทรศัพท์มือถือ ซึ่งปัจจุบันนี้การใช้โทรศัพท์มือถือเป็นไปอย่างแพร่หลายมากขึ้น ทำให้ผีซึ่งเป็นพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคลื่นสั้นปรากฏตัวน้อยลง เพราะไหลไปรวมในบริเวณที่ ๆ มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าน้อย สอดคล้องกับความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ไทยอีกคน คือ รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล ว่า ผีเป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง แต่การที่ใช้โทรศัพท์มากขึ้นนั้นไม่ถือว่าเป็นการไล่ผี แต่เป็นการถ่ายเทคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปยังอีกจุดหนึ่งมากกว่า และในทางกลับกันการใช้มือถือซึ่งมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามาก อาจทำให้เห็นภาพต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งไม่คิดว่า เป็นผีเพราะมนุษย์มีความรู้ในการพิจารณา การถ่ายภาพหรือวิดีโอแล้วมีภาพหรือเงาที่อธิบายไม่ได้ปรากฏนั้น ในอนาคตก็จะเห็นมากขึ้น เพราะวิทยาการล้ำหน้า เครื่องถ่ายภาพสามารถจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้มา ได้มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อ โดนัลด์ จี คาร์เพนเตอร์ (Dr. Donald G. Carpenter) ศึกษาสิ่งที่เรียกว่าผีจากรายงานทั่วโลกและได้ข้อสรุปทางฟิสิกส์ต่าง ๆ ดังนี้

นิยามของคำว่าผี

แก้
  1. ผีอยู่ภายใต้กฏของฟิสิกส์
  2. ผีไม่ใช่เรื่องมายากล ไม่ใช่ปาฎิหาริย์ และไม่ใช้เรื่องนอกเหนือกฎธรรมชาติข้อใด ๆ ทั้งสิ้น
  3. ในการปรากฏกายของผีโดยเฉลี่ยแล้ว "ร่าง" ของผีจะกินเนื้อที่เป็นปริมาณ ประมาณ 0.07 ลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นปริมาตรเฉลี่ยเท่ากับคนธรรมดาที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 70 กิโลกรัม

สมมุติฐานของ”ผี”

แก้

ประการที่หนึ่ง ปรากฏการณ์ SNG เกิดขึ้นโดยตรงกับสมองของผู้ประสบเหตุ ทั้งนี้อาจจะเกิดจากการรบกวนของกระบวนการไฟฟ้าชีวเคมีในสมอง ทำให้ประสาทและระบบรับความรู้สึกเกิดความผิดเพี้ยน โดยเฉพาะในส่วนของมันสมองและไขสันหลัง อนุมานได้ว่า เป็นความผิดพลาดที่เกิดจากการกระตุ้นโดยกระบวนการป้อนกลับข้อมูลของระบบประสาทใต้สำนึกและของสมองเอง กรณีเช่นนี้ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า "เกิดอาการประสาทหลอน" (Hallucination) ซึ่งถือได้ว่าในขณะนั้นผู้ประสบเหตุกำลังเจ็บไข้ได้ป่วยทางความนึกคิด อีกกรณีหนึ่งก็คือ การกระตุ้นให้สมองเกิดอาการภาพหลอนขึ้นเอง อาจกระทำได้จากสิ่งเร้าภายนอก โดยใช้คลื่นอิเล็คโตรแม็กเนติกที่มีขนาดคลื่นพอเหมาะยิงคลื่นนั้นตรงไปยังสมองก็เป็นได้ การควบคุมสภาวะแวดล้อมบางอย่างซึ่งมีผลกระทบต่อจิตใจและอารมณ์ความรู้สึก ก็อาจเป็นสาเหตุทำให้สมองของเราเกิดภาพหลอนขึ้นได้เหมือนกัน ทั้งนี้เคส่วนใหญ่ที่ทดลองมาต้องเกิดจากการกระทำของผู้เชี่ยวชาญและโดยเทคนิคชั้นสูงเท่านั้น ในกรณีหลังเราถือว่าผู้ประสบเหตุถูกสิ่งเร้าควบคุมจากภายนอก เรียกว่า"ถูกควบคุมให้เกิดประสาทหลอน" โดยภาพหลอนที่เกิดขึ้นนั้นถือว่าเป็นภาพหลอนที่ถูกควบคุม(Illusion) โดยสรุปแล้วสมมติฐานประการที่หนึ่งถือว่าผีไม่มีอยู่ในโลก แต่ปรากฏการณ์ผีมีอยู่จริง คำว่า"จริง"ในที่นี้คือความจริงที่เกิดขึ้นในสมองของผู้ประสบเหตุนั่นเอง

ประการที่สอง ปรากฏการณ์ผีตามมาตรฐาน SNG เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆไม่ใช่เรื่องประสาทหลอนหรือการควบคุมให้ประสาทหลอน ถ้าสมมติฐานที่สองถูกต้องสมมติฐานที่หนึ่งก็ผิด (แหงเด่ะ -_-') ถ้าผีปรากฏตัวให้เราเห็นได้จริงๆก็แสดงว่าผีต้องสามารถสร้าง"ร่าง"หรือเปล่งแสงสว่าง (Photons)ออกมาได้ จึงทำให้เราสามารถมองเห็นในเวลากลางคืนหรือที่มืดๆ ถ้าผีเป็นภาพหลอนแล้ว ทำไมจากข้อมูลเรื่องผีถึงมีเคสที่ผีปรากฏตัวต่อหน้าคนหมู่มากซึ่งอยู่ในมุมมองที่แตกต่างกัน จากตำแหน่งของแต่ละคนทุกคนสามารถมองเห็นผีตนนั้นได้จากมุมมองของตัวเอง ข้อมูลนี้สนับสนุนสมมติฐานหลังและแสดงให้เห็นว่าผีปรากฏตัวได้ด้วยการเปล่งโฟตอนออกมา ไม่ใช่ภาพหลอนที่สร้างขึ้นในสมองของผู้ประสบเหตุเหล่านั้น

ฟิสิกส์กับการปรากฏตัวของ”ผี”

แก้

ถ้ายึกตามหลักสมมุติฐานในข้อที่ 2 โดนใช้หลักข้อสังเกตุที่ว่า”ผีต้องสร้างโฟตอนเพื่อเปร่งรัศมีออกมา ทำให้ผู้ประสบเหตุสามารถมองเห็นมันได้ในที่สุด” จากรายงานเกือบทั้งหมดของผู้ประสบเหตุกล่าวว่าผีสามารถลอยตัวในอากาศได้ มีการเคลื่อนที่ด้วยการเดินเหมือนคนแต่เท้าไม่ติดดิน ถ้าเช่นนั้นเป็นไปได้ไหมครับว่าผีต้องมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าอากาศ เพราะถ้ามันน้ำหนักมากกว่าแล้วล่ะก็มันจะแสดงพฤติกรรมแบบนั้นไม่ได้แน่ ถึงยังงั้นผีก็ควรจะเบากว่าอากาศไม่มากนัก เนื่องจากถ้าเบามากผีก็จะลอยไปตามลมเหมือนลูกโป่งสวรรค์ หากจะอยู่กับที่จำเป็นต้องหาอะไรมายึดเกาะเอาไว้ ซึ่งก็ไม่มีผู้ประสบเหตุรายไหนพบว่าผีผูกขาตัวเองไว้กับโต๊ะ ขอบหน้าต่าง รากไม้ หรือว่าหิ้วสมอลอยไปลอยมาแต่ประใด ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่า ผีอาจจะมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าอากาศอยู่นิดหน่อย

ผีสร้างโฟตอนขึ้นมาได้อย่างไร? จากข้อมูลของ SNG พบว่าผีส่วนมากปรากฏตัวให้เห็นเป็นภาพสามมิติเรือนลางกลางอากาศ นั่นหมายความว่าผีทำให้อากาศรอบตัวมันนั่นเองเปล่งแสงขึ้นมา ตัวผีจริงๆไม่มีแสงสว่าง ไม่สะท้อนหรือดูดกลืนคลื่นแสง อากาศต่างหากที่เป็นตัวเปล่งแสง(โฟตอน)ออกมา อะตอมของอากาศจะต้องถูกรบกวนจนกระทั่งอิเล็กตรอนเปลี่ยนตำแหน่งวงโคจรของมัน จนกระทั่งในที่สุดก็เปล่งแสงออกมา

ในทางฟิสิกส์เราทราบกันว่าโฟตอนสีม่วงเป็นคลื่นอิเล็คโตรแม็กเนติกที่มีความถี่ 3,950 A° และโฟตอนสีน้ำเงินมีความถี่ 4,400 A° เมื่อได-อะตอม (di-atom) ของไนโตรเจนอิออนถูกรบกวนในช่วงเวลาทุกๆ 0.01 วินาที แต่สำหรับธาตุออกวิเจนมันจะเปล่งโฟตอนสีแดงความถี่ 7,500 A° ออกมาให้ในทุกช่วงเวลา 0.7 วินาทีโดยประมาณ แต่จากข้อมูลเรื่องผีเราสรุปได้ว่าผีเปล่งโฟตอนสีขาวน้ำเงินซึ่งเป็นแสงสว่างจางๆที่มีความเข้มของแสงต่ำเอามากๆ ประเมิณค่าความเข้มแสงได้ประมาณ 1-20 วัตต์ ต่อปริมาตร 0.07 ลูกบาศก์เมตร และตาของคนเราจะสามารถมองเห็นความเข้มของแสงสว่างได้ในที่มืด โดยใช้ระบบประสาทที่เรียกว่า Rods Cell เท่านั้น เซลล์ชนิดนี้มีอยู่ในดวงตาของทุกคน มันสามารถรับภาพได้ว่องไวเฉพาะแสงสว่างขาวดำเท่านั้น (เรียกว่ามองไม่เห็นสีของแสงว่างั้นเหอะ) ดังนั้นไม่ว่าผีจะเปล่งแสงสีแดง สีม่วง สีคราม หรือสีรุ้งออกมา ดวงตาของคนก็ไม่สามารถมองเห็นได้(ในกรณีที่ความเข้มของแสงต่ำมาก) คนเราจะมองเห็นเป็นสีขาวคือเฉพาะความสว่างสลัวๆเท่านั้น แต่ถ้าความเข้มของแสงสว่างมีมากขึ้นตาคนเราจะมองเห็นเป็นสีน้ำเงินก่อน และนี่ก็เป็นเหตุผลอันหนึ่งที่อธิบายได้ว่า ทำไมผู้ประสบเหตุถึง 99% จึงมองเห็นผีในลักษณะของภาพขาวดำหรือสีขาวน้ำเงินเท่านั้น สรุปได้ว่า ผีจะสร้างแสงสว่างขึ้นเมื่อต้องการแสดงตัว โดยการกระตุ้นโฟตอนจากบรรยากาศ แสงสว่างที่ออกมามีความเข้มต่ำมากความสว่างไม่เพียงพอที่จะไปกระตุ้น Cones Cell ซึ่งทำหน้าที่รับรู้สีของแสงให้ทำงานได้ คนเราจึงสามารถมองเห็นผีได้ในลักษณะขาวดำเรือนลางเท่านั้น

“ผี”ใช้พลังอะไรมากระตุ้นอิเล็กตรอนของบรรยากาศทำให้เกิดการคายโฟตอนออกมา?

แก้

ในการตีความโจทย์ข้อนี้เราไม่ควรลืมข้อสังเกตจากปรากฏการณ์ SNG ข้อหนึ่งที่ว่า ก่อนและหลังการปรากฏตัวของผี อากาศ ณ จุดนั้นจะเย็นวูบลงอย่างทันทีทันใด ข้อมูลนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของผ ีมากระตุ้นให้เกิดการสร้างโฟตอนของอะตอมในบรรยากาศ ผีคงไม่มีพลังงานในตัวเองหรอกครับ แต่คงใช้พลังงานความร้อน (Thermal energy) จากบรรยากาศมาเป็นพลังงานกระตุ้นอะตอมของธาตุให้เกิดการตื่นตัว (excited) โดยใช้หลักการเดียวกับหลักการทางฟิสิกส์ที่เรียกว่า Maxwell-Bolzmann ผีคงจะต้องดึงพลังงานความร้อนในบรรยากาศมาเปลี่ยนให้เป็นโฟตอน ซึ่งมีผลทำให้อุณหภูมิในบรรยากาศลดลงในทันที โดยการคำนวณอย่างหยาบๆพบว่า ถ้าผีสร้างโฟตอนความเข้ม 20 วัตต์ โดยดึงเอาพลังงานความร้อนจากบรรยากาศปกติที่ความดันระดับน้ำทะเล จะทำให้อุณหภูมิของบรรยากาศเย็นลงได้ประมาณ 14.5 C° ต่อนาที อุณหภูมิจะลดลงเรื่อยๆตราบเท่าที่ผียังสามารถเปลี่ยนความร้อนให้เป็นโฟตอนอยู่ได้ จนกระทั่งถึงความเย็นจุดหนึ่งจะทำให้ไอน้ำในบรรยากาศกลั่นตัวควบแน่นกลายเป็นหมอก (เรียกว่า dew point นั่นเองครับ) ตอนนี้ก็จะเกิดกลุ่มหมอกควันหนาทึบปกคลุมตัวของผี ดังนั้นจึงมีข้อสรุปที่ค่อนข้างแน่ชัดออกมาว่า ผีที่อยู่ในที่ๆมีอากาศแห้ง(ไอน้ำในบรรยากาศน้อย) จะปรากฏตัวให้เห็นได้เรือนลางกว่าผีที่มีสำมะโนครัวในแถบอากาศชื้น

ได้ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งตามมาหากสมมติฐานนี้ถูกต้อง นั่นคือถ้าผีสามารถดึงเอาพลังงานความร้อนในบรรยากาศมาใช้ได้ ก็หมายความว่าตัวของผีเองนั้นต้องประกอบด้วยพลังงานล้วนๆ(หรืออย่างน้อยต้องประกอบด้วยพลังงานมากกว่าสสาร) และข้อมูลหลักฐานเรื่องผีจากทั่วโลกก็สนับสนุนแนวคิดดังกล่าวนี้เสียด้วย ไม่มีหลักฐานชิ้นใดที่ชี้ให้เห็นชัดว่าตัวของผีประกอบด้วยเนื้อหนังมังสาอย่างคนเรา ...ดังนั้นเป็นไปได้ไหมหากเราจะสรุปว่า ผีมีตัวตนที่ประกอบด้วยพลังงาน ไม่ใช่สสารเหมือนร่างกายมนุษย์ แต่อาศัยหลักเกณฑ์ทางฟิสิกส์ของไอน์สไตน์ข้อที่เรียกว่า "กฏความสัมพัทธภาของความสมดุลย์แห่งมวลสาร" (Einstein Relativistic Law of Mass-equivalence) พลังงานที่ประกอบขึ้นเป็นตัวของผีก็สามารถวัดหาค่ามวลสารได้ โดยอาศัยวิธีการวัดที่เรียกว่า "การวัดด้วยคลื่นความโน้มถ่วง" (Gravitational methods)

ปรากฏการณ์ทาง”ผีหลอก”

แก้

“ผีหลอก” (Poltergeist) คือปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่เชื่อกันว่า เกิดจากการกระทำของเหล่า ภูติ ผี ปีศาจหรือวิญญาณที่ประสงค์ร้าย พยายามแสดงออกเพื่อเป็นการเตือน ขับไล่ หยอกล้อหรือแสดงความจำนงประสงค์อย่างไรก็ตาม

ความพยายามแสดงออกของผี มักเป็นไปในรูปแบบแปลกๆ มักแฝกด้วยความดุร้าย ความน่ากลัวในสายตามนุษย์ จากรายงานเรื่องผีประเภทมองไม่เห็นตัว ส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงวัยรุ่นถึงวัยกลางคน มีบ้างที่เกิดกับชายและหญิงสูงอายุ

วิธีที่ผีจะนำพลังงานมาสร้างปรากฏการณ์ผีหลอกวิญญาณหลอน (Poltergeist) นั้นจะต้องผิดแปลกแตกต่างไปจากการปรากฏกายของผีทั่วไป ซึ่งถ้าเรามองกันในแง่ของฟิสิกส์แล้วเราจะพบว่า

  1. พลังงานที่ใช้จะต้องเป็นพลังงานที่เปลี่ยนไปในรูปของ"แรงกระตุ้น" ซึ่งเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนและเป็นจังหวะอย่างที่เราเรียกกันว่า Impulse จากข้อมูลของนักวิจัยพบว่าอิมพัลซ์หนึ่งมีจังหวะช่วงความถี่ 1 วินาทีต่อครั้ง เช่น เสียงเคาะกระจก เสียงเดินกุกกัก ที่ครั้งหนึ่งจะเว้นช่วงระยะเวลาประมาณ 1 วินาทีเสมอ
  2. จำนวนพลังงานที่จะต้องใช้ในแต่ละอิมพัลซ์ คำนวณออกมาได้ค่าประมาณ 60 จูลส์ (คิดเป็นน้ำหนักประมาณ 50 ก.ก. ครับ)
  3. ความสำคัญอยู่ที่ยอดสุดของกำลังงานครับ (peak power output) ซึ่งให้กำลังงานสูงถึง 6K วัตต์ หรือมากกว่านั้นในแต่ละอิมพัลซ์ ในข้อนี้เราจะเห็นได้ว่าความแตกต่างของพลังงานในการปรากฏตัวของผี ผีต้องดูดพลังงานจากบรรยากาศมาแปลงเป็นโฟตอน แต่การทำผีหลอกวิญญาณหลอน ผีจะต้องสะสมพลังงานชั่วขณะหนึ่งก่อน สะสมเอาไว้ให้ได้พลังงานมากพอที่จะปลดปล่อยออกไปเพื่อให้เกิดแรงกระต้นเป็นอิมพัลซ์ ลงมีแรงแบบนี้ถ้ามากขึ้นอีกหน่อย เรื่องของผีหักคอคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วมั้งครับ
  4. ผีจะปฏิบัติการหลอกหลอนได้นั้น ต้องทำการสะสมพลังงานในบรรยากาศเข้าไปให้ได้อย่างน้อย 60 จูลส์ ก่อนการปลดปล่อยออกมาในรูปของแรงกระตุ้นอย่างรุนแรง แต่ข้อมูลจากผู้ประสบเหตุบอกเราว่าในเคสนี้ไม่มีการลดลงของอุณหภูมิในบรรยากาศแต่ประการใด โดยการคำนวณพบว่าถ้าผีสะสมพลังงานจากบรรยากาศจนได้ 60 จูลส์ ในเวลา 1 วินาที จะทำให้บรรยากาศบริเวณนั้นลดลงไปเพียง 1 องศา C การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเพียงเท่านี้ย่อมไม่สามารถทำให้ผู้ประสบเหตุรู้สึกรู้สาได้ ก็นับว่ามีเหตุผลดีอยู่ครับ (สรุปคือ ไม่ว่าจะปรากฏตัวหรือทำการหลอก ผีต้องใช้พลังงานจากบรรยากาศอยู่ดี

อ้างอิง

แก้

[1] [2] [3] หนังสือชุดมิติที่สี่

ผีทางหลักฟิสิกส์

แก้

This sandbox is in the คุยกับผู้ใช้ namespace. Either move this page into your userspace, or remove the แม่แบบ:Tp template.

ผีกับฟิสิกส์

แก้

ผีคือวิญญาณที่หลุดออกจากร่างของคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งบางครั้งเขาก็มีเหตุผลที่จะอยากอยู่ต่อไปแม้จะตายก็ตาม. มันเป็นความเชื่อส่วนบุคคลในเรื่องของชีวิตหลังความตาย พลังงานที่เป็นวิญญาณนั้นไม่ได้ถูกทำลายเมื่อเขาตายลง แต่ว่าจะเปลี่ยนรูปแบบไป. พลังงานนี้สามารถตรวจจับได้โดยเครื่อง EMF Meter ที่จะสามารถวัดพลังงานแม่เหล็กได้.

เซอร์โอลิเวอร์ ลอดจ์ นักฟิสิกส์คนสำคัญชาวอังกฤษได้กล่าวไว้ว่า ผีอาจเป็นไปได้จริง ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ผี คงอธิบาย ได้ว่าเป็นภาพ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากพลังงานทางจิตที่รุนแรงของผู้ตายที่กระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม และประทับเป็นร่องรอยเอาไว้ สามารถทำให้บางคนที่มีประสาทสัมผัสไว เป็นพิเศษ รับคลื่นพลังงานที่แปรเป็นสภาพของปรากฏการณ์นั้นๆ ขึ้นมาใหม่ได้ คำอธิบายของเซอร์โอลิเวอร์ อาจมีส่วนถูกอยู่บ้าง และดูจะสอดคล้องกับความคิดเห็นของคนทั่วไปที่เชื่อว่า คนเมื่อตายแล้ว จะต้องกลายเป็นผีจนกว่าจะได้ไปเกิดใหม่ หรือไปสู่ภพใหม่ ส่วนปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า ผีหลอก นั้น คนส่วนมากเชื่อว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก ผู้ที่ตายไปยังไม่ยอมจากโลกไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เช่นได้รับความกดดันทางอารมณ์อย่างรุนแรง เป็นต้นว่า ความเจ็บปวด ความคับแค้นใจอิจฉาหรือห่วงใยอาวรณ์ ที่ท่วมล้นจิตใจก่อนที่ผู้ตายจะจากโลกไป เช่นเราเชื่อว่า คนที่ตายอย่างปวดร้าวกะทันหัน หรือคนที่มีห่วงมีใยอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็น ผีตายโหง ผีตายทั้งกลม หรือ ผีที่เกิดจาก แรงอาฆาต ความแค้น ความไม่เป็นธรรมต่างๆ ข้อสนับสนุนความเห็นดังกล่าวให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ได้แก่สถานที่ที่พบเห็นปรากฏการณ์ลึกลับที่น่ากลัวนั้น มักจะเป็นสถานที่ที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงหรือบริเวณที่มีการตายเกิดขึ้นอย่างทารุณ เช่น ฆาตกรรม อัตวิบาตกรรม หลุมศพโบราณ สนามรบ หรือวินาศภัยที่มีคนตายมากมาย ในบ้านเราเอง เรื่องของผีอาจถือได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนคุ้นเคยได้ยินได้ฟังเป็นประจำ โดยเฉพาะสมัยก่อนที่บ้านเมืองยังไม่มีความเจริญทางวัตถุยังเต็มไปด้วยป่าไม้ทุ่งนา ที่เป็นธรรมชาติเช่นนั้นมานานนับร้อยๆปี แม้ในปัจจุบันนี้ก็มีหนังสือและภาพยนต์เรื่องผี และเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติธรรมดาให้เห็นอยู่มากมาย ปรากฏการณ์เบื้องหลังความตายที่อธิบายว่าเห็นภาพวิญญาณของผู้ตายยังเป็นที่ถกเถียงกันมาก เพราะความเชื่อของคนทั่วไปไม่ว่าจะถีอลัทธิศาสนาใดก็ตาม มักจะถือมนุษย์เท่านั้นที่มีวิญญาณและวิญญาณก็ไม่ใช่ผี รูปที่เป็นผีนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แต่ ภาพร่างของมนุษย์มีได้ทั้งผีในรูปของสัตว์และต้นไม้ หรือแม้แต่สิ่งไม่มีชีวิต

ผีอยู่ภายใต้กฏของ”ฟิสิกส์”

แก้

หากจะถามกันว่ามีผีหรือไม่ ถ้ายึดเอาตามความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์แล้ว จะต้องบอกว่า มี หากมีอยู่แต่ในใจของแต่ละคนเท่านั้น

คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยคอลเลจ ที่กรุงลอนดอน ได้พบในการศึกษาเรื่องนี้ว่า เมื่อคนเราตกอยู่ ในบริเวณที่ไม่ค่อยจะมีแสงสว่างนัก สมองอาจถูกหลอกให้เห็นโน่นเห็นนี่ ซึ่งไม่ได้มีอยู่จริงได้ “สิ่งแวดล้อมในที่เราอยู่นับว่าสำคัญมาก บางทีมันอาจจะข่มหลักฐานตามที่ตาเราเห็นไปได้ และอาจจะทำให้เราทึกทักว่าเราเห็นมัน”

หนังสือพิมพ์รายวัน “เดอะ เดลี่ เทเลกราฟ” ฉบับใหญ่ของอังกฤษ รายงานข่าวต่อไปว่า ศาสตราจารย์ หลี่ เจาปิง หัวหน้านักวิจัย บอกให้รู้ว่า พวกนักมายากลได้ล่วงรู้ถึงปรากฏการณ์ อันนี้มาหลายปีแล้ว เมื่อเขาโยนลูกบอลขึ้นไปในอากาศ ตามด้วยลูกที่ 2 และ 3 ครั้นแล้วลูกที่สามจะเกิดหายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่อันที่จริงแล้ว บางทีลูกที่ 3 ไม่มีจริงเลย หากแต่ สมองของเราถูกสิ่งแวดล้อมหลอกเอา กลับบอกตัว เราว่าให้เรานึกว่าเห็นเขาโยนลูกทีละลูก รวมเป็น 3 ลูกจริง

เหตุที่ตาเราฝาด เห็นอสุรกาย ปรากฏออกมาจากเงามืด ก็ทำนองเดียวกันนี้แหละ เพราะที่ซึ่งเป็นเงามืดมองเห็นไม่ค่อยชัดอยู่แล้ว ดังนั้น จึงมักทำให้นึกวาดภาพต่อเติมให้เห็นเป็นตัวเป็นตนไป... อย่างไรก็ตาม ผีในทัศนะของนักวิทยาศาสตร์ไทยเช่น ศ.ดร.นพ.เทพพนม เมืองแมน กล่าวว่า ผีมีจริงและแพ้คลื่นโทรศัพท์มือถือ โดยกล่าวอ้างถึงการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษว่าผีเป็นพลังงานในลักษณะที่คล้ายพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของโทรศัพท์มือถือ ซึ่งปัจจุบันนี้การใช้โทรศัพท์มือถือเป็นไปอย่างแพร่หลายมากขึ้น ทำให้ผีซึ่งเป็นพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคลื่นสั้นปรากฏตัวน้อยลง เพราะไหลไปรวมในบริเวณที่ ๆ มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าน้อย สอดคล้องกับความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ไทยอีกคน คือ รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล ว่า ผีเป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง แต่การที่ใช้โทรศัพท์มากขึ้นนั้นไม่ถือว่าเป็นการไล่ผี แต่เป็นการถ่ายเทคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปยังอีกจุดหนึ่งมากกว่า และในทางกลับกันการใช้มือถือซึ่งมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามาก อาจทำให้เห็นภาพต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งไม่คิดว่า เป็นผีเพราะมนุษย์มีความรู้ในการพิจารณา การถ่ายภาพหรือวิดีโอแล้วมีภาพหรือเงาที่อธิบายไม่ได้ปรากฏนั้น ในอนาคตก็จะเห็นมากขึ้น เพราะวิทยาการล้ำหน้า เครื่องถ่ายภาพสามารถจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้มา ได้มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อ โดนัลด์ จี คาร์เพนเตอร์ (Dr. Donald G. Carpenter) ศึกษาสิ่งที่เรียกว่าผีจากรายงานทั่วโลกและได้ข้อสรุปทางฟิสิกส์ต่าง ๆ ดังนี้

นิยามของคำว่าผี

แก้
  1. ผีอยู่ภายใต้กฏของฟิสิกส์
  2. ผีไม่ใช่เรื่องมายากล ไม่ใช่ปาฎิหาริย์ และไม่ใช้เรื่องนอกเหนือกฎธรรมชาติข้อใด ๆ ทั้งสิ้น
  3. ในการปรากฏกายของผีโดยเฉลี่ยแล้ว "ร่าง" ของผีจะกินเนื้อที่เป็นปริมาณ ประมาณ 0.07 ลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นปริมาตรเฉลี่ยเท่ากับคนธรรมดาที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 70 กิโลกรัม

สมมุติฐานของ”ผี”

แก้

ประการที่หนึ่ง ปรากฏการณ์ SNG เกิดขึ้นโดยตรงกับสมองของผู้ประสบเหตุ ทั้งนี้อาจจะเกิดจากการรบกวนของกระบวนการไฟฟ้าชีวเคมีในสมอง ทำให้ประสาทและระบบรับความรู้สึกเกิดความผิดเพี้ยน โดยเฉพาะในส่วนของมันสมองและไขสันหลัง อนุมานได้ว่า เป็นความผิดพลาดที่เกิดจากการกระตุ้นโดยกระบวนการป้อนกลับข้อมูลของระบบประสาทใต้สำนึกและของสมองเอง กรณีเช่นนี้ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า "เกิดอาการประสาทหลอน" (Hallucination) ซึ่งถือได้ว่าในขณะนั้นผู้ประสบเหตุกำลังเจ็บไข้ได้ป่วยทางความนึกคิด อีกกรณีหนึ่งก็คือ การกระตุ้นให้สมองเกิดอาการภาพหลอนขึ้นเอง อาจกระทำได้จากสิ่งเร้าภายนอก โดยใช้คลื่นอิเล็คโตรแม็กเนติกที่มีขนาดคลื่นพอเหมาะยิงคลื่นนั้นตรงไปยังสมองก็เป็นได้ การควบคุมสภาวะแวดล้อมบางอย่างซึ่งมีผลกระทบต่อจิตใจและอารมณ์ความรู้สึก ก็อาจเป็นสาเหตุทำให้สมองของเราเกิดภาพหลอนขึ้นได้เหมือนกัน ทั้งนี้เคส่วนใหญ่ที่ทดลองมาต้องเกิดจากการกระทำของผู้เชี่ยวชาญและโดยเทคนิคชั้นสูงเท่านั้น ในกรณีหลังเราถือว่าผู้ประสบเหตุถูกสิ่งเร้าควบคุมจากภายนอก เรียกว่า"ถูกควบคุมให้เกิดประสาทหลอน" โดยภาพหลอนที่เกิดขึ้นนั้นถือว่าเป็นภาพหลอนที่ถูกควบคุม(Illusion) โดยสรุปแล้วสมมติฐานประการที่หนึ่งถือว่าผีไม่มีอยู่ในโลก แต่ปรากฏการณ์ผีมีอยู่จริง คำว่า"จริง"ในที่นี้คือความจริงที่เกิดขึ้นในสมองของผู้ประสบเหตุนั่นเอง

ประการที่สอง ปรากฏการณ์ผีตามมาตรฐาน SNG เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆไม่ใช่เรื่องประสาทหลอนหรือการควบคุมให้ประสาทหลอน ถ้าสมมติฐานที่สองถูกต้องสมมติฐานที่หนึ่งก็ผิด (แหงเด่ะ -_-') ถ้าผีปรากฏตัวให้เราเห็นได้จริงๆก็แสดงว่าผีต้องสามารถสร้าง"ร่าง"หรือเปล่งแสงสว่าง (Photons)ออกมาได้ จึงทำให้เราสามารถมองเห็นในเวลากลางคืนหรือที่มืดๆ ถ้าผีเป็นภาพหลอนแล้ว ทำไมจากข้อมูลเรื่องผีถึงมีเคสที่ผีปรากฏตัวต่อหน้าคนหมู่มากซึ่งอยู่ในมุมมองที่แตกต่างกัน จากตำแหน่งของแต่ละคนทุกคนสามารถมองเห็นผีตนนั้นได้จากมุมมองของตัวเอง ข้อมูลนี้สนับสนุนสมมติฐานหลังและแสดงให้เห็นว่าผีปรากฏตัวได้ด้วยการเปล่งโฟตอนออกมา ไม่ใช่ภาพหลอนที่สร้างขึ้นในสมองของผู้ประสบเหตุเหล่านั้น

ฟิสิกส์กับการปรากฏตัวของ”ผี”

แก้

ถ้ายึกตามหลักสมมุติฐานในข้อที่ 2 โดนใช้หลักข้อสังเกตุที่ว่า”ผีต้องสร้างโฟตอนเพื่อเปร่งรัศมีออกมา ทำให้ผู้ประสบเหตุสามารถมองเห็นมันได้ในที่สุด” จากรายงานเกือบทั้งหมดของผู้ประสบเหตุกล่าวว่าผีสามารถลอยตัวในอากาศได้ มีการเคลื่อนที่ด้วยการเดินเหมือนคนแต่เท้าไม่ติดดิน ถ้าเช่นนั้นเป็นไปได้ไหมครับว่าผีต้องมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าอากาศ เพราะถ้ามันน้ำหนักมากกว่าแล้วล่ะก็มันจะแสดงพฤติกรรมแบบนั้นไม่ได้แน่ ถึงยังงั้นผีก็ควรจะเบากว่าอากาศไม่มากนัก เนื่องจากถ้าเบามากผีก็จะลอยไปตามลมเหมือนลูกโป่งสวรรค์ หากจะอยู่กับที่จำเป็นต้องหาอะไรมายึดเกาะเอาไว้ ซึ่งก็ไม่มีผู้ประสบเหตุรายไหนพบว่าผีผูกขาตัวเองไว้กับโต๊ะ ขอบหน้าต่าง รากไม้ หรือว่าหิ้วสมอลอยไปลอยมาแต่ประใด ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่า ผีอาจจะมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าอากาศอยู่นิดหน่อย

ผีสร้างโฟตอนขึ้นมาได้อย่างไร? จากข้อมูลของ SNG พบว่าผีส่วนมากปรากฏตัวให้เห็นเป็นภาพสามมิติเรือนลางกลางอากาศ นั่นหมายความว่าผีทำให้อากาศรอบตัวมันนั่นเองเปล่งแสงขึ้นมา ตัวผีจริงๆไม่มีแสงสว่าง ไม่สะท้อนหรือดูดกลืนคลื่นแสง อากาศต่างหากที่เป็นตัวเปล่งแสง(โฟตอน)ออกมา อะตอมของอากาศจะต้องถูกรบกวนจนกระทั่งอิเล็กตรอนเปลี่ยนตำแหน่งวงโคจรของมัน จนกระทั่งในที่สุดก็เปล่งแสงออกมา

ในทางฟิสิกส์เราทราบกันว่าโฟตอนสีม่วงเป็นคลื่นอิเล็คโตรแม็กเนติกที่มีความถี่ 3,950 A° และโฟตอนสีน้ำเงินมีความถี่ 4,400 A° เมื่อได-อะตอม (di-atom) ของไนโตรเจนอิออนถูกรบกวนในช่วงเวลาทุกๆ 0.01 วินาที แต่สำหรับธาตุออกวิเจนมันจะเปล่งโฟตอนสีแดงความถี่ 7,500 A° ออกมาให้ในทุกช่วงเวลา 0.7 วินาทีโดยประมาณ แต่จากข้อมูลเรื่องผีเราสรุปได้ว่าผีเปล่งโฟตอนสีขาวน้ำเงินซึ่งเป็นแสงสว่างจางๆที่มีความเข้มของแสงต่ำเอามากๆ ประเมิณค่าความเข้มแสงได้ประมาณ 1-20 วัตต์ ต่อปริมาตร 0.07 ลูกบาศก์เมตร และตาของคนเราจะสามารถมองเห็นความเข้มของแสงสว่างได้ในที่มืด โดยใช้ระบบประสาทที่เรียกว่า Rods Cell เท่านั้น เซลล์ชนิดนี้มีอยู่ในดวงตาของทุกคน มันสามารถรับภาพได้ว่องไวเฉพาะแสงสว่างขาวดำเท่านั้น (เรียกว่ามองไม่เห็นสีของแสงว่างั้นเหอะ) ดังนั้นไม่ว่าผีจะเปล่งแสงสีแดง สีม่วง สีคราม หรือสีรุ้งออกมา ดวงตาของคนก็ไม่สามารถมองเห็นได้(ในกรณีที่ความเข้มของแสงต่ำมาก) คนเราจะมองเห็นเป็นสีขาวคือเฉพาะความสว่างสลัวๆเท่านั้น แต่ถ้าความเข้มของแสงสว่างมีมากขึ้นตาคนเราจะมองเห็นเป็นสีน้ำเงินก่อน และนี่ก็เป็นเหตุผลอันหนึ่งที่อธิบายได้ว่า ทำไมผู้ประสบเหตุถึง 99% จึงมองเห็นผีในลักษณะของภาพขาวดำหรือสีขาวน้ำเงินเท่านั้น สรุปได้ว่า ผีจะสร้างแสงสว่างขึ้นเมื่อต้องการแสดงตัว โดยการกระตุ้นโฟตอนจากบรรยากาศ แสงสว่างที่ออกมามีความเข้มต่ำมากความสว่างไม่เพียงพอที่จะไปกระตุ้น Cones Cell ซึ่งทำหน้าที่รับรู้สีของแสงให้ทำงานได้ คนเราจึงสามารถมองเห็นผีได้ในลักษณะขาวดำเรือนลางเท่านั้น

“ผี”ใช้พลังอะไรมากระตุ้นอิเล็กตรอนของบรรยากาศทำให้เกิดการคายโฟตอนออกมา?

แก้

ในการตีความโจทย์ข้อนี้เราไม่ควรลืมข้อสังเกตจากปรากฏการณ์ SNG ข้อหนึ่งที่ว่า ก่อนและหลังการปรากฏตัวของผี อากาศ ณ จุดนั้นจะเย็นวูบลงอย่างทันทีทันใด ข้อมูลนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของผ ีมากระตุ้นให้เกิดการสร้างโฟตอนของอะตอมในบรรยากาศ ผีคงไม่มีพลังงานในตัวเองหรอกครับ แต่คงใช้พลังงานความร้อน (Thermal energy) จากบรรยากาศมาเป็นพลังงานกระตุ้นอะตอมของธาตุให้เกิดการตื่นตัว (excited) โดยใช้หลักการเดียวกับหลักการทางฟิสิกส์ที่เรียกว่า Maxwell-Bolzmann ผีคงจะต้องดึงพลังงานความร้อนในบรรยากาศมาเปลี่ยนให้เป็นโฟตอน ซึ่งมีผลทำให้อุณหภูมิในบรรยากาศลดลงในทันที โดยการคำนวณอย่างหยาบๆพบว่า ถ้าผีสร้างโฟตอนความเข้ม 20 วัตต์ โดยดึงเอาพลังงานความร้อนจากบรรยากาศปกติที่ความดันระดับน้ำทะเล จะทำให้อุณหภูมิของบรรยากาศเย็นลงได้ประมาณ 14.5 C° ต่อนาที อุณหภูมิจะลดลงเรื่อยๆตราบเท่าที่ผียังสามารถเปลี่ยนความร้อนให้เป็นโฟตอนอยู่ได้ จนกระทั่งถึงความเย็นจุดหนึ่งจะทำให้ไอน้ำในบรรยากาศกลั่นตัวควบแน่นกลายเป็นหมอก (เรียกว่า dew point นั่นเองครับ) ตอนนี้ก็จะเกิดกลุ่มหมอกควันหนาทึบปกคลุมตัวของผี ดังนั้นจึงมีข้อสรุปที่ค่อนข้างแน่ชัดออกมาว่า ผีที่อยู่ในที่ๆมีอากาศแห้ง(ไอน้ำในบรรยากาศน้อย) จะปรากฏตัวให้เห็นได้เรือนลางกว่าผีที่มีสำมะโนครัวในแถบอากาศชื้น

ได้ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งตามมาหากสมมติฐานนี้ถูกต้อง นั่นคือถ้าผีสามารถดึงเอาพลังงานความร้อนในบรรยากาศมาใช้ได้ ก็หมายความว่าตัวของผีเองนั้นต้องประกอบด้วยพลังงานล้วนๆ(หรืออย่างน้อยต้องประกอบด้วยพลังงานมากกว่าสสาร) และข้อมูลหลักฐานเรื่องผีจากทั่วโลกก็สนับสนุนแนวคิดดังกล่าวนี้เสียด้วย ไม่มีหลักฐานชิ้นใดที่ชี้ให้เห็นชัดว่าตัวของผีประกอบด้วยเนื้อหนังมังสาอย่างคนเรา ...ดังนั้นเป็นไปได้ไหมหากเราจะสรุปว่า ผีมีตัวตนที่ประกอบด้วยพลังงาน ไม่ใช่สสารเหมือนร่างกายมนุษย์ แต่อาศัยหลักเกณฑ์ทางฟิสิกส์ของไอน์สไตน์ข้อที่เรียกว่า "กฏความสัมพัทธภาของความสมดุลย์แห่งมวลสาร" (Einstein Relativistic Law of Mass-equivalence) พลังงานที่ประกอบขึ้นเป็นตัวของผีก็สามารถวัดหาค่ามวลสารได้ โดยอาศัยวิธีการวัดที่เรียกว่า "การวัดด้วยคลื่นความโน้มถ่วง" (Gravitational methods)

ปรากฏการณ์ทาง”ผีหลอก”

แก้

“ผีหลอก” (Poltergeist) คือปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่เชื่อกันว่า เกิดจากการกระทำของเหล่า ภูติ ผี ปีศาจหรือวิญญาณที่ประสงค์ร้าย พยายามแสดงออกเพื่อเป็นการเตือน ขับไล่ หยอกล้อหรือแสดงความจำนงประสงค์อย่างไรก็ตาม

ความพยายามแสดงออกของผี มักเป็นไปในรูปแบบแปลกๆ มักแฝกด้วยความดุร้าย ความน่ากลัวในสายตามนุษย์ จากรายงานเรื่องผีประเภทมองไม่เห็นตัว ส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงวัยรุ่นถึงวัยกลางคน มีบ้างที่เกิดกับชายและหญิงสูงอายุ

วิธีที่ผีจะนำพลังงานมาสร้างปรากฏการณ์ผีหลอกวิญญาณหลอน (Poltergeist) นั้นจะต้องผิดแปลกแตกต่างไปจากการปรากฏกายของผีทั่วไป ซึ่งถ้าเรามองกันในแง่ของฟิสิกส์แล้วเราจะพบว่า

  1. พลังงานที่ใช้จะต้องเป็นพลังงานที่เปลี่ยนไปในรูปของ"แรงกระตุ้น" ซึ่งเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนและเป็นจังหวะอย่างที่เราเรียกกันว่า Impulse จากข้อมูลของนักวิจัยพบว่าอิมพัลซ์หนึ่งมีจังหวะช่วงความถี่ 1 วินาทีต่อครั้ง เช่น เสียงเคาะกระจก เสียงเดินกุกกัก ที่ครั้งหนึ่งจะเว้นช่วงระยะเวลาประมาณ 1 วินาทีเสมอ
  2. จำนวนพลังงานที่จะต้องใช้ในแต่ละอิมพัลซ์ คำนวณออกมาได้ค่าประมาณ 60 จูลส์ (คิดเป็นน้ำหนักประมาณ 50 ก.ก. ครับ)
  3. ความสำคัญอยู่ที่ยอดสุดของกำลังงานครับ (peak power output) ซึ่งให้กำลังงานสูงถึง 6K วัตต์ หรือมากกว่านั้นในแต่ละอิมพัลซ์ ในข้อนี้เราจะเห็นได้ว่าความแตกต่างของพลังงานในการปรากฏตัวของผี ผีต้องดูดพลังงานจากบรรยากาศมาแปลงเป็นโฟตอน แต่การทำผีหลอกวิญญาณหลอน ผีจะต้องสะสมพลังงานชั่วขณะหนึ่งก่อน สะสมเอาไว้ให้ได้พลังงานมากพอที่จะปลดปล่อยออกไปเพื่อให้เกิดแรงกระต้นเป็นอิมพัลซ์ ลงมีแรงแบบนี้ถ้ามากขึ้นอีกหน่อย เรื่องของผีหักคอคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วมั้งครับ
  4. ผีจะปฏิบัติการหลอกหลอนได้นั้น ต้องทำการสะสมพลังงานในบรรยากาศเข้าไปให้ได้อย่างน้อย 60 จูลส์ ก่อนการปลดปล่อยออกมาในรูปของแรงกระตุ้นอย่างรุนแรง แต่ข้อมูลจากผู้ประสบเหตุบอกเราว่าในเคสนี้ไม่มีการลดลงของอุณหภูมิในบรรยากาศแต่ประการใด โดยการคำนวณพบว่าถ้าผีสะสมพลังงานจากบรรยากาศจนได้ 60 จูลส์ ในเวลา 1 วินาที จะทำให้บรรยากาศบริเวณนั้นลดลงไปเพียง 1 องศา C การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเพียงเท่านี้ย่อมไม่สามารถทำให้ผู้ประสบเหตุรู้สึกรู้สาได้ ก็นับว่ามีเหตุผลดีอยู่ครับ (สรุปคือ ไม่ว่าจะปรากฏตัวหรือทำการหลอก ผีต้องใช้พลังงานจากบรรยากาศอยู่ดี

อ้างอิง

แก้

[4] [5] [6] หนังสือชุดมิติที่สี่

  1. http://www.mythland.org/v3/thread-70-1-1.html
  2. http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2011/05/X10611617/X10611617.html
  3. http://ghostcheeze.blogspot.com/p/blog-page_9196.html
  4. http://www.mythland.org/v3/thread-70-1-1.html
  5. http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2011/05/X10611617/X10611617.html
  6. http://ghostcheeze.blogspot.com/p/blog-page_9196.html
กลับไปที่หน้าผู้ใช้ของ "Pwaypon/กระบะทราย"