โจว เอินไหล
บทความนี้ต้องการการจัดหน้า จัดหมวดหมู่ ใส่ลิงก์ภายใน หรือเก็บกวาดเนื้อหา ให้มีคุณภาพดีขึ้น คุณสามารถปรับปรุงแก้ไขบทความนี้ได้ และนำป้ายออก พิจารณาใช้ป้ายข้อความอื่นเพื่อชี้ชัดข้อบกพร่อง |
โจว เอินไหล (จีน: 周恩来; พินอิน: Zhōu Ēnlái; เวด-ไจลส์: Chou1 Ên1-lai2; 5 มีนาคม ค.ศ. 1898 – 8 มกราคม ค.ศ. 1976) เป็นรัฐบุรุษ นักการทูต และนักปฏิวัติชาวจีน ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของสาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 1954 จนถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 1976 โจวดำรงตำแหน่งภายใต้การนำของประธานเหมา เจ๋อตง และให้ความช่วยเหลือพรรคคอมมิวนิสต์ในการก้าวขึ้นสู่อำนาจ ต่อมาได้ช่วยรวมอำนาจควบคุม กำหนดนโยบายต่างประเทศ และพัฒนาเศรษฐกิจของจีน
โจว เอินไหล | |||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
周恩来 | |||||||||||||||||||||||||
ภาพอย่างเป็นทางการ ทศวรรษที่ 1950 | |||||||||||||||||||||||||
นายกรัฐมนตรีจีน คนที่ 1 | |||||||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 27 กันยายน ค.ศ. 1954 – 8 มกราคม ค.ศ. 1976 (21 ปี 103 วัน) | |||||||||||||||||||||||||
รองนายกรัฐมนตรีลำดับที่หนึ่ง | ต่ง ปี้อู่ เฉิน ยฺหวิน หลิน เปียว เติ้ง เสี่ยวผิง | ||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เหมา เจ๋อตง (ในฐานะประธานรัฐบาลประชาชนส่วนกลางสาธารณรัฐประชาชนจีน) ตนเอง (ในฐานะนายกสภาบริหารรัฐบาลกลาง รัฐบาลประชาชนส่วนกลาง) | ||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | ฮฺว่า กั๋วเฟิง | ||||||||||||||||||||||||
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน คนที่ 1 | |||||||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 – 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1958 (8 ปี 133 วัน) | |||||||||||||||||||||||||
หัวหน้ารัฐบาล | ตนเอง | ||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | หู ชื่อ (ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐจีน) | ||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | เฉิน อี้ | ||||||||||||||||||||||||
รองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนลำดับที่หนึ่ง | |||||||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 30 สิงหาคม ค.ศ. 1973 – 8 มกราคม ค.ศ. 1976 (2 ปี 131 วัน) | |||||||||||||||||||||||||
ประธาน | เหมา เจ๋อตง | ||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | หลิน เปียว (1971) | ||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | ฮฺว่า กั๋วเฟิง | ||||||||||||||||||||||||
รองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน | |||||||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 28 กันยายน ค.ศ. 1956 – 1 สิงหาคม ค.ศ. 1966 (9 ปี 307 วัน) | |||||||||||||||||||||||||
ประธาน | เหมา เจ๋อตง | ||||||||||||||||||||||||
ประธานสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีน คนที่ 2 | |||||||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 25 ธันวาคม ค.ศ. 1954 – 8 มกราคม ค.ศ. 1976 (21 ปี 14 วัน) | |||||||||||||||||||||||||
ประธานกิตติมศักดิ์ | เหมา เจ๋อตง | ||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เหมา เจ๋อตง | ||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | ว่าง (1976–1978) เติ้ง เสี่ยวผิง | ||||||||||||||||||||||||
นายกสภาบริหารรัฐบาลกลาง รัฐบาลประชาชนส่วนกลาง | |||||||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 21 ตุลาคม ค.ศ. 1949 – 26 กันยายน ค.ศ. 1954 (4 ปี 340 วัน) | |||||||||||||||||||||||||
ประธาน | เหมา เจ๋อตง | ||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | สถาปนาตำแหน่ง | ||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | ตนเอง (ในฐานะนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน) | ||||||||||||||||||||||||
ข้อมูลส่วนบุคคล | |||||||||||||||||||||||||
เกิด | 5 มีนาคม ค.ศ. 1898 หฺวายอาน, มณฑลเจียงซู, จักรวรรดิชิง | ||||||||||||||||||||||||
เสียชีวิต | 8 มกราคม ค.ศ. 1976 ปักกิ่ง, สาธารณรัฐประชาชนจีน | (77 ปี)||||||||||||||||||||||||
พรรคการเมือง | พรรคคอมมิวนิสต์จีน (1921–1976) | ||||||||||||||||||||||||
การเข้าร่วม พรรคการเมืองอื่น | พรรคก๊กมินตั๋ง (1923–1927) | ||||||||||||||||||||||||
คู่สมรส | เติ้ง อิ่งเชา (สมรส 1925) | ||||||||||||||||||||||||
บุตร | ไม่มีบุตรทางสายเลือด; บุตรบุญธรรม: ซุน เหวย์ชื่อ, หวัง ชู่ (หลานชาย), โจว เป่าจาง (หลานชาย), โจว เป่าจวง (หลานสาว), วรรณไว พัธโนทัย, สิรินทร์ พัธโนทัย | ||||||||||||||||||||||||
การศึกษา | โรงเรียนมัธยมหนานไค | ||||||||||||||||||||||||
ศิษย์เก่า | มหาวิทยาลัยหนานไค มหาวิทยาลัยเมจิ | ||||||||||||||||||||||||
ลายมือชื่อ | |||||||||||||||||||||||||
เว็บไซต์ | zhouenlai | ||||||||||||||||||||||||
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |||||||||||||||||||||||||
สังกัด | กองทัพปฏิวัติแห่งชาติจีน (1937–1945) กองทัพแดงจีน กองทัพปลดปล่อยประชาชน | ||||||||||||||||||||||||
ยศ | พลโทแห่งกองทัพปฏิวัติแห่งชาติจีน | ||||||||||||||||||||||||
ผ่านศึก | |||||||||||||||||||||||||
ชื่อภาษาจีน | |||||||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 周恩来 | ||||||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 周恩來 | ||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||
ชื่อรอง | |||||||||||||||||||||||||
ภาษาจีน | 翔宇 | ||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||
ในฐานะนักการทูต โจวเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 ถึง 1958 หลังจากสงครามเกาหลี เขาได้สนับสนุนแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับชาติตะวันตก โดยเข้าร่วมการประชุมเจนีวาในปี ค.ศ. 1954 และการประชุมบันดุงในปี ค.ศ. 1955 นอกจากนี้เขายังมีบทบาทสำคัญในการจัดการเยือนประเทศจีนของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันในปี ค.ศ. 1972 เขามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับข้อพิพาทกับสหรัฐ ไต้หวัน สหภาพโซเวียต (หลังปี ค.ศ. 1960) อินเดีย เกาหลี และเวียดนาม
โจวรอดพ้นจากการกวาดล้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ขณะที่เหมาใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงบั้นปลายชีวิตทุ่มเทให้กับการต่อสู้ทางการเมืองและอุดมการณ์ โจวก็เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนกิจการบ้านเมืองในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรมเป็นส่วนใหญ่ ความพยายามของเขาในการบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการกระทำของกลุ่มยุวชนแดง และการปกป้องผู้อื่นจากความโกรธแค้นของกลุ่มดังกล่าว ทำให้เขาได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงปลายของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม
สุขภาพของเหมาเริ่มเสื่อมลงในปี ค.ศ. 1971 และหลิน เปียวก็ตกที่นั่งลำบาก ถูกปลดจากตำแหน่ง และเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกในเวลาต่อมา ท่ามกลางเหตุการณ์ดังกล่าว ในปี ค.ศ. 1973 คณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 10 ได้มีมติเลือกโจวให้ดำรงตำแหน่งรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนลำดับที่หนึ่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ว่างลง และด้วยเหตุนี้จึงทำให้โจวได้รับเลือกเป็นผู้สืบทอดอำนาจจากเหมา (นับเป็นบุคคลลำดับที่สามที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้ ต่อจากหลิว เช่าฉี และหลิน เปียว) อย่างไรก็ตาม โจวยังคงต้องเผชิญกับการต่อสู้ทางการเมืองภายในพรรคกับแก๊งออฟโฟร์เพื่อแย่งชิงอำนาจในการนำประเทศจีน การปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งสุดท้ายที่สำคัญของเขาคือในการประชุมครั้งแรกของสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 4 เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1975 โดยเขาได้นำเสนอรายงานผลการทำงานของรัฐบาล จากนั้นเขาก็หายไปจากสายตาประชาชนเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาล และได้ถึงแก่อสัญกรรมในอีกหนึ่งปีต่อมา ความโศกเศร้าใหญ่หลวงของสาธารณชนอันเนื่องมาจากการอสัญกรรมของเขาในกรุงปักกิ่งกลายมาเป็นความโกรธแค้นต่อแก๊งออฟโฟร์ ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์กรณีเทียนอันเหมินในปี ค.ศ. 1976 หลังการถึงแก่อสัญกรรม ฮฺว่า กั๋วเฟิง ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานลำดับที่หนึ่งและผู้สืบทอดตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม เติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งเป็นพันธมิตรของโจวก็สามารถเอาชนะแก๊งออฟโฟร์และขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดแทนฮฺว่าในปี ค.ศ. 1978
ชีวิตช่วงต้น
แก้วัยเด็ก
แก้โจวเอินไหลมีภูมิลำเนาเป็นชาวเมืองเส้าซิง มณฑลเจ้อเจียง ในขณะที่ความจริงแล้ว เขาเกิดที่เมืองหวยอัน(淮安) มณฑลเจียงซู ในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ.1898 ซึ่งเป็นรกรากของฝ่ายมารดา บรรพบุรุษหลายชั่วอายุคนของตระกูลโจวที่เมืองเส้าซิงนี้ ล้วนเป็นที่ปรึกษาให้กับข้าราชการในเมือง ซึ่งอาชีพดังกล่าวได้รับความนิยมสูงสุดจน รับรู้กันว่ามีชาวเส้าซิงมากมายที่ประจำอยู่ตามหน่วยงานราชการทั่วประเทศของจีน นอกเหนือไปจากการเป็นพ่อค้า
โจวรำลึกถึงผู้ให้กำเนิดของตนว่า ยายของเขาเป็นหญิงชาวนาในชนบทของหวยอิน(淮阴) ดังนั้น ในร่างกายเขาก็มีเลือดของชาวนาไหลเวียนอยู่ด้วย ส่วนมารดานั้นเป็นผู้หญิงที่มีหน้าตางดงาม และจิตใจอ่อนโยน แต่น่าเสียดายที่ต้องเสียชีวิตตั้งแต่ยังสาวเมื่อมีอายุได้เพียง 35 ปี
เนื่องจากป่วยเป็นวัณโรค อันมีสาเหตุมาจากการทำงานหนักเกินไปหลังจากที่ปู่เสียชีวิตลงโดยไม่เหลือมรดกไว้ให้ครอบครัวเลย ปู่ของโจวเสียชีวิตลงเมื่ออายุได้ 50 ปี ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้สร้างทรัพย์สมบัติใด ๆ ไว้
มีเพียงบ้านที่อาศัยเท่านั้น เมื่อมาถึงรุ่นพ่อ ครอบครัวก็ถึงคราวลำบาก ซึ่งทั้งบิดาและอาของเขาต่างรับราชการ โดยบิดาของโจวมีตำแหน่งเป็นผู้ดูแลด้านเอกสาร ส่วนอาดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา ซึ่งรวมกันแล้วรายได้ก็ยังไม่เพียงพอ
การศึกษา
แก้ที่เฟิงเทียน โจวเรียนที่ Dongguan Model Academy ก่อนหน้านั้นการเรียนของโจวเป็นการเรียนที่บ้านเท่านั้น นอกเหนือจากวิชาวิทยาศาสตร์และภาษาอังกฤษนั้น โจวยังได้สัมผัสงานเขียนของนักปฏิวัติและนักปฏิรูปหลายคน เช่น เหลียง ฉีเฉา, คัง โหยวเว่ย, เฉิน เทียนหัว, ซู หรง และ จาง ปิงหลิน เมื่อโจวอายุ 14 ปี ได้ประกาศแรงบัลดาลใจในการศึกษาของเขาคือ “การเป็นคนยิ่งใหญ่และรับผิดชอบภาระอันหนักอึ้งของประเทศ” ในปี 1913 ลุงของโจว เอินไหลถูกย้ายไปที่เทียนจิน และโจวได้เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมหนานไคที่มีชื่อเสียง
โรงเรียนมัธยมหนานไคก่อตั้งโดย หยาน ซิ่ว นักวิชาผู้มีชื่อเสียง และนำโดย จาง โบหลิง วิธีการสอนของโรงเรียนมัธยมหนานไคนั้น ไม่ธรรมดาเมื่อเทียบกับมาตรฐานการสอนสมัยนั้น สมัยที่โจว เอินไหลเรียนนั้น โรงเรียนมัธยมหนานไคได้นำรูปแบบการศึกษามาจากวิทยาลัยฟิลลิปส์ สหรัฐ ด้วยชื่อเสียงของโรงเรียนที่มีวินัยสูง ทำให้ดึงดูดนักเรียนจำนวนซึ่งหลายคนกลายมาเป็นคนที่มีชื่อเสียง เพื่อนร่วมชั้นของโจว มีตั้งแต่ หม่า จุน (ผู้นำคอมมิวนิสต์คนแรกที่ถูกประหาร) ถึง เค ซี อู๋ (ต่อมาเป็นนายกเทศมนตรีเมืองเซี่ยงไฮ้และผู้ว่าการไต้หวันภายใต้พรรคชาตินิยม) ความสามารถของโจวเข้าตา หยาน ซิ่ว และ จาง โบหลิง โดยเฉพาะหยาน ช่วยจ่ายค่าเรียนโจวที่ญี่ปุ่นและฝรั่งเศสในเวลาต่อมา
หยานประทับใจโจวมาก และสนับสนุนให้โจวแต่งงานกับลูกสาว แต่โจวปฏิเสธ โจวได้บอกเหตุผลให้กับจาง หงห่าวเพื่อนร่วมชั้น ว่าที่โจวปฏิเสธเพราะเกรงว่าอนาคตการเงินของเขาในอนาคตจะไม่สู้ดี และเกรงว่าหยานจะเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตเขาในภายหลัง
โจวเรียนได้ดีที่มัธยมหนานไค โจวเก่งภาษาจีน และได้รับรางวัลจากชมรมการพูดในโรงเรียนหลายรางวัล และได้เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์โรงเรียนในปีสุดท้าย และโจวยังมีความสามารถในการแสดงละครเวที นักเรียนที่ไม่รู้จักโจวมาก่อน รู้จักโจวจากการแสดงของเขา ในปัจจุบัน โรงเรียนมัธยมหนานไคได้เก็บรักษาเรียงความและบทความจำนวนหนึ่งที่เขียนโดยโจวเอาไว้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวินัย การฝึกฝน และความห่วงใยในประเทศที่ผู้ก่อตั้งโรงเรียนหนานไคพยายามปลูกฝังให้กับลูกศิษย์ พิธีจบในปี 1917 โจวเป็นหนึ่งในห้าคนที่ได้รับเกียรติในพิธี และเป็นหนึ่งในสองคนกล่าวอำลา
โจวจบจากหนานไค คำสอนของจาง โบหลิงเรื่อง กง (จิตวัญญาณสาธารณะ) และ เนิง (ความสามารถ) ทำให้โจวประทับใจจางเป็นอย่างมาก การมีส่วมร่วมให้การอภิปรายและการแสดงละครเวที ทำให้โจวมีความสามารถในการพูดได้อย่างไพเราะ และความสามารถในการโน้มน้าว โจวจบจากหนานไคไปพร้อมกับความปารถนาที่รับใช้ประชาชนและฝึกฝนทักษะที่จำเป็น
กิจกรรมทางการเมืองยุคแรก
แก้โจว เอินไหลกลับเทียนจินในปี 1919 ฤดูใบไม้ร่วง นักประวัติศาสตร์หลายคนไม่เชื่อว่าโจวเข้าร่วมขบวนการ 4 พฤษภาคม ชีวประวัติอย่างเป็นทางการภาษาจีนของโจวระบุว่า โจวเป็นผู้นำในการประท้วงของนักศึกษาที่เทียนจินในขบวนการ 4 พฤษภาคม แต่นักวิชาการสมัยใหม่หลายคนเชื่อว่าไม่น่าเเป็นไปได้ที่โจวจะเข้าร่วม เนื่องจากขาดหลักฐานที่ยังเหลือรอดจากสมัยนั้น ในเดือน กรกฎาคม 1919 จากคนขอของหม่า จุน เพื่อนร่วมชั้นจากโรงเรียนมัธยมหนานไค โจวได้เป็นบรรณธิการสมาพันธ์นักศึกษาเทียนจินในที่สุด ในช่วงเวลาสั้นจากเดือนกรกฎาคม 1919 ถึง ต้นปี 1920 กระดานข่าวของโจว ถูกอ่านโดยกลุ่มนักศึกษาทั่วประเทศ และถูกรัฐบาลระงับอย่างน้อย 1 ครั้ง เนื่องจากเป็นความอันตรายต่อความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของสังคม
ในเดือนสิงหาคม 1919 เมื่อหนานไคกลายมาเป็นมหาวิทยาลัย โจวเป็นนักเรียนรุ่นแรก และเป็นนักกิจกรรมเต็มเวลา กิจกรรมทางการเมืองของโจวเริ่มขยายไปเรื่อย ๆ ในเดือน กันยายน โจวและนักศึกษาหลายคนเห็นด้วยที่จะก่อตั้งสมาคมเจี้ยอู้ (ตื่นตัว) ซึ่งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีสมาชิกไม่ถึง 25 คน จุดประสงค์ของสมาคม โจวได้ประกาศว่า สิ่งใดก็ตามที่สอดคล้องกับยุคปัจจุบันควรถถูกปฏิรูป เช่น การทหาร ชนชั้นกระฎุมพี ความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง จริยธรรมเก่า ๆ ฯลฯ และเป็นจุดประสงค์ของสมาคมที่ตั้งใจจะเผยแพร่ให้แก่ประชาชนชาวจีน ในสมาคมนี้เป็นสถานที่ที่โจวพบกับเติ้ง อิ่งเชา ภรรยาในอนาคต ในอีกมุม สมาคมเจี้ยอู้มีความคล้ายกับกลุ่มศึกษาลัทธิมาร์กซิสต์นำโดยหลี่ ต้าเจา ที่ใช้ตัวเลขแทนชื่อเป็นรหัสลับ (โจว เอินไหล ได้เลข 5 จึงใข้นามปากกาว่า อู่หาว และยังคงใช้นามฝางในปีต่อ ๆ มา) โดยแท้จริงแล้ว ทันทีหลังจากที่ก่อตั้งสมาคม ก็ได้มีการเชิญหลี่ ต้าเจามาบรรยายเรื่องลัทธิมาร์กซิสต์
สาเหตุการเสียชีวิต
แก้ปี 1972
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1972 หลังจากการตรวจร่างกายและปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะหลายคน พบว่าโจวเอินไหลเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ โดยหวังว่าจะได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ แต่เหมาเจ๋อตงให้คำแนะนำสี่ประการแก่พวกเขา ประการแรก เก็บเป็นความลับ และอย่าบอกนายกรัฐมนตรี(โจวเอินไหล) ประการที่สอง อย่าตรวจสอบ ประการที่สาม ห้ามผ่าตัด ประการที่สี่ เสริมสร้างโภชนาการและการดูแล
ปี 1973
เมื่อวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1973 โจว เอินไหล ปัสสาวะเป็นเลือดจำนวนมาก เนื่องจากการรักษาล่าช้า วันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1973 โจวเอินไหล ปัสสาวะเป็นเลือดอีกครั้ง ในวันเดียวกันโจวเอินไหลได้รับการผ่าตัด แล้วพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1973 เขาจึงสามารถรับการตรวจซิสโตสโคปได้ ในระหว่างการตรวจ ทีมแพทย์ฝ่าฝืนคำแนะนำของเหมาเจ๋อตง และใช้ไฟฟ้าเผาเนื้องอกบนพื้นผิวของเยื่อบุกระเพาะปัสสาวะ การผ่าตัดให้ผลดี และปัสสาวะก็กลับสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว ดำเนินการสัปดาห์ละสองครั้ง ดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ ในช่วงปลายเดือนตุลาคม โจวเอินไหลปัสสาวะเป็นเลือดจำนวนมากอีกครั้ง แต่เนื่องจากอิทธิพลทางการเมืองเช่นการเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์หลินเปียว และขงจื๊อเขาไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
ปี 1974
ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1974 อาการแย่ลง และตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม ปริมาณเลือดในปัสสาวะของเขาสูงถึงมากกว่า 100 มล. ต่อวัน เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1974 ทีมแพทย์ได้ทำการผ่าตัดครั้งที่สองกับ โจว เอินไหล และทำการรักษาด้วยไฟฟ้ากัดกร่อน อย่างไรก็ตาม ผลที่ได้ไม่น่าพอใจอย่างยิ่ง และในไม่ช้าภาวะโลหิตจางก็กลับมาเป็นอีก ตามคำแนะนำของสำนักการเมืองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้มีการดำเนินการรักษาด้วยยาอนุรักษ์นิยมและการถ่ายเลือดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในช่วงเวลานี้ โจวเอินไหลสะสมเลือดจำนวนมากในกระเพาะปัสสาวะ แข็งตัวเป็นลิ่มเลือด ปิดกั้นช่องเปิดภายในของท่อปัสสาวะ และมีอาการปวดผิดปกติ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1974 โจวเอินไหลเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหมายเลข 305 ของกองทัพปลดปล่อยประชาชน เข้ารับการผ่าตัด และได้รับการผ่าตัดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะครั้งแรก อาการของเขาดีขึ้น ตั้งแต่วันที่ 7 ถึง 8 สิงหาคม ภาวะโลหิตจาง เพิ่มขึ้น อาการกำเริบและได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะลุกลาม หลังจากปรึกษาหารือกับทีมแพทย์แล้ว สำนักการเมืองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ตกลงที่จะทำการผ่าตัดซิสโตสโคปและการผ่าตัดใหญ่อีกครั้งหนึ่ง หลังการผ่าตัด อาการของเขาค่อนข้างคงที่และสามารถดูแลตัวเองได้ 12 เดือนที่แล้ว ทีมแพทย์พบว่าโจวเอินไหลป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่เนื่องจากโจวไปฉางซาเพื่อรายงานต่อเหมา เจ๋อตงเกี่ยวกับการเตรียมการสำหรับการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติครั้งที่ 4 การรักษาจึงถูกเลื่อนออกไป
ปี 1975
การตรวจระบบทางเดินอาหารในวันที่ 6 และ 18 มีนาคม ค.ศ. 1975 พบว่ามีเนื้องอกขนาดเท่าวอลนัทในลำไส้ใหญ่ของโจวเอินไหลใกล้กับตับ ทีมแพทย์จึงตัดสินใจทำการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่กับเขา วันที่ 26 มีนาคม ของเดือนเดียวกัน แพทย์ทำการผ่าตัดเม็ดเลือดแดงด้านขวาก่อน จากนั้นจึงทำการจี้ด้วยไฟฟ้าเพื่อรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะ หลังการผ่าตัด ร่างกายของ โจวเอินไหล อ่อนแออย่างเห็นได้ชัด เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1975 โจวเอินไหลถ่ายรูปหมู่กับเจ้าหน้าที่บางคนที่อยู่รอบตัวเขา และพูดว่า: "นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันถ่ายรูปกับคุณ ฉันหวังว่าคุณจะอยู่กันฉันอีกในอนาคต"ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงกันยายน การทดสอบทางพยาธิวิทยาของปัสสาวะของ โจว พบว่าเป็นมะเร็งเซลล์สความัส วันที่ 20 กันยายน ได้ทำการผ่าตัดใหญ่ วันนั้น เติ้งเสี่ยวผิง, จางชุนเฉียว, หลี่เซียนเหนียน, หวังตงซิง และเติ้ง หยิงเชา กำลังรออยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อเข้าไปในห้องผ่าตัด โจวเอินไหลตะโกน: "ฉันภักดีต่อพรรคและประชาชน! ฉันไม่ใช่ผู้ยอมจำนน! ". ระหว่างการผ่าตัด แพทย์พบว่าเซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกายและรักษาไม่หาย เติ้งเสี่ยวผิงสั่งทีมแพทย์ทันทีให้พยายามทุกวิถีทางเพื่อ "ลดความทุกข์ทรมานและยืดอายุขัย"หลังจากปลายเดือนตุลาคม โจวเอินไหลล้มป่วยโดยพื้นฐานแล้ว ปัสสาวะและถ่ายอุจจาระอยู่บนเตียง และอาศัยการให้อาหารทางจมูกเป็นอาหาร การใช้ยาปฏิชีวนะในวงกว้างในปริมาณมากอาจทำให้เกิดความไม่สมดุลในลำไส้และทำให้เกิดอาการท้องร่วง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคติดเชื้อราทั่วร่างกาย มีไข้สูงอย่างต่อเนื่อง และหัวใจและไตวาย
ปี 1976
ในตอนเช้าของวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1976 เนื่องจากลำไส้เป็นอัมพาต ท้องบวม และไม่สามารถถ่ายอุจจาระได้ โจวเอินไหลจึงทำการผ่าตัดครั้งสุดท้าย เติ้งเสี่ยวผิง หลี่เซียนเหนียน หวังตงซิง และคนอื่นๆ เดินทางมาพบ เยี่ยมชมและรอเขา ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงกลางคืน สมาชิกส่วนใหญ่ของสำนักการเมืองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนในกรุงปักกิ่งได้รับแจ้งถึงอาการป่วยหนักของโจวเอินไหล และไปโรงพยาบาลเป็นกลุ่มเพื่อเยี่ยมเขา วันที่ 7 มกราคม โจวเอินไหลเข้าสู่อาการโคม่า แพทย์ใช้การเติมออกซิเจน การให้อาหารทางจมูก และวิธีการอื่นๆ เพื่อยืดอายุของโจวเอินไหลในคืนนั้น เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาแล้ว เขาก็ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย และจำเขาได้ เจี๋ยผิงและคนอื่น ๆ ต่อหน้าเขาและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ฉันไม่มีอะไรทำที่นี่ คุณควรไปดูแลสหายที่ป่วยคนอื่น ๆ สุดท้าย คำพูดที่โจวเอินไหลพูดก่อนเสียชีวิต ในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1976 ตอนเวลา 9:57 นาที ในวัย 78 ปี
งานศพเเละการรำลึกถึงโจวเอินไหล
แก้เมื่อเวลา 09:57 น. ของวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1976 โจว เอินไหล ซึ่งขณะนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีของสภาแห่งรัฐและประธานคณะกรรมการแห่งชาติของการประชุมปรึกษาทางการเมืองแห่งประชาชนจีน เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะที่โรงพยาบาล 305 ในกรุงปักกิ่ง ขณะมีอายุได้ 78 ปี เติ้ง หยิงเชา และสมาชิกสำนักการเมืองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนในกรุงปักกิ่ง รีบไปโรงพยาบาลเพื่ออำลาร่างผู้เสียชีวิต และเตรียมพิธีศพ “เสียงของเติ้งเสี่ยวผิงสั่นไหว ดวงตาของเย่ เจียนหยิงเป็นสีแดงจากการร้องไห้ และเธอก็จับมือของเติ้ง หยิงเฉาเป็นเวลานาน ดวงตาของหลายคนบวมจากการร้องไห้ แต่ เจียงชิงและคนอื่น ๆ หันหลังกลับและจากไปทันที ในช่วงบ่าย สำนักการเมืองของคณะกรรมการกลางได้จัดการประชุมเพื่อจัดทำรายงานคำสั่ง ประกาศข่าวมรณกรรม และรายชื่อคณะกรรมการงานศพ และส่งไปให้เหมา เจ๋อตง เพื่อขออนุมัติ เมื่อเวลา 01:00 น. ของวันที่ 9 เหมา เจ๋อตง ให้การอนุมัติ ศพของ โจวเอินไหล ถูกส่งไปยังโรงพยาบาลปักกิ่งตอนเที่ยงของวันที่ 8 โดยการชันสูตรพลิกศพเป็นไปตามความปรารถนาสุดท้ายของเขา และพบว่ามีการแพร่กระจายของมะเร็งในอวัยวะสำคัญทั้งหมด หลังจากนั้น ช่างตัดผมที่โรงแรมปักกิ่งก็ตัดผมให้ เมื่อเวลา 4 ทุ่ม ร่างของ โจวเอินไหล ถูกนำไปที่ห้องดับจิตของโรงพยาบาลปักกิ่งหลังจากตัดผม แต่งตัว ทำศัลยกรรม และแต่งหน้า เมื่อเวลา 04:12 น. ของวันที่ 9 มกราคม สถานีวิทยุกระจายเสียงประชาชนกลางได้เปิดขึ้นล่วงหน้า และถ่ายทอดข่าวมรณกรรมการเสียชีวิตของโจว เอินไหล ซึ่งออกโดยคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน คณะกรรมการประจำสภาประชาชนแห่งชาติ และ สภาแห่งรัฐประกาศจัดตั้งกลุ่มบุคคล 100 คน ได้แก่ เหมา เจ๋อตง, หวัง หงเหวิน, เย่ เจียนหยิง, เติ้ง เสี่ยวผิง และจูเต๋อ คณะกรรมการงานศพ 7 คนของสหายโจวเอินไหล ตั้งแต่วันที่ 9-15 จะมีการชักธงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ประตูซินหัวเหมิน พระราชวังวัฒนธรรมแรงงาน และกระทรวงการต่างประเทศในเมืองหลวง เพื่อลดธงครึ่งเสาเพื่อไว้อาลัย “หน้าเกือบทุกคนหนักอึ้ง” บนท้องถนน “ทหารตีหน้าอกและร้องไห้” บนรถไฟ ผู้คนในสำนักงาน อพาร์ทเมนต์ และโรงเรียนต่างพากันร้องไห้อย่างเงียบ ๆ “มีคนสะอื้นสะอื้นไปทั่ว” เมื่อวันที่ 10 มกราคม คณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและสภาแห่งรัฐได้ออกประกาศตัดสินใจว่าปักกิ่งและทั้งประเทศจะรำลึกถึงโจวเอินไหลอย่างเคร่งขรึม ในวันที่ 10 และ 11 ผู้นำพรรคและรัฐและตัวแทนมวลชนมากกว่า 10,000 คนไปโรงพยาบาลปักกิ่งเพื่ออำลาร่างของโจวเอินไหล และคนอื่นๆ ต่างแสดงความเคารพอย่างเงียบๆ ต่อหน้าศพของ โจวเอินไหล เจียง ชิงไม่ได้ถอดหมวกเมื่อกล่าวอำลาศพ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความไม่พอใจอย่างมากในหมู่ผู้ที่อยู่ตรงนั้นและดูวิดีโอ ในเวลาเดียวกัน ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่หน้าโรงพยาบาลปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมอำลาโดยหวังว่าจะแสดงความเคารพต่อร่างของโจวเอินไหลและแสดงความเสียใจ ในช่วงบ่ายของวันที่ 11 มกราคม ศพของ โจวเอินไหล ถูกส่งไปยังสุสานปฏิวัติปาเป่าซาน การเดินทางที่แตกต่างกันพากันสองครั้งข้างหน้าสองข้างทางเพื่อดูศพของ โจวเอินไหล ดังไม่หยุดและบรรยากาศก็เศร้าโศก "ถนนยาวสิบไมล์และจากนั้นก็สามารถส่งนายพล" ได้ตามปกติ ในกรุงปักกิ่งเพื่อเผาศพ ผู้คนหลายล้านคนในกรุงปักกิ่งรวมตัวกันอย่างเป็นธรรมชาติทั้งสองฝั่งของถนนฉางอาน ทางตะวันออกและตะวันตกของจัตุรัสเทียนอันเหมิน เพื่ออำลาศพของ โจวเอินไหล ท่ามกลางอากาศหนาวจัด เริ่มตั้งแต่ 16:00 น. วันที่ 11 มกราคม ศพของ โจวเอินไหล ได้รับการคุ้มกันโดยเจ้าหน้าที่คณะกรรมการงานศพ และเพื่อนของ โจวเอินไหล ก่อนที่เขาจะเเข็ง ศพเริ่มต้นจากโรงพยาบาลปักกิ่งและถูกส่งไปยังสุสานปฏิวัติปาเป่าซาน เจ้าหน้าที่คณะกรรมการงานศพ และเพื่อนของ โจวเอินไหล ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ศพเริ่มต้นจากโรงพยาบาลปักกิ่งและถูกส่งไปยังสุสานปฏิวัติปาเป่าซาน ผ่านถนนไท่จี๋ฉาง และถนนฉางอาน ผู้คนต่างพากันรวมตัวกันสองข้างทางเพื่อดูศพของ โจวเอินไหล ไม่ว่ารถศพจะไปที่ไหนก็ส่งเสียงร้องอย่างไม่หยุดหย่อนและบรรยากาศก็เศร้าโศกอย่างยิ่ง” นี่คือ "ถนนยาวสิบไมล์ที่มีชื่อเสียงเพื่อส่งนายพล" เลขานุการออกไป” เวลา 18:05 น. ขบวนคาราวานมาถึงสุสานปฏิวัติปาเป่าซาน ศพของโจวเอินไหล ถูกวางไว้ในห้องอำลาห้องที่สอง(หอประชุมตะวันออกของปาเป่าซาน เติ้ง เสี่ยวผิง กล่าวคำอำลากับ โจวเอินไหล อย่างเศร้า: "เอินไหล ฉัน อยู่ที่นี่ ลาก่อน ขอฉันดูคุณเป็นครั้งสุดท้าย! ทุกวันนี้ฉันไม่เคยร้องไห้ดังเลย และตอนนี้ ฉันจะร้องไห้หนักมาก" เขาน้ำตาไหล และหลายคนก็หลั่งน้ำตาไปด้วย หลังจากนั้น ศพ หลังจากการเผาศพจางซู่หยิงและเกาเจิ้นผู่ ผู้คุ้มกันของ โจวเอินไหล ในช่วงชีวิตของเขาได้นำอัฐิโดยรถยนต์ไปยังวังวัฒนธรรมเพื่อไปจัดวาง ในช่วงบ่ายของวันที่ 12 มกราคม สำนักการเมืองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้จัดการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการไว้อาลัยและพิธีไว้อาลัย จาง ชุนเฉียว เสนอให้เย่ เจียนหยิงกล่าวคำไว้อาลัยที่งานรำลึกของโจว เอินไหล แต่เย่ เจียนหยิงคัดค้าน เย่ เจียนหยิงเสนอให้เติ้ง เสี่ยวผิงกล่าวคำสรรเสริญ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกกรมการเมืองส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมประชุม ตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 14 มกราคม ผู้คนมากกว่า 40,000 คนจากทุกสาขาอาชีพในเมืองหลวงได้จัดพิธีแสดงความเสียใจอย่างยิ่งใหญ่ที่หลังจากพิธีแสดงความเสียใจ อัฐิของ โจว เอินไหล ได้ถูกย้ายไปยังห้องโถงใหญ่ของไต้หวัน ประชากร. ในช่วงเวลาแสดงความเสียใจ ผู้คนจากทุกสาขาอาชีพได้จัดกิจกรรมไว้ทุกข์ในรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นเองหรือจัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงโจวเอินไหลและแสดงความเสียใจ อนุสาวรีย์วีรชนของประชาชนซึ่งมีคำจารึกด้วยลายมือของโจวเอินไหลสลักอยู่ใจกลางจัตุรัสเทียนอันเหมิน ได้กลายเป็นสถานที่หลักในการรำลึกถึงและรำลึกถึงโจวเอินไหล ภายในไม่กี่วัน พวงหรีดก็ถูกวางรอบๆ อนุสาวรีย์ และผนังต้นสนก็ถูกปกคลุมไปด้วยดอกไม้สีขาว กิจกรรมรำลึกที่คล้ายกันได้ปรากฏขึ้นทีละแห่งในเซี่ยงไฮ้ เทียนจิน อู่ฮั่น ซีอาน หนานจิง ฉงชิ่ง หนานชาง กว่างโจว และเมืองใหญ่และขนาดกลางอื่นๆ ทั่วประเทศ และได้มีการพัฒนาและขยายอย่างต่อเนื่อง ในช่วงบ่ายของวันที่ 14 มกราคม เจ้าหน้าที่ได้อ่านร่างคำสรรเสริญเยินยอให้เหมา เจ๋อตงฟังในการประชุมรำลึกถึงโจวเอินไหล ซึ่งถูกส่งตัวไปพิจารณาคดีโดยคณะกรรมการกลาง เหมา เจ๋อตง หมดสติด้วยความเจ็บปวด เหมาเจ๋อตงป่วยหนักและไม่สามารถเข้าร่วมพิธีไว้อาลัยได้ เมื่อวันที่ 15 มกราคม มีการเชิญธงครึ่งเสาทั่วประเทศเพื่อไว้ทุกข์ และกิจกรรมความบันเทิงทั้งหมดถูกระงับ ในช่วงบ่าย พิธีไว้อาลัยของโจว เอินไหล จัดขึ้นที่ห้องโถงใหญ่ของประชาชนในจัตุรัสเทียนอันเหมิน เติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรองนายกรัฐมนตรีของสภาแห่งรัฐ เป็นประธานในพิธีไว้อาลัย และกล่าวคำไว้อาลัย บรรยากาศการประชุมทั้งหมดเศร้าโศกและเคร่งขรึมอย่างยิ่ง หลังจากการเสียชีวิตของ โจวเอินไหล ศพของเขาถูกเผาและไม่ได้เก็บขี้เถ้า แล้วพอเก็บขี้เถ้าของโจวเอินไหลเเล้วก็นำไปโปรยที่กำแพงเมืองปักกิ่ง อ่างเก็บน้ำหมี่หยุน และแม่น้ำไห่เหอในเทียนจิน ปากแม่น้ำของทะเลโป๋ไห่และปากแม่น้ำเหลืองของปินโจว มณฑลซานตง
หลังจากการเสียชีวิตของโจวเอินไหล ผู้นำจากกว่า 130 ประเทศและพรรคการเมืองได้ส่งข้อความและจดหมายแสดงความเสียใจ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อพรรคและรัฐบาลจีน และแสดงความขอบคุณต่อการมีส่วนร่วมอันยิ่งใหญ่ของโจวเอินไหลต่อจีนและโลก ในเวลาเดียวกัน ในการประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ตามความคิดริเริ่มของประธานสมัชชาใหญ่ ผู้แทนทุกคนลุกขึ้นยืนและสังเกตช่วงเวลาแห่งความเงียบงันเพื่อรำลึกถึงโจวเอินไหล สหประชาชาติยังชักธงครึ่งเสาเพื่อไว้อาลัย
อ้างอิง
แก้ก่อนหน้า | โจว เอินไหล | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
ไม่มี | นายกรัฐมนตรีจีน (ค.ศ. 1949 – 1976) |
ฮั่ว กั๋วเฟิง |