เติ้ง ชุ่ยเหวิน

(เปลี่ยนทางจาก Sheren Tang)

เติ้งชุ่ยเหวิน (จีนตัวย่อ: 邓萃雯; จีนตัวเต็ม: 鄧萃雯; พินอิน: Dèng Cuìwén, อังกฤษ: Sheren Tang) นักแสดงหญิงมากความสามารถที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของจอแก้วฮ่องกง ผู้ได้รับขนานนามว่าเป็นราชินีกระชากเรตติ้ง และรางวัล TV Queen 2 ปีซ้อนคนแรกในประวัติศาสตร์ของสถานีโทรทัศน์ TVB คนนี้ เป็นที่รู้จักในแวดวงบันเทิงแดนมังกรในบท จิวจี้เยียก จากเรื่องดาบมังกรหยก ตอน เทพบุตรมังกรฟ้า หยูเฟย จากเรื่องศึกรักจอมราชันย์ จากเรื่องยอดหญิงจอมทระนง เกามุ่ยหรือ Miss 9 จากเรื่องยอดหญิงจอมทระนงภาค 2 และล่าสุดกับบท บูเช็คเทียน จักรพรรดินีคนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์ชาติจีนจากละครคอเมดี้เรื่องเหม่ยเหรินจื้อจ้าว อีกทั้งในช่วงยุค 80s เธอเคยได้รับสมญานามว่า "สาวงามในชุดโบราณที่เลอโฉมที่สุด" และ "องเหม่ยหลิงน้อย" (โดยเธอถูกคาดหวังว่าจะขึ้นมาแทนที่ องเหม่ยหลิง ดาราสาวผู้ล่วงลับไปก่อนวัยอันควรนั่นเอง)[1]

เติ้งชุ่ยเหวิน
เติ้งชุ่ยเหวิน ในวัย 50 ปี
เติ้งชุ่ยเหวิน ในวัย 50 ปี
สารนิเทศภูมิหลัง
เกิด (1966-03-02) 2 มีนาคม ค.ศ. 1966 (58 ปี)
Tang Shui Man
ฮ่องกง
อาชีพนักแสดง
ปีที่แสดงค.ศ.1985-ปัจจุบัน
ผลงานเด่นWar and Beauty, Rosy Business, No Regrets, La Femme Desperado, New Heavenly Sword and Dragon Sabre
ฐานข้อมูล
IMDb

ชีวิตช่วงต้น แก้

เติ้งชุ่ยเหวินลืมตาดูโลกในวันที่ 2 มีนามคม ปี 1966 ณ เกาะฮ่องกง ในขณะที่ผู้เป็นแม่อายุแค่เพียง 17 ปีเท่านั้น ความไม่พร้อมในหลายๆด้าน และปัญหาเรื่องฐานะการเงิน จึงทำให้พ่อและแม่ของเธอตัดสินใจแยกทางกันเมื่อตอนที่เธออายุได้ 5 ขวบ เติ้งชุ่ยเหวินจึงเติบโตมาจากการเลี้ยงดูของตากับยายผู้เข้มงวดกวดขัน และดิ้นรนหาเลี้ยงปากท้องจนสามารถส่งเสียเธอให้เรียนจบมัธยมปลายในโรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังได้ แต่ด้วยความดุดันและช่องว่างระหว่างวัย ตลอดจนไม่ค่อยมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอยู่บริเวณที่พักอาศัยมากนัก จึงทำให้เธอต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพังคนเดียว หลายครั้งก็ต้องเล่นกับตัวเอง พูดกับตัวเอง อันเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอเติบโตมาเป็นคนขาดความรักความอบอุ่น มีโลกส่วนตัวสูง และชอบอยู่ลำพังคนเดียวมากกว่าอยู่ร่วมกับคนเยอะๆ[2]

เมื่อเรียนจบมัธยมศึกษา เติ้งชุ่ยเหวินผู้โหยหาอิสระเสรีจากการถูกควบคุมอย่างเข้มงวดจากครอบครัว ก็ตัดสินใจหันหลังให้กับการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยและตั้งหน้าตั้งตาหางานทำในทันที ซึ่งงานที่เธอหมายมั่นปั้นมือในตอนแรกนั้นก็คืองานแอร์โฮสเตส ซึ่งเป็นงานที่สาวๆหลายคนต่างพากันใฝ่ฝัน แต่โชคชะตาก็ไม่ได้กำหนดให้เธอเกิดมาเป็นนางฟ้าอยู่บนเครื่องบิน เติ้งชุ่ยเหวินที่กำลังผิดหวังจากการถูกปฏิเสธก็บังเอิญได้ไปพบกับป้ายรับสมัครนักเรียนการแสดงรุ่นใหม่ของ TVB เข้า ด้วยความที่เป็นคนชอบดูละครโทรทัศน์ประกอบกับหน้าตาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่นัก เธอจึงลองเสี่ยงดวงด้วยการหอบเอาความพลาดหวังจากงานแอร์โฮสเตสครั้งนั้น ไปสมัครเข้าโรงเรียนการแสดงของ TVB และได้กลายมาเป็นนักแสดงรุ่นใหม่ของช่องในที่สุด ทว่าหลังจากที่เธอเริ่มเข้าวงการได้เพียงไม่นาน ที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของเธอนั่นก็คือตายายก็เสียชีวิตไปในเวลาอันรวดเร็ว เติ้งชุ่ยเหวินจึงต้องใช้ชีวิตอยู่ลำพังคนเดียวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ชีวิตในวงการบันเทิง แก้

หลังจากเรียนจบหลักสูตร เติ้งชุ่ยเหวิน ก็ได้รับบทนางเอกทันทีกับผลงานการแสดงเรื่องแรกของเธอคือ ซิยิ่นกุ้ย ผู้พิชิตตะวันออก ซึ่งนอกจากจะเป็นผลงานแจ้งเกิดของเธอแล้ว ก็ยังทำให้เธอได้พบรักกับ ว่าน จื่อเหลียง ผู้เป็นรักแรกและเป็นพระเอกของเรื่องอีกด้วย ช่วงกำลังออกอากาศได้เกิดโศกนาฏกรรมเมื่อนักแสดงหญิงจอแก้วเบอร์หนึ่งในขณะนั้น คือ องเหม่ยหลิง ได้เสียชีวิตกะทันหันจากการอัตวินิบาตกรรม และละครชุดนี้โด่งดังได้เรตติ้งเฉลี่ยต่อตอน 60 จุดเปิดในฮ่องกง ทำให้ เติ้งชุ่ยเหวิน ถูกทางทีวีบี คาดหวังจะให้เธอเป็นตัวแทนของ องเหม่ยหลิง และมีการตั้งฉายาเธอว่า "องเหม่ยหลิงน้อย" ขึ้นมาเพื่อใช้ในการผลักดันส่งเสริมเธอ[3]

หลังจากนั้นเธอก็มีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นมังกรทลายฟ้า ดาบมังกรหยก ตอน เทพบุตรมังกรฟ้า ฤทธิ์นางจิ้งจอกและอื่นๆอีกมากมาย แต่ด้วยความที่เธอเป็นตัวของตัวเองและมีโลกส่วนตัวสูง (จนหลายคนมองว่าดื้อ) จึงทำให้เธอไม่ค่อยชอบใจกับชีวิตในวงการบันเทิงเท่าใดนัก และตัดสินใจหันหลังให้กับงานในวงการขณะที่เธอกำลังรุ่งโรจน์อย่างสุดขีด แล้วบินไปศึกษาต่อด้าน Interior design ที่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา อันเป็นสถานที่ซึ่งมีอิทธิพลกับอุปนิสัยใจคอและตัวตนของเธอในปัจจุบันเป็นอย่างมาก เมื่อจบการศึกษาเติ้งชุ่ยเหวินก็กลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน ด้วยตั้งใจว่าจะทำงานเก็บเงินสักก้อนเพื่อไปหลงหลักปักฐานที่ต่างประเทศ เธอจึงกลับเข้าสู่วงการบันเทิงอีกครั้งด้วยชื่อเสียงที่ไม่ได้โด่งดังเท่ากับเมื่อหลายปีก่อน ด้วยความที่โตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น และเห็นโลกมากว้างขึ้น เธอจึงเปลี่ยนแผนและตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนต่อไป

หลังจากกลับมาทำงานกับ TVB ได้ไม่นานนัก เติ้งชุ่ยเหวินก็ตัดสินใจย้ายสังกัดไปอยู่กับ ATV ซึ่งเป็นคู่แข่ง และได้รับบทนำตลอดจนบทรองจากเฉินซิ่วเหวินอยู่หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือ I Have a Date With Spring ดรุณีรักนี้ไม่แปรเปลี่ยน ละครซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ทั้งยังเป็นจุดพลิกผันอันใหญ่หลวงในชีวิตของเธออีกด้วย นั่นก็เพราะว่าเธอเกิดไปมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับ เจียงหัว ซึ่งมีภรรยาอยู่แล้ว ในที่สุดเรื่องนี้ก็ถูกปาปารัซซี่ขุดคุ้ยจนเป็นข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์ จนต้องเลิกรากันไปด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เหลือไว้ก็แต่เพียงบทเรียนราคาแพงที่ฝ่ายชายทิ้งไว้ให้ ด้วยการไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองและโยนความผิดทั้งหมดมาให้เธอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว เรื่องราวใหญ่โตที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ทำให้เธอปฏิเสธที่จะต่อสัญญากับ ATV และหันกลับมาซบอก TVB อีกครั้ง ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นจุดตกต่ำมากที่สุดในชีวิตนักแสดงของเธอเลยทีเดียว

แม้ TVB จะอ้าแขนต้อนรับกับการกลับมา แต่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญหรือป้อนงานดีๆให้กับเธอมากเท่าที่ควร หากจะกล่าวว่าเธอถูกลดลำดับจากนักแสดงเกรด A ไปเป็นอยู่ขั้นอื่นก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไปนัก ผลงานส่วนใหญ่ในช่วงนั้นจึงค่อนข้างล่อแหลมและเต็มไปด้วยฉากเลิฟซีนที่เร่าร้อนรุนแรง ตัวอย่างเช่น Quick Step of Passion ที่เรียกได้ว่าเป็นละครโทรทัศน์เรต R ของทางช่อง หรือ Loving You 1-2 เกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์ของคนฮ่องกงในสังคมหลากหลายรูปแบบซึ่งซีรีส์จบในตอนเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผลงานในช่วงนั้นกลับมีส่วนช่วยในการพัฒนาฝีมือทางการแสดงให้กับเธอเป็นอย่างมาก ทั้งยังเปิดโอกาสให้เธอได้แสดงในบทบาทที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวพราวเสน่ห์ ตำรวจสุดแกร่ง คุณหมอสุดเฉิ่ม แม่บ้านลูกติด แม่ค้าหาบเร่ แอร์โฮสเตส พนักงานอาบอบนวด สาวขี้ยา เด็กเสี่ย ไปจนถึงบทรักร่วมเพศ ที่หาดูไม่ได้ในง่ายๆในวงการบันเทิงฮ่องกง

2004-2013 แก้

จุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอกลับมารุ่งโรจน์ในวงการบันเทิงอีกครั้ง คงจะหนีไม่พ้น ศึกรักจอมราชันย์ ละครพีเรียดชื่อดังแห่งปี 2004 ที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายทั้งในฮ่องกง ไต้หวัน แผ่นดินใหญ่ ตลอดจนถึงประเทศไทย แต่ใครเลยจะรู้ว่าในความเป็นจริงนั้น เติ้งชุ่ยเหวินไม่ใช่คนที่ถูกวางตัวให้เล่นเป็น หยูเฟย สนมเอกคนโปรดของเจียชิ่งฮ่องเต้ในตอนแรก ทว่ากลับเป็นตัวสำรองของผู้กำกับที่ได้รับเล่นเรื่องนี้ เพราะนักแสดงหญิงคนอื่นปฏิเสธบทนี้ไปต่างหาก อีกทั้งทางทีมงานก็ไม่ได้ให้ความสำคัญในการโปรโมทเธอในฐานะ นักแสดงหญิงตัวเอกของเรื่องมากนักเมื่อเทียบกับนักแสดงนำคนอื่นๆ แต่ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ประกอบกับบทหยูเฟยที่มีลักษณะเป็นหญิงแกร่ง ฉลาดเฉลียว โหดเหี้ยมแต่ก็มีความน่ารักอ่อนโยน จึงถูกอกถูกใจผู้ชมยุคใหม่ที่เริ่มเบื่อนางเอกหงิมๆสนิมสร้อยเข้าอย่างจัง ไม่เว้นแม้กระทั่ง ฉงเหยา นักเขียนนวนิยายชื่อดังเจ้าของบทประพันธ์ชุดตำนานรักดอกเหมยและองค์หญิงกำมะลอ เธอจึงกลายเป็นนักแสดงหญิงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในละครเรื่องนั้นไปโดยปริยาย

เติ้งชุ่ยเหวินยังสามารถพิสูจน์ตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการพาละครฟอร์มเล็กเกี่ยวกับชีวิตแม่บ้านและปัญหาครอบครัวอย่าง The Family Link ให้ขึ้นไปเป็นละครที่มีเรตติ้งสูงสุดในครึ่งปีแรกของปี 2007 แม้เธอจะเอ่ยปากว่า บทแม่บ้านที่อุทิศตัวเองให้กับการดูแลลูกและครอบครัวนั้นช่างเป็นบทที่แสนจะห่างไกลจากตัวตนของเธอเสียเหลือเกิน

และแล้วในที่สุดความมุมานะอุตสาหะของเธอก็สัมฤทธิ์ผล เมื่อละคร Rosy Business หรือยอดหญิงจอมทระนง กลายเป็นละครม้ามืดแห่งปี 2009 ที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านเรตติ้งและรางวัล จนทำให้เธอและ หลีเย่าเสียง พระเอกของเรื่อง จับมือกันสร้างปรากฏการณ์คู่จิ้นรุ่นใหญ่ขึ้นใหม่อีกครั้ง และพากันคว้ารางวัล TV King และ TV Queen (เทียบได้กับรางวัล Best Actor ผสม Actor of the Year เป็นรางวัลสูงสุดทางการแสดงของฝั่งฮ่องกง) ไปครอบครองได้อย่างงดงาม ความสำเร็จของ Rosy Business ยังส่งผลให้มีการสร้างภาคต่ออย่าง No Regrets ในปี 2010 ซึ่งกลายเป็นละครที่ประสบความสำเร็จในวงกว้างยิ่งกว่าภาคแรก โดยมีเรตติ้งสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของปี รองจาก Can't buy me love หรือองค์หญิงจอมจุ้นวุ่นรักอลเวง และรางวัล TV King กับ TV Queen สมัยที่ 2 ของเธอและหลีเย่าเสียงเป็นเครื่องการันตี ทั้งนี้เธอยังสามารถคว้ารางวัล Most Popular Artist ประจำปี 2011 จากกรุงปักกิ่งมาครอบครองได้อีกด้วย กล่าวคือ ถ้าหากดาบมังกรหยกคือมาสเตอร์พีชยุคแรกของเธอ และศึกรักจอมราชันย์คือยุคกลาง เช่นนั้น No Regrets ก็คือมาสเตอร์พีชยุคหลังที่ทำให้เธอโด่งดังเสียยิ่งกว่ายุครุ่งเรืองในอดีต

ความนิยมในตัวเธอที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ยังทำให้ฉงเหยาตัดสินใจส่งลูกสะใภ้มายังฮ่องกง เพื่อมาทาบทามเธอให้ไปแสดงเป็น จี้ฮองเฮา คู่ปรับตลอดกาลของ เสี่ยวเยี่ยนจื่อ ในองค์หญิงกำมะลอ ป่วนกำลัง 3 ที่ออกอากาศไปทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เมื่อปี 2013 ที่ผ่านมาด้วยตัวเอง เพราะชอบในฝีไม้ลายมือทางการแสดงของเธอในละครศึกรักจอมราชันย์ และเห็นว่าบทฮองเฮาที่ถูกเขียนขึ้นใหม่ให้ต่างไปจากเวอร์ชันเดิมนั้นเหมาะสมกับเธอเป็นอย่างมาก แม้ในตอนแรกเธอจะปฏิเสธไปหลายครั้ง เพราะติดถ่ายทำซีรีส์ No Regrets อยู่ แต่ด้วยความจริงใจของฉงเหยาที่หมายมั่นปั้นมือจะให้เธอมารับบทนี้ให้ได้ และยินดีจะรอไม่ว่าจะนานแค่ไหน เติ้งชุ่ยเหวินจึงตอบรับละครเรื่องนี้เพราะแพ้ใจของนักเขียนชื่อดังคนดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม กระแสความนิยมในละครองค์หญิงกำมะลอ ป่วนกำลัง 3 ก็ทำให้เธอเป็นที่รู้จักในหมู่แฟนละครรุ่นใหม่จนมีแฟนคลับวัยรุ่นเพิ่มขึ้นมาเป็นทวีคูณ นอกจากนี้เธอยังเป็นนักแสดงเพียงคนเดียวในเรื่อง ที่มีคะแนนโหวตชนะนักแสดงจากภาคเดิมอย่างขาดลอย ในขณะที่แฟนๆลงคะแนนว่าชอบนักแสดงนำคนอื่นๆในภาคเดิมมากกว่า

2013-2016 แก้

ปี 2013 ที่ผ่านมา นับว่าเป็นปีที่เติ้งชุ่ยเหวินมีงานอีเวนท์รวมไปถึงงานการกุศลมากที่สุดปีหนึ่ง ทั้งยังเป็นปีที่ชื่อของเธอกลายเป็นข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์ของเกาะฮ่องกงอีกครั้ง เมื่อ TVB ประกาศแบนเติ้งชุ่ยเหวินอย่างเป็นทางการ เพราะเธอออกมาแฉและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานที่ไม่เป็นมืออาชีพของผู้กำกับและนักเขียนบทโทรทัศน์จากเรื่อง Beauty at War หรือศึกรักจอมราชันย์ภาค 2 ละครที่เธอตั้งใจจะเล่นให้กับ TVB เป็นเรื่องสุดท้าย ก่อนจะออกไปเป็นนักแสดงอิสระอย่างเต็มตัว

เติ้งชุ่ยเหวินได้โพสแสดงความคับข้องใจใน Weibo ส่วนตัวของเธอเอง และออกมาให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า เธอได้รับผลกระทบทางด้านสุขภาพจากการถ่ายทำละครเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างมาก จนต้องเข้ารับการรักษาตัวระหว่างการถ่ายทำ เนื่องจากความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ โดยมีสาเหตุมาจากระบบการทำงานของ TVB ที่บังคับให้นักแสดงทำงานกันมากกว่า 12-15 ชั่วโมงต่อวัน จนนักแสดงไม่มีเวลาพักผ่อนหรือศึกษาบท ตลอดจนความไม่เป็นมืออาชีพของนักเขียนบทที่เปลี่ยนแปลงบทอยู่ตลอดเวลา จนไม่สามารถส่งบทให้กับนักแสดงในเรื่องอ่านได้ก่อนเวลาการถ่ายทำ

อย่างไรก็ตาม การที่ TVB ออกมาประกาศแบนเธออย่างเป็นทางการ ก็ไม่ใช่เรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของคนส่วนใหญ่ หรือแม้กระทั่งตัวของเธอเองสักเท่าใดนัก ทั้งนี้ทั้งนั้นยังมีการตั้งข้อสังเกตกันในวงกว้างว่า สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ TVB ตัดสินใจลงดาบกับนางเอกยอดนิยมของช่อง ที่ครั้งหนึ่งเคยยื่นข้อเสนอให้เธอต่อสัญญาเพื่อแลกกับรางวัล TV Queen สมัยที่ 3 นั้น อาจเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู เพื่อไม่ให้นักแสดงในสังกัดคนอื่นๆเอาเยี่ยงอย่าง ด้วยการออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของช่อง รวมถึงการแข็งข้อ หรือแสดงจุดยืนซึ่งต่างไปจากคำสั่งหรือนโยบายของช่อง อย่างที่เติ้งชุ่ยเหวินหรือนักแสดงคนอื่นๆซึ่งตบเท้าออกจากช่องไปกระทำกันนั่นเอง

2016-ปัจจุบัน แก้

หลังจากที่ถูกสถานีโทรทัศน์ TVB ประกาศแบนอย่างเป็นทางการและหายหน้าหายตาไปจากหน้าจอโทรทัศน์ฮ่องกงถึง 3 ปี เติ้งชุ่ยเหวินยังคงปรากฏตัวตามงานอีเวนต์ต่างๆ และงานการกุศลอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้เธอยังมีผลงานการแสดงกับแผ่นดินใหญ่อย่างต่อเนื่อง และร่วมงานกับ หยูเจิ้ง โปรดิวเซอร์ชื่อดังผู้สร้าง ตำนานรักวังต้องห้าม และ ตำนานลู่เจิน อยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้เธอเป็นนักแสดงรุ่นใหญ่จากฝั่งฮ่องกงที่ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมจากแผ่นดินใหญ่อย่างต่อเนื่อง

และเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2016 ที่ผ่านมา เติ้งชุ่ยเหวินก็สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชมทั่วทั้งเกาะ ด้วยการปรากฏตัวบนหน้าจอโทรทัศน์ TVB อีกครั้งที่งานประกาศผลรางวัลประจำปี TVB Anniversary Awards ในฐานะผู้ประกาศรางวัลละครยอดเยี่ยมแห่งปี 2016 เคียงคู่กับ หลีเย่าเสียง คู่ขวัญตลอดกาลของเธอ ซึ่งการปรากฏตัวของเธอครั้งนี้นอกจากจะทำให้เรตติ้งช่วงดังกล่าวโกยเรตติ้งสูงสุดของเวลาออกอากาศงานประกาศผลรางวัล ยังเป็นการประกาศให้รู้ถึงสถานะความสัมพันธ์อันดีกับทางสถานี และโอกาสที่เธอจะกลับมารับบทนำให้กับ TVB ในอนาคตอีกด้วย

ชีวิตส่วนตัว แก้

ด้วยบุคลิกที่ดูเป็นสาวมั่น เอาจริงเอาจังกับการทำงานมากระดับเพอร์เฟ็คชันนิสต์ของเธอ ทำให้เธอมักจะได้รับบทผู้หญิงทำงาน(Working woman) หรือนางเอกที่มีความเป็นวีรสตรีในอุดมคติอยู่เสมอ ซึ่งนั่นทำให้เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงยุคใหม่ที่เก่ง แกร่ง สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้ชาย และมีความเป็นเฟมินิสต์ในตัวสูง ถึงกระนั้นเธอก็ออกมาปฏิเสธว่า เธอไม่ได้แข็งแกร่งมากมายอย่างที่ใครหลายๆคนมอง เธอไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีแผนการณ์ทุกย่างก้าวได้อย่างสนมหยู และถ้าให้เธอเลือกระหว่างอำนาจบารมีกับความรัก เธอก็จะเลือกความรักโดยไม่ลังเล

แม้เติ้งชุ่ยเหวินจะมีภาพลักษณ์ที่ดูเคร่งเครียดกับการทำงาน แต่เธอก็ออกมาพูดถึงเรื่องนี้กับสื่ออย่างเปิดเผยว่า จริงๆแล้วในชีวิตส่วนตัวนอกเหนือเวลาทำงานน่ะ เธอค่อนข้างจะเป็นคนง่ายๆสบายๆ โก๊ะๆ ซุ่มซ่าม และออกจะขี้เกียจเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแฟนคลับของเธอแล้วก็นับว่า เธอเป็นนักแสดงอีกคนหนึ่งในวงการที่ค่อนข้างเป็นกันเองและใกล้ชิดสนิทสนมกับแฟนคลับมาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่า แฟนคลับส่วนใหญ่ของเธอนั้นมักจะเป็นเด็กนักเรียนนักศึกษารุ่นราวคราวลูก หรือคนรุ่นใหม่วัยทำงานเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้เธอรู้สึกเอ็นดูแฟนคลับรุ่นเล็กเหล่านี้เป็นพิเศษ

ชีวิตครอบครัว แก้

โดยอาศัยอยู่กับแม่ในอพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่งย่าน Symphony Bay และยังคงไปมาหาสู่กับผู้เป็นพ่อและครอบครัวใหม่อย่างสม่ำเสมอ

ชีวิตรัก แก้

เติ้งชุ่ยเหวินเคยคบหาดูใจกับเพื่อนนักแสดงชายมาแล้วหลายคน นั่นก็คือว่านจื่อเหลียง เจียงหัว และเจิ้งจิ่งจี ซึ่งส่วนใหญ่มักจะคบหาดูใจกันในระยะเวลาไม่นาน ประมาณ 1-3 ปี และดูเหมือนว่าจะมีก็แต่เจิ้งจิ่งจีเท่านั้น ที่แม้เลิกรากันไปแล้วก็ยังอยู่ในฐานะเพื่อนที่ห่วงใยซึ่งกันและกัน ไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ และเขายังเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยเธออย่างมาก ตอนที่เธอกำลังเผชิญปัญหาด้านสุขภาพและการถูกแบนจากอดีตต้นสังกัด เติ้งชุ่ยเหวินกล่าวว่า สมัยก่อนนั้นเธอไม่รู้จักความรักดีเท่าที่ควร จึงกลายเป็นฝ่ายที่เรียกร้องและโหยหาความรักอยู่เพียงฝ่ายเดียว ไม่รู้จักมอบความรักคืนให้กับอีกฝ่าย หรือออดอ้อน เอาอกเอาใจอีกฝ่ายเท่าที่ควร ซึ่งนั่นก็อาจเป็นผลมาจากการขาดความอบอุ่นอย่างรุนแรงในวัยเด็ก ที่ทำให้ความรักของเธอมักจะผิดพลาดอยู่เสมอก็เป็นได้

ถึงกระนั้น ครั้งหนึ่งเติ้งชุ่ยเหวินก็เคยเกือบแต่งงานกับคนรักนอกวงการมาแล้วเช่นกัน เธอเปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าสาเหตุที่ตัดสินใจปล่อยโอกาสครั้งนั้นไป เพราะรู้ดีว่าถึงจุดๆหนึ่งจะต้องหย่าร้างกันอย่างแน่นอน เนื่องจากฝ่ายชายเป็นชาวต่างชาติ และยังเป็นชาวยิวซึ่งนับถือศาสนาต่างกัน และมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันจนเกินไป แต่เธอก็ยอมรับว่าช่วงเวลาที่คบหาดูใจกับผู้ชายคนนี้ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดช่วงหนึ่ง เพราะเขาเป็นคนที่ทำให้เธอเข้าใจว่าความสุขในชีวิตนั้นเป็นอย่างไร และสามารถเดินเคียงข้างกับเธอในที่สาธารณะโดยไม่กลัวการตกเป็นข่าวซุบซิบ ไม่ทอดทิ้งเธอไปไหนในตอนที่มีปาปารัซซี่คอยตามติดเหมือนอย่างผู้ชายคนอื่นๆ และถึงแม้ความสัมพันธ์จะจบลงด้วยการแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง แต่เธอก็จะจดจำเขาตลอดไป

ปัจจุบันเติ้งชุ่ยเหวินยังคงครองตัวเป็นโสด และยังคงยืนยันว่าเธอพร้อมที่จะสละโสดได้ทุกเมื่อ หากเธอพบคนที่ใช่ที่สามารถเข้าใจและเป็นที่พึ่งให้กับเธอได้ และเธอจะไม่มีวันปิดกั้นตัวเองจนกว่าจะได้พบกับผู้ชายคนนั้น

เพื่อนสนิท แก้

เติ้งชุ่ยเหวินนั้นมีเพื่อนสนิททั้งในและนอกวงการอยู่หลายคน ไม่ว่าจะเป็นหลอฮุ่ยเจียนผู้ล่วงลับ จางเข่ออี้ หลีเย่าเสียง หวง ชิวเซิน หวงเหว่ยเหวิน นักแต่งเพลงอันดับต้นๆของเกาะฮ่องกง ตลอดจน Sammi Cheng เจิงซิวเหวิน เจ้าของฉายาราชินีเพลงป๊อบกวางตุ้ง แต่ดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตในระยะหลังนี้ จะทำให้เธอมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเพื่อนชาวคริสเตียนและสมาชิกในมูลนิธิมากกว่า

ศาสนา แก้

ปัจจุบัน เติ้งชุ่ยเหวิน เป็นประธาน ใน สมาคมศิลปินคริสเตียนฮ่องกง (Hong Kong Artistes Christian Fellowship) เธอตัดสินใจเปลี่ยนศาสนามาเป็นชาวคริสเตียนนิกายโปรเตสแตนต์ ในปีค.ศ. 2005 เนื่องจากความเลื่อมใสศรัทธาในหลักคำสอนของพระคริสตเจ้าว่าด้วยความรักและการให้อภัย [4]

"สมาคมศิลปินคริสเตียนฮ่องกง" ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1985 โดย "เจิ้งหมิงหมิง" (ช่างแต่งหน้าคนสนิทของ องเหม่ยหลิง) ภายหลังจากที่ องเหม่ยหลิง เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายด้วยภาวะซึมเศร้าและเครียด คุณ เจิ้งหมิงหมิง เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงก่อตั้ง สมาคมขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือ ศิลปินคริสเตียน ในฮ่องกง

นักแสดงคนโปรด แก้

แม้เติ้งชุ่ยเหวินจะเป็นนักแสดงมากฝีมือแถวหน้าที่นักแสดงรุ่นน้องหลายต่อหลายคนอยากเจริญรอยตาม แต่เธอเองก็มีนักแสดงคนโปรดที่เธอชื่นชอบเหมือนกัน นั่นก็คือ เมอรีล สตรีป นั่นเอง

อ้างอิง แก้

  1. อ้างอิงจาก [1] เก็บถาวร 2012-08-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีนผู้จัดการออนไลน์
  2. http://www.scmp.com/article/705003/qa-sheren-tang
  3. "เติ้งชุ่ยเหวิน ตัวแทน องเหม่ยหลิง".[ลิงก์เสีย]
  4. หน้าหลักสมาคมศิลปินคริสเตียนฮ่องกง:[ลิงก์เสีย]

แหล่งข้อมูลอื่น แก้