โจว เอินไหล

นายกรัฐมนตรีคนแรกของจีน
(เปลี่ยนทางจาก โจวเอินไหล)

โจว เอินไหล (จีน: 周恩来; พินอิน: Zhōu Ēnlái; เวด-ไจลส์: Chou1 Ên1-lai2; 5 มีนาคม ค.ศ. 1898 – 8 มกราคม ค.ศ. 1976) เป็นรัฐบุรุษ นักการทูต และนักปฏิวัติชาวจีน ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของสาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 1954 จนถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 1976 โจวดำรงตำแหน่งภายใต้การนำของประธานเหมา เจ๋อตง และให้ความช่วยเหลือพรรคคอมมิวนิสต์ในการก้าวขึ้นสู่อำนาจ ต่อมาได้ช่วยรวมอำนาจควบคุม กำหนดนโยบายต่างประเทศ และพัฒนาเศรษฐกิจของจีน

โจว เอินไหล
周恩来
ภาพอย่างเป็นทางการ ทศวรรษที่ 1950
นายกรัฐมนตรีจีน คนที่ 1
ดำรงตำแหน่ง
27 กันยายน ค.ศ. 1954 – 8 มกราคม ค.ศ. 1976
(21 ปี 103 วัน)
รองนายกรัฐมนตรีลำดับที่หนึ่งต่ง ปี้อู่
เฉิน ยฺหวิน
หลิน เปียว
เติ้ง เสี่ยวผิง
ก่อนหน้าเหมา เจ๋อตง
(ในฐานะประธานรัฐบาลประชาชนส่วนกลางสาธารณรัฐประชาชนจีน)
ตนเอง
(ในฐานะนายกสภาบริหารรัฐบาลกลาง รัฐบาลประชาชนส่วนกลาง)
ถัดไปฮฺว่า กั๋วเฟิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน คนที่ 1
ดำรงตำแหน่ง
1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 – 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1958
(8 ปี 133 วัน)
หัวหน้ารัฐบาลตนเอง
ก่อนหน้าหู ชื่อ
(ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐจีน)
ถัดไปเฉิน อี้
รองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนลำดับที่หนึ่ง
ดำรงตำแหน่ง
30 สิงหาคม ค.ศ. 1973 – 8 มกราคม ค.ศ. 1976
(2 ปี 131 วัน)
ประธานเหมา เจ๋อตง
ก่อนหน้าหลิน เปียว (1971)
ถัดไปฮฺว่า กั๋วเฟิง
รองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ดำรงตำแหน่ง
28 กันยายน ค.ศ. 1956 – 1 สิงหาคม ค.ศ. 1966
(9 ปี 307 วัน)
ประธานเหมา เจ๋อตง
ประธานสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีน คนที่ 2
ดำรงตำแหน่ง
25 ธันวาคม ค.ศ. 1954 – 8 มกราคม ค.ศ. 1976
(21 ปี 14 วัน)
ประธานกิตติมศักดิ์เหมา เจ๋อตง
ก่อนหน้าเหมา เจ๋อตง
ถัดไปว่าง (1976–1978)
เติ้ง เสี่ยวผิง
นายกสภาบริหารรัฐบาลกลาง รัฐบาลประชาชนส่วนกลาง
ดำรงตำแหน่ง
21 ตุลาคม ค.ศ. 1949 – 26 กันยายน ค.ศ. 1954
(4 ปี 340 วัน)
ประธาน เหมา เจ๋อตง
ก่อนหน้าสถาปนาตำแหน่ง
ถัดไปตนเอง (ในฐานะนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน)
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด5 มีนาคม ค.ศ. 1898(1898-03-05)
หฺวายอาน, มณฑลเจียงซู, จักรวรรดิชิง
เสียชีวิต8 มกราคม ค.ศ. 1976(1976-01-08) (77 ปี)
ปักกิ่ง, สาธารณรัฐประชาชนจีน
พรรคการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน (1921–1976)
การเข้าร่วม
พรรคการเมืองอื่น
พรรคก๊กมินตั๋ง (1923–1927)
คู่สมรสเติ้ง อิ่งเชา (สมรส 1925)
บุตรไม่มีบุตรทางสายเลือด;
บุตรบุญธรรม: ซุน เหวย์ชื่อ, หวัง ชู่ (หลานชาย), โจว เป่าจาง (หลานชาย), โจว เป่าจวง (หลานสาว), วรรณไว พัธโนทัย, สิรินทร์ พัธโนทัย
การศึกษาโรงเรียนมัธยมหนานไค
ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยหนานไค
มหาวิทยาลัยเมจิ
ลายมือชื่อ
เว็บไซต์zhouenlai.people.cn
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง
สังกัดกองทัพปฏิวัติแห่งชาติจีน (1937–1945)
กองทัพแดงจีน
กองทัพปลดปล่อยประชาชน
ยศพลโทแห่งกองทัพปฏิวัติแห่งชาติจีน
ผ่านศึก
ชื่อภาษาจีน
อักษรจีนตัวย่อ周恩来
อักษรจีนตัวเต็ม周恩來
ชื่อรอง
ภาษาจีน翔宇

ในฐานะนักการทูต โจวเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 ถึง 1958 หลังจากสงครามเกาหลี เขาได้สนับสนุนแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับชาติตะวันตก โดยเข้าร่วมการประชุมเจนีวาในปี ค.ศ. 1954 และการประชุมบันดุงในปี ค.ศ. 1955 นอกจากนี้เขายังมีบทบาทสำคัญในการจัดการเยือนประเทศจีนของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันในปี ค.ศ. 1972 เขามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับข้อพิพาทกับสหรัฐ ไต้หวัน สหภาพโซเวียต (หลังปี ค.ศ. 1960) อินเดีย เกาหลี และเวียดนาม

โจวรอดพ้นจากการกวาดล้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ขณะที่เหมาใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงบั้นปลายชีวิตทุ่มเทให้กับการต่อสู้ทางการเมืองและอุดมการณ์ โจวก็เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนกิจการบ้านเมืองในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรมเป็นส่วนใหญ่ ความพยายามของเขาในการบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการกระทำของกลุ่มยุวชนแดง และการปกป้องผู้อื่นจากความโกรธแค้นของกลุ่มดังกล่าว ทำให้เขาได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงปลายของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม

สุขภาพของเหมาเริ่มเสื่อมลงในปี ค.ศ. 1971 และหลิน เปียวก็ตกที่นั่งลำบาก ถูกปลดจากตำแหน่ง และเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกในเวลาต่อมา ท่ามกลางเหตุการณ์ดังกล่าว ในปี ค.ศ. 1973 คณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 10 ได้มีมติเลือกโจวให้ดำรงตำแหน่งรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนลำดับที่หนึ่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ว่างลง และด้วยเหตุนี้จึงทำให้โจวได้รับเลือกเป็นผู้สืบทอดอำนาจจากเหมา (นับเป็นบุคคลลำดับที่สามที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนี้ ต่อจากหลิว เช่าฉี และหลิน เปียว) อย่างไรก็ตาม โจวยังคงต้องเผชิญกับการต่อสู้ทางการเมืองภายในพรรคกับแก๊งออฟโฟร์เพื่อแย่งชิงอำนาจในการนำประเทศจีน การปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งสุดท้ายที่สำคัญของเขาคือในการประชุมครั้งแรกของสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 4 เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1975 โดยเขาได้นำเสนอรายงานผลการทำงานของรัฐบาล จากนั้นเขาก็หายไปจากสายตาประชาชนเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาล และได้ถึงแก่อสัญกรรมในอีกหนึ่งปีต่อมา ความโศกเศร้าใหญ่หลวงของสาธารณชนอันเนื่องมาจากการอสัญกรรมของเขาในกรุงปักกิ่งกลายมาเป็นความโกรธแค้นต่อแก๊งออฟโฟร์ ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์กรณีเทียนอันเหมินในปี ค.ศ. 1976 หลังการถึงแก่อสัญกรรม ฮฺว่า กั๋วเฟิง ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานลำดับที่หนึ่งและผู้สืบทอดตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม เติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งเป็นพันธมิตรของโจวก็สามารถเอาชนะแก๊งออฟโฟร์และขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดแทนฮฺว่าในปี ค.ศ. 1978

ชีวิตช่วงต้น

แก้

วัยเด็ก

แก้
 
โจว เอินไหล ในปี 1912

โจวเอินไหลมีภูมิลำเนาเป็นชาวเมืองเส้าซิง มณฑลเจ้อเจียง ในขณะที่ความจริงแล้ว เขาเกิดที่เมืองหวยอัน(淮安) มณฑลเจียงซู ในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ.1898 ซึ่งเป็นรกรากของฝ่ายมารดา บรรพบุรุษหลายชั่วอายุคนของตระกูลโจวที่เมืองเส้าซิงนี้ ล้วนเป็นที่ปรึกษาให้กับข้าราชการในเมือง ซึ่งอาชีพดังกล่าวได้รับความนิยมสูงสุดจน รับรู้กันว่ามีชาวเส้าซิงมากมายที่ประจำอยู่ตามหน่วยงานราชการทั่วประเทศของจีน นอกเหนือไปจากการเป็นพ่อค้า

โจวรำลึกถึงผู้ให้กำเนิดของตนว่า ยายของเขาเป็นหญิงชาวนาในชนบทของหวยอิน(淮阴) ดังนั้น ในร่างกายเขาก็มีเลือดของชาวนาไหลเวียนอยู่ด้วย ส่วนมารดานั้นเป็นผู้หญิงที่มีหน้าตางดงาม และจิตใจอ่อนโยน แต่น่าเสียดายที่ต้องเสียชีวิตตั้งแต่ยังสาวเมื่อมีอายุได้เพียง 35 ปี

เนื่องจากป่วยเป็นวัณโรค อันมีสาเหตุมาจากการทำงานหนักเกินไปหลังจากที่ปู่เสียชีวิตลงโดยไม่เหลือมรดกไว้ให้ครอบครัวเลย ปู่ของโจวเสียชีวิตลงเมื่ออายุได้ 50 ปี ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้สร้างทรัพย์สมบัติใด ๆ ไว้

มีเพียงบ้านที่อาศัยเท่านั้น เมื่อมาถึงรุ่นพ่อ ครอบครัวก็ถึงคราวลำบาก ซึ่งทั้งบิดาและอาของเขาต่างรับราชการ โดยบิดาของโจวมีตำแหน่งเป็นผู้ดูแลด้านเอกสาร ส่วนอาดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา ซึ่งรวมกันแล้วรายได้ก็ยังไม่เพียงพอ

การศึกษา

แก้
 
โจว เอินไหล ขณะเป็นเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมหนานไค

ที่เฟิงเทียน โจวเรียนที่ Dongguan Model Academy ก่อนหน้านั้นการเรียนของโจวเป็นการเรียนที่บ้านเท่านั้น นอกเหนือจากวิชาวิทยาศาสตร์และภาษาอังกฤษนั้น โจวยังได้สัมผัสงานเขียนของนักปฏิวัติและนักปฏิรูปหลายคน เช่น เหลียง ฉีเฉา, คัง โหยวเว่ย, เฉิน เทียนหัว, ซู หรง และ จาง ปิงหลิน เมื่อโจวอายุ 14 ปี ได้ประกาศแรงบัลดาลใจในการศึกษาของเขาคือ “การเป็นคนยิ่งใหญ่และรับผิดชอบภาระอันหนักอึ้งของประเทศ” ในปี 1913 ลุงของโจว เอินไหลถูกย้ายไปที่เทียนจิน และโจวได้เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมหนานไคที่มีชื่อเสียง

โรงเรียนมัธยมหนานไคก่อตั้งโดย หยาน ซิ่ว นักวิชาผู้มีชื่อเสียง และนำโดย จาง โบหลิง วิธีการสอนของโรงเรียนมัธยมหนานไคนั้น ไม่ธรรมดาเมื่อเทียบกับมาตรฐานการสอนสมัยนั้น สมัยที่โจว เอินไหลเรียนนั้น โรงเรียนมัธยมหนานไคได้นำรูปแบบการศึกษามาจากวิทยาลัยฟิลลิปส์ สหรัฐ ด้วยชื่อเสียงของโรงเรียนที่มีวินัยสูง ทำให้ดึงดูดนักเรียนจำนวนซึ่งหลายคนกลายมาเป็นคนที่มีชื่อเสียง เพื่อนร่วมชั้นของโจว มีตั้งแต่ หม่า จุน (ผู้นำคอมมิวนิสต์คนแรกที่ถูกประหาร) ถึง เค ซี อู๋ (ต่อมาเป็นนายกเทศมนตรีเมืองเซี่ยงไฮ้และผู้ว่าการไต้หวันภายใต้พรรคชาตินิยม) ความสามารถของโจวเข้าตา หยาน ซิ่ว และ จาง โบหลิง โดยเฉพาะหยาน ช่วยจ่ายค่าเรียนโจวที่ญี่ปุ่นและฝรั่งเศสในเวลาต่อมา

หยานประทับใจโจวมาก และสนับสนุนให้โจวแต่งงานกับลูกสาว แต่โจวปฏิเสธ โจวได้บอกเหตุผลให้กับจาง หงห่าวเพื่อนร่วมชั้น ว่าที่โจวปฏิเสธเพราะเกรงว่าอนาคตการเงินของเขาในอนาคตจะไม่สู้ดี และเกรงว่าหยานจะเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตเขาในภายหลัง

โจวเรียนได้ดีที่มัธยมหนานไค โจวเก่งภาษาจีน และได้รับรางวัลจากชมรมการพูดในโรงเรียนหลายรางวัล และได้เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์โรงเรียนในปีสุดท้าย และโจวยังมีความสามารถในการแสดงละครเวที นักเรียนที่ไม่รู้จักโจวมาก่อน รู้จักโจวจากการแสดงของเขา ในปัจจุบัน โรงเรียนมัธยมหนานไคได้เก็บรักษาเรียงความและบทความจำนวนหนึ่งที่เขียนโดยโจวเอาไว้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวินัย การฝึกฝน และความห่วงใยในประเทศที่ผู้ก่อตั้งโรงเรียนหนานไคพยายามปลูกฝังให้กับลูกศิษย์ พิธีจบในปี 1917 โจวเป็นหนึ่งในห้าคนที่ได้รับเกียรติในพิธี และเป็นหนึ่งในสองคนกล่าวอำลา

โจวจบจากหนานไค คำสอนของจาง โบหลิงเรื่อง กง (จิตวัญญาณสาธารณะ) และ เนิง (ความสามารถ) ทำให้โจวประทับใจจางเป็นอย่างมาก การมีส่วมร่วมให้การอภิปรายและการแสดงละครเวที ทำให้โจวมีความสามารถในการพูดได้อย่างไพเราะ และความสามารถในการโน้มน้าว โจวจบจากหนานไคไปพร้อมกับความปารถนาที่รับใช้ประชาชนและฝึกฝนทักษะที่จำเป็น

กิจกรรมทางการเมืองยุคแรก

แก้
 
โจว เอินไหลในปี 1919

โจว เอินไหลกลับเทียนจินในปี 1919 ฤดูใบไม้ร่วง นักประวัติศาสตร์หลายคนไม่เชื่อว่าโจวเข้าร่วมขบวนการ 4 พฤษภาคม ชีวประวัติอย่างเป็นทางการภาษาจีนของโจวระบุว่า โจวเป็นผู้นำในการประท้วงของนักศึกษาที่เทียนจินในขบวนการ 4 พฤษภาคม แต่นักวิชาการสมัยใหม่หลายคนเชื่อว่าไม่น่าเเป็นไปได้ที่โจวจะเข้าร่วม เนื่องจากขาดหลักฐานที่ยังเหลือรอดจากสมัยนั้น ในเดือน กรกฎาคม 1919 จากคนขอของหม่า จุน เพื่อนร่วมชั้นจากโรงเรียนมัธยมหนานไค โจวได้เป็นบรรณธิการสมาพันธ์นักศึกษาเทียนจินในที่สุด ในช่วงเวลาสั้นจากเดือนกรกฎาคม 1919 ถึง ต้นปี 1920 กระดานข่าวของโจว ถูกอ่านโดยกลุ่มนักศึกษาทั่วประเทศ และถูกรัฐบาลระงับอย่างน้อย 1 ครั้ง เนื่องจากเป็นความอันตรายต่อความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของสังคม

ในเดือนสิงหาคม 1919 เมื่อหนานไคกลายมาเป็นมหาวิทยาลัย โจวเป็นนักเรียนรุ่นแรก และเป็นนักกิจกรรมเต็มเวลา กิจกรรมทางการเมืองของโจวเริ่มขยายไปเรื่อย ๆ ในเดือน กันยายน โจวและนักศึกษาหลายคนเห็นด้วยที่จะก่อตั้งสมาคมเจี้ยอู้ (ตื่นตัว) ซึ่งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีสมาชิกไม่ถึง 25 คน จุดประสงค์ของสมาคม โจวได้ประกาศว่า สิ่งใดก็ตามที่สอดคล้องกับยุคปัจจุบันควรถถูกปฏิรูป เช่น การทหาร ชนชั้นกระฎุมพี ความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง จริยธรรมเก่า ๆ ฯลฯ และเป็นจุดประสงค์ของสมาคมที่ตั้งใจจะเผยแพร่ให้แก่ประชาชนชาวจีน ในสมาคมนี้เป็นสถานที่ที่โจวพบกับเติ้ง อิ่งเชา ภรรยาในอนาคต ในอีกมุม สมาคมเจี้ยอู้มีความคล้ายกับกลุ่มศึกษาลัทธิมาร์กซิสต์นำโดยหลี่ ต้าเจา ที่ใช้ตัวเลขแทนชื่อเป็นรหัสลับ (โจว เอินไหล ได้เลข 5 จึงใข้นามปากกาว่า อู่หาว และยังคงใช้นามฝางในปีต่อ ๆ มา) โดยแท้จริงแล้ว ทันทีหลังจากที่ก่อตั้งสมาคม ก็ได้มีการเชิญหลี่ ต้าเจามาบรรยายเรื่องลัทธิมาร์กซิสต์

สาเหตุการเสียชีวิต

แก้

ปี 1972

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1972 หลังจากการตรวจร่างกายและปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะหลายคน พบว่าโจวเอินไหลเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ โดยหวังว่าจะได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ แต่เหมาเจ๋อตงให้คำแนะนำสี่ประการแก่พวกเขา ประการแรก เก็บเป็นความลับ และอย่าบอกนายกรัฐมนตรี(โจวเอินไหล) ประการที่สอง อย่าตรวจสอบ ประการที่สาม ห้ามผ่าตัด ประการที่สี่ เสริมสร้างโภชนาการและการดูแล

ปี 1973

เมื่อวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1973 โจว เอินไหล ปัสสาวะเป็นเลือดจำนวนมาก เนื่องจากการรักษาล่าช้า วันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1973 โจวเอินไหล ปัสสาวะเป็นเลือดอีกครั้ง ในวันเดียวกันโจวเอินไหลได้รับการผ่าตัด แล้วพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1973 เขาจึงสามารถรับการตรวจซิสโตสโคปได้ ในระหว่างการตรวจ ทีมแพทย์ฝ่าฝืนคำแนะนำของเหมาเจ๋อตง และใช้ไฟฟ้าเผาเนื้องอกบนพื้นผิวของเยื่อบุกระเพาะปัสสาวะ การผ่าตัดให้ผลดี และปัสสาวะก็กลับสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว ดำเนินการสัปดาห์ละสองครั้ง ดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ ในช่วงปลายเดือนตุลาคม โจวเอินไหลปัสสาวะเป็นเลือดจำนวนมากอีกครั้ง แต่เนื่องจากอิทธิพลทางการเมืองเช่นการเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์หลินเปียว และขงจื๊อเขาไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

ปี 1974

ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1974 อาการแย่ลง และตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม ปริมาณเลือดในปัสสาวะของเขาสูงถึงมากกว่า 100 มล. ต่อวัน เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1974 ทีมแพทย์ได้ทำการผ่าตัดครั้งที่สองกับ โจว เอินไหล และทำการรักษาด้วยไฟฟ้ากัดกร่อน อย่างไรก็ตาม ผลที่ได้ไม่น่าพอใจอย่างยิ่ง และในไม่ช้าภาวะโลหิตจางก็กลับมาเป็นอีก ตามคำแนะนำของสำนักการเมืองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้มีการดำเนินการรักษาด้วยยาอนุรักษ์นิยมและการถ่ายเลือดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในช่วงเวลานี้ โจวเอินไหลสะสมเลือดจำนวนมากในกระเพาะปัสสาวะ แข็งตัวเป็นลิ่มเลือด ปิดกั้นช่องเปิดภายในของท่อปัสสาวะ และมีอาการปวดผิดปกติ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1974 โจวเอินไหลเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหมายเลข 305 ของกองทัพปลดปล่อยประชาชน เข้ารับการผ่าตัด และได้รับการผ่าตัดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะครั้งแรก อาการของเขาดีขึ้น ตั้งแต่วันที่ 7 ถึง 8 สิงหาคม ภาวะโลหิตจาง เพิ่มขึ้น อาการกำเริบและได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะลุกลาม หลังจากปรึกษาหารือกับทีมแพทย์แล้ว สำนักการเมืองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ตกลงที่จะทำการผ่าตัดซิสโตสโคปและการผ่าตัดใหญ่อีกครั้งหนึ่ง หลังการผ่าตัด อาการของเขาค่อนข้างคงที่และสามารถดูแลตัวเองได้ 12 เดือนที่แล้ว ทีมแพทย์พบว่าโจวเอินไหลป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่เนื่องจากโจวไปฉางซาเพื่อรายงานต่อเหมา เจ๋อตงเกี่ยวกับการเตรียมการสำหรับการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติครั้งที่ 4 การรักษาจึงถูกเลื่อนออกไป

ปี 1975

การตรวจระบบทางเดินอาหารในวันที่ 6 และ 18 มีนาคม ค.ศ. 1975 พบว่ามีเนื้องอกขนาดเท่าวอลนัทในลำไส้ใหญ่ของโจวเอินไหลใกล้กับตับ ทีมแพทย์จึงตัดสินใจทำการผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่กับเขา วันที่ 26 มีนาคม ของเดือนเดียวกัน แพทย์ทำการผ่าตัดเม็ดเลือดแดงด้านขวาก่อน จากนั้นจึงทำการจี้ด้วยไฟฟ้าเพื่อรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะ หลังการผ่าตัด ร่างกายของ โจวเอินไหล อ่อนแออย่างเห็นได้ชัด เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1975 โจวเอินไหลถ่ายรูปหมู่กับเจ้าหน้าที่บางคนที่อยู่รอบตัวเขา และพูดว่า: "นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันถ่ายรูปกับคุณ ฉันหวังว่าคุณจะอยู่กันฉันอีกในอนาคต"ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงกันยายน การทดสอบทางพยาธิวิทยาของปัสสาวะของ โจว พบว่าเป็นมะเร็งเซลล์สความัส วันที่ 20 กันยายน ได้ทำการผ่าตัดใหญ่ วันนั้น เติ้งเสี่ยวผิง, จางชุนเฉียว, หลี่เซียนเหนียน, หวังตงซิง และเติ้ง หยิงเชา กำลังรออยู่ที่โรงพยาบาล เมื่อเข้าไปในห้องผ่าตัด โจวเอินไหลตะโกน: "ฉันภักดีต่อพรรคและประชาชน! ฉันไม่ใช่ผู้ยอมจำนน! ". ระหว่างการผ่าตัด แพทย์พบว่าเซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกายและรักษาไม่หาย เติ้งเสี่ยวผิงสั่งทีมแพทย์ทันทีให้พยายามทุกวิถีทางเพื่อ "ลดความทุกข์ทรมานและยืดอายุขัย"หลังจากปลายเดือนตุลาคม โจวเอินไหลล้มป่วยโดยพื้นฐานแล้ว ปัสสาวะและถ่ายอุจจาระอยู่บนเตียง และอาศัยการให้อาหารทางจมูกเป็นอาหาร การใช้ยาปฏิชีวนะในวงกว้างในปริมาณมากอาจทำให้เกิดความไม่สมดุลในลำไส้และทำให้เกิดอาการท้องร่วง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคติดเชื้อราทั่วร่างกาย มีไข้สูงอย่างต่อเนื่อง และหัวใจและไตวาย

ปี 1976

ในตอนเช้าของวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 1976 เนื่องจากลำไส้เป็นอัมพาต ท้องบวม และไม่สามารถถ่ายอุจจาระได้ โจวเอินไหลจึงทำการผ่าตัดครั้งสุดท้าย เติ้งเสี่ยวผิง หลี่เซียนเหนียน หวังตงซิง และคนอื่นๆ เดินทางมาพบ เยี่ยมชมและรอเขา ตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงกลางคืน สมาชิกส่วนใหญ่ของสำนักการเมืองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนในกรุงปักกิ่งได้รับแจ้งถึงอาการป่วยหนักของโจวเอินไหล และไปโรงพยาบาลเป็นกลุ่มเพื่อเยี่ยมเขา วันที่ 7 มกราคม โจวเอินไหลเข้าสู่อาการโคม่า แพทย์ใช้การเติมออกซิเจน การให้อาหารทางจมูก และวิธีการอื่นๆ เพื่อยืดอายุของโจวเอินไหลในคืนนั้น เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาแล้ว เขาก็ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย และจำเขาได้ เจี๋ยผิงและคนอื่น ๆ ต่อหน้าเขาและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ฉันไม่มีอะไรทำที่นี่ คุณควรไปดูแลสหายที่ป่วยคนอื่น ๆ สุดท้าย คำพูดที่โจวเอินไหลพูดก่อนเสียชีวิต ในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1976 ตอนเวลา 9:57 นาที ในวัย 78 ปี

งานศพเเละการรำลึกถึงโจวเอินไหล

แก้

เมื่อเวลา 09:57 น. ของวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1976 โจว เอินไหล ซึ่งขณะนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีของสภาแห่งรัฐและประธานคณะกรรมการแห่งชาติของการประชุมปรึกษาทางการเมืองแห่งประชาชนจีน เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะที่โรงพยาบาล 305 ในกรุงปักกิ่ง ขณะมีอายุได้ 78 ปี เติ้ง หยิงเชา และสมาชิกสำนักการเมืองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนในกรุงปักกิ่ง รีบไปโรงพยาบาลเพื่ออำลาร่างผู้เสียชีวิต และเตรียมพิธีศพ “เสียงของเติ้งเสี่ยวผิงสั่นไหว ดวงตาของเย่ เจียนหยิงเป็นสีแดงจากการร้องไห้ และเธอก็จับมือของเติ้ง หยิงเฉาเป็นเวลานาน ดวงตาของหลายคนบวมจากการร้องไห้ แต่ เจียงชิงและคนอื่น ๆ หันหลังกลับและจากไปทันที ในช่วงบ่าย สำนักการเมืองของคณะกรรมการกลางได้จัดการประชุมเพื่อจัดทำรายงานคำสั่ง ประกาศข่าวมรณกรรม และรายชื่อคณะกรรมการงานศพ และส่งไปให้เหมา เจ๋อตง เพื่อขออนุมัติ เมื่อเวลา 01:00 น. ของวันที่ 9 เหมา เจ๋อตง ให้การอนุมัติ ศพของ โจวเอินไหล ถูกส่งไปยังโรงพยาบาลปักกิ่งตอนเที่ยงของวันที่ 8 โดยการชันสูตรพลิกศพเป็นไปตามความปรารถนาสุดท้ายของเขา และพบว่ามีการแพร่กระจายของมะเร็งในอวัยวะสำคัญทั้งหมด หลังจากนั้น ช่างตัดผมที่โรงแรมปักกิ่งก็ตัดผมให้ เมื่อเวลา 4 ทุ่ม ร่างของ โจวเอินไหล ถูกนำไปที่ห้องดับจิตของโรงพยาบาลปักกิ่งหลังจากตัดผม แต่งตัว ทำศัลยกรรม และแต่งหน้า เมื่อเวลา 04:12 น. ของวันที่ 9 มกราคม สถานีวิทยุกระจายเสียงประชาชนกลางได้เปิดขึ้นล่วงหน้า และถ่ายทอดข่าวมรณกรรมการเสียชีวิตของโจว เอินไหล ซึ่งออกโดยคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน คณะกรรมการประจำสภาประชาชนแห่งชาติ และ สภาแห่งรัฐประกาศจัดตั้งกลุ่มบุคคล 100 คน ได้แก่ เหมา เจ๋อตง, หวัง หงเหวิน, เย่ เจียนหยิง, เติ้ง เสี่ยวผิง และจูเต๋อ คณะกรรมการงานศพ 7 คนของสหายโจวเอินไหล ตั้งแต่วันที่ 9-15 จะมีการชักธงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ประตูซินหัวเหมิน พระราชวังวัฒนธรรมแรงงาน และกระทรวงการต่างประเทศในเมืองหลวง เพื่อลดธงครึ่งเสาเพื่อไว้อาลัย “หน้าเกือบทุกคนหนักอึ้ง” บนท้องถนน “ทหารตีหน้าอกและร้องไห้” บนรถไฟ ผู้คนในสำนักงาน อพาร์ทเมนต์ และโรงเรียนต่างพากันร้องไห้อย่างเงียบ ๆ “มีคนสะอื้นสะอื้นไปทั่ว” เมื่อวันที่ 10 มกราคม คณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและสภาแห่งรัฐได้ออกประกาศตัดสินใจว่าปักกิ่งและทั้งประเทศจะรำลึกถึงโจวเอินไหลอย่างเคร่งขรึม ในวันที่ 10 และ 11 ผู้นำพรรคและรัฐและตัวแทนมวลชนมากกว่า 10,000 คนไปโรงพยาบาลปักกิ่งเพื่ออำลาร่างของโจวเอินไหล และคนอื่นๆ ต่างแสดงความเคารพอย่างเงียบๆ ต่อหน้าศพของ โจวเอินไหล เจียง ชิงไม่ได้ถอดหมวกเมื่อกล่าวอำลาศพ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความไม่พอใจอย่างมากในหมู่ผู้ที่อยู่ตรงนั้นและดูวิดีโอ ในเวลาเดียวกัน ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่หน้าโรงพยาบาลปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมอำลาโดยหวังว่าจะแสดงความเคารพต่อร่างของโจวเอินไหลและแสดงความเสียใจ ในช่วงบ่ายของวันที่ 11 มกราคม ศพของ โจวเอินไหล ถูกส่งไปยังสุสานปฏิวัติปาเป่าซาน การเดินทางที่แตกต่างกันพากันสองครั้งข้างหน้าสองข้างทางเพื่อดูศพของ โจวเอินไหล ดังไม่หยุดและบรรยากาศก็เศร้าโศก "ถนนยาวสิบไมล์และจากนั้นก็สามารถส่งนายพล" ได้ตามปกติ ในกรุงปักกิ่งเพื่อเผาศพ ผู้คนหลายล้านคนในกรุงปักกิ่งรวมตัวกันอย่างเป็นธรรมชาติทั้งสองฝั่งของถนนฉางอาน ทางตะวันออกและตะวันตกของจัตุรัสเทียนอันเหมิน เพื่ออำลาศพของ โจวเอินไหล ท่ามกลางอากาศหนาวจัด เริ่มตั้งแต่ 16:00 น. วันที่ 11 มกราคม ศพของ โจวเอินไหล ได้รับการคุ้มกันโดยเจ้าหน้าที่คณะกรรมการงานศพ และเพื่อนของ โจวเอินไหล ก่อนที่เขาจะเเข็ง ศพเริ่มต้นจากโรงพยาบาลปักกิ่งและถูกส่งไปยังสุสานปฏิวัติปาเป่าซาน เจ้าหน้าที่คณะกรรมการงานศพ และเพื่อนของ โจวเอินไหล ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ศพเริ่มต้นจากโรงพยาบาลปักกิ่งและถูกส่งไปยังสุสานปฏิวัติปาเป่าซาน ผ่านถนนไท่จี๋ฉาง และถนนฉางอาน ผู้คนต่างพากันรวมตัวกันสองข้างทางเพื่อดูศพของ โจวเอินไหล ไม่ว่ารถศพจะไปที่ไหนก็ส่งเสียงร้องอย่างไม่หยุดหย่อนและบรรยากาศก็เศร้าโศกอย่างยิ่ง” นี่คือ "ถนนยาวสิบไมล์ที่มีชื่อเสียงเพื่อส่งนายพล" เลขานุการออกไป” เวลา 18:05 น. ขบวนคาราวานมาถึงสุสานปฏิวัติปาเป่าซาน ศพของโจวเอินไหล ถูกวางไว้ในห้องอำลาห้องที่สอง(หอประชุมตะวันออกของปาเป่าซาน เติ้ง เสี่ยวผิง กล่าวคำอำลากับ โจวเอินไหล อย่างเศร้า: "เอินไหล ฉัน อยู่ที่นี่ ลาก่อน ขอฉันดูคุณเป็นครั้งสุดท้าย! ทุกวันนี้ฉันไม่เคยร้องไห้ดังเลย และตอนนี้ ฉันจะร้องไห้หนักมาก" เขาน้ำตาไหล และหลายคนก็หลั่งน้ำตาไปด้วย หลังจากนั้น ศพ หลังจากการเผาศพจางซู่หยิงและเกาเจิ้นผู่ ผู้คุ้มกันของ โจวเอินไหล ในช่วงชีวิตของเขาได้นำอัฐิโดยรถยนต์ไปยังวังวัฒนธรรมเพื่อไปจัดวาง ในช่วงบ่ายของวันที่ 12 มกราคม สำนักการเมืองของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้จัดการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการไว้อาลัยและพิธีไว้อาลัย จาง ชุนเฉียว เสนอให้เย่ เจียนหยิงกล่าวคำไว้อาลัยที่งานรำลึกของโจว เอินไหล แต่เย่ เจียนหยิงคัดค้าน เย่ เจียนหยิงเสนอให้เติ้ง เสี่ยวผิงกล่าวคำสรรเสริญ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกกรมการเมืองส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมประชุม ตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 14 มกราคม ผู้คนมากกว่า 40,000 คนจากทุกสาขาอาชีพในเมืองหลวงได้จัดพิธีแสดงความเสียใจอย่างยิ่งใหญ่ที่หลังจากพิธีแสดงความเสียใจ อัฐิของ โจว เอินไหล ได้ถูกย้ายไปยังห้องโถงใหญ่ของไต้หวัน ประชากร. ในช่วงเวลาแสดงความเสียใจ ผู้คนจากทุกสาขาอาชีพได้จัดกิจกรรมไว้ทุกข์ในรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นเองหรือจัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงโจวเอินไหลและแสดงความเสียใจ อนุสาวรีย์วีรชนของประชาชนซึ่งมีคำจารึกด้วยลายมือของโจวเอินไหลสลักอยู่ใจกลางจัตุรัสเทียนอันเหมิน ได้กลายเป็นสถานที่หลักในการรำลึกถึงและรำลึกถึงโจวเอินไหล ภายในไม่กี่วัน พวงหรีดก็ถูกวางรอบๆ อนุสาวรีย์ และผนังต้นสนก็ถูกปกคลุมไปด้วยดอกไม้สีขาว กิจกรรมรำลึกที่คล้ายกันได้ปรากฏขึ้นทีละแห่งในเซี่ยงไฮ้ เทียนจิน อู่ฮั่น ซีอาน หนานจิง ฉงชิ่ง หนานชาง กว่างโจว และเมืองใหญ่และขนาดกลางอื่นๆ ทั่วประเทศ และได้มีการพัฒนาและขยายอย่างต่อเนื่อง ในช่วงบ่ายของวันที่ 14 มกราคม เจ้าหน้าที่ได้อ่านร่างคำสรรเสริญเยินยอให้เหมา เจ๋อตงฟังในการประชุมรำลึกถึงโจวเอินไหล ซึ่งถูกส่งตัวไปพิจารณาคดีโดยคณะกรรมการกลาง เหมา เจ๋อตง หมดสติด้วยความเจ็บปวด เหมาเจ๋อตงป่วยหนักและไม่สามารถเข้าร่วมพิธีไว้อาลัยได้ เมื่อวันที่ 15 มกราคม มีการเชิญธงครึ่งเสาทั่วประเทศเพื่อไว้ทุกข์ และกิจกรรมความบันเทิงทั้งหมดถูกระงับ ในช่วงบ่าย พิธีไว้อาลัยของโจว เอินไหล จัดขึ้นที่ห้องโถงใหญ่ของประชาชนในจัตุรัสเทียนอันเหมิน เติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรองนายกรัฐมนตรีของสภาแห่งรัฐ เป็นประธานในพิธีไว้อาลัย และกล่าวคำไว้อาลัย บรรยากาศการประชุมทั้งหมดเศร้าโศกและเคร่งขรึมอย่างยิ่ง หลังจากการเสียชีวิตของ โจวเอินไหล ศพของเขาถูกเผาและไม่ได้เก็บขี้เถ้า แล้วพอเก็บขี้เถ้าของโจวเอินไหลเเล้วก็นำไปโปรยที่กำแพงเมืองปักกิ่ง อ่างเก็บน้ำหมี่หยุน และแม่น้ำไห่เหอในเทียนจิน ปากแม่น้ำของทะเลโป๋ไห่และปากแม่น้ำเหลืองของปินโจว มณฑลซานตง

หลังจากการเสียชีวิตของโจวเอินไหล ผู้นำจากกว่า 130 ประเทศและพรรคการเมืองได้ส่งข้อความและจดหมายแสดงความเสียใจ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อพรรคและรัฐบาลจีน และแสดงความขอบคุณต่อการมีส่วนร่วมอันยิ่งใหญ่ของโจวเอินไหลต่อจีนและโลก ในเวลาเดียวกัน ในการประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ตามความคิดริเริ่มของประธานสมัชชาใหญ่ ผู้แทนทุกคนลุกขึ้นยืนและสังเกตช่วงเวลาแห่งความเงียบงันเพื่อรำลึกถึงโจวเอินไหล สหประชาชาติยังชักธงครึ่งเสาเพื่อไว้อาลัย

อ้างอิง

แก้
ก่อนหน้า โจว เอินไหล ถัดไป
ไม่มี    
นายกรัฐมนตรีจีน
(ค.ศ. 1949 – 1976)
  ฮั่ว กั๋วเฟิง