แฮร์มัน เกอริง
แฮร์มัน วิลเฮ็ล์ม เกอริง (เยอรมัน: Hermann Wilhelm Göring) เป็นผู้นำทางทหารของไรช์ที่สามที่ตำแหน่งจอมพลไรช์ และยังเป็นผู้นำระดับสูงของพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน (พรรคนาซี) เขามีบทบาทสำคัญในการขยายระบบเผด็จการของพรรคนาซีให้ครอบคลุมทั่วเยอรมนี รวมทั้งสร้างเสริมแสนยานุภาพทางทหารของเยอรมนีโดยเฉพาะกองทัพอากาศให้มีความแข็งแกร่ง ภายหลังนาซีล่มสลาย เขาถูกตัดสินประหารชีวิตในการพิจารณาคดีเนือร์นแบร์ค แต่เขาก็จบชีวิตตนเองด้วยการกลืนไซยาไนด์ก่อนหน้าการประหารชีวิตไม่กี่ชั่วโมง และก่อนกลืนไซยาไนด์เขาได้ตระโกนว่า "ไฮล์ ฮิตเลอร์"
จอมพลไรช์ แฮร์มัน เกอริง Hermann Göring | |
---|---|
![]() | |
ประธานไรชส์ทาค | |
ดำรงตำแหน่ง 30 สิงหาคม ค.ศ. 1932 – 23 เมษายน ค.ศ. 1945 | |
ประธานาธิบดี |
|
หัวหน้ารัฐบาล |
|
ก่อนหน้า | Paul Löbe |
ถัดไป | ไม่มี; ตำแหน่งถูกยุบเลิก |
มุขมนตรีปรัสเซีย | |
ดำรงตำแหน่ง 10 เมษายน ค.ศ. 1933[1] – 23 เมษายน ค.ศ. 1945 | |
ผู้ว่าการ |
|
ก่อนหน้า | ฟรันทซ์ ฟ็อน พาเพิน |
ถัดไป | ไม่มี; ปรัสเซียถูกยุบเลิก |
รัฐมนตรีกระทรวงการคลังไรช์ | |
ดำรงตำแหน่ง 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1937 – 15 มกราคม ค.ศ. 1938 | |
หัวหน้ารัฐบาล | อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ |
ก่อนหน้า | ฮยัลมาร์ ชัคท์ |
ถัดไป | วัลเทอร์ ฟุงค์ |
รัฐมนตรีกระทรวงเดินอากาศไรช์ | |
ดำรงตำแหน่ง 27 เมษายน ค.ศ. 1933 – 23 เมษายน ค.ศ. 1945 | |
ประธานาธิบดี | |
หัวหน้ารัฐบาล | อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ |
ก่อนหน้า | ไม่มี |
ถัดไป | โรแบร์ท ริทเทอร์ ฟอน ไกรม์ |
รัฐมนตรีกระทรวงป่าไม้ไรช์ | |
ดำรงตำแหน่ง กรกฎาคม ค.ศ. 1934 – 23 เมษายน ค.ศ. 1945 | |
ประธานาธิบดี | |
หัวหน้ารัฐบาล | อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ |
ก่อนหน้า | ไม่มี |
ถัดไป | ไม่มี |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | แฮร์มัน วิลเฮ็ล์ม เกอริง 12 มกราคม ค.ศ. 1893[2] โรเซินไฮม์ ราชอาณาจักรบาวาเรีย ![]() |
เสียชีวิต | 15 ตุลาคม ค.ศ. 1946[3] เนือร์นแบร์ค, เยอรมนี | (53 ปี)
สาเหตุการเสียชีวิต | ฆ่าตัวตายด้วยยาพิษไซยาไนด์ |
พรรค | พรรคนาซี (1922–45)
|
คู่สมรส |
|
บุตร | เอ็ดดา เกอริง |
อาชีพ |
|
รัฐบาล | ฮิตเลอร์ |
ลายมือชื่อ | ![]() |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ |
|
สังกัด | |
ประจำการ |
|
ยศ |
|
บังคับบัญชา | ลุฟท์วัฟเฟอ (1935–45) |
การยุทธ์ |
|
บำเหน็จ |
ชีวิตช่วงเยาว์วัยแก้ไข
เกอริงเกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม 1893 ที่เมืองโรเซินไฮม์ ราชอาณาจักรบาวาเรีย จักรวรรดิเยอรมัน เป็นบุตรคนที่ 2 ของภรรยาคนที่ 2 ของไฮม์ริช เกอริง ซึ่งเป็นกงสุลใหญ่เยอรมันประจำเกาะเฮติ ขณะเป็นเด็กเขาไม่ได้อยู่กับบิดาแต่ได้รับเลี้ยงดูในปราสาทเล็กๆ ชื่อเฟลเดนชไตน์ (Veldenstein) ของ ริทเทอร์ ฟอน เอเพนชไตน์ แฮร์มัน ชาวยิว ซึ่งเป็นชู้รักของมารดาและเป็นพ่อทูนหัวของเขา ต่อมาในปี 1896 ขณะอายุ 3 ปี บิดาปลดเกษียณ ครอบครัวเกอริงจึงอยู่ร่วมกันอีกครั้งในเยอรมนี
การศึกษาแก้ไข
เขาเข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยการทหารในเมืองคาลส์รูเออ และเข้ารับราชการในปี 1912 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 เขามียศเป็นร้อยโทในอาลซัส-ลอแรน ก่อนที่จะย้ายไปสังกัดกองทัพอากาศ เขาเป็นนักบินที่มีความสามารถและได้รับเหรียญปัวร์เลอแมริท และกางเขนเหล็กชั้น 1
เกอริง, พระยาพหลพลพยุหเสนา และฮิเดะกิ โทโจ ต่างรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่สถาบันนายร้อยส่วนกลาง (Hauptkadettenanstalt) ในกรุงเบอร์ลิน โดยกลุ่มของเกอริง, กลุ่มของพระยาพหลฯ และกลุ่มของโทโจ มักประลองดาบกันเสมอ[4] เกอริงเป็นคนตัวใหญ่ชอบเล่นแรง จนครั้งหนึ่งเขาถูกน.น.ร.น้อม (พลตรีพระศักดาพลรักษ์) ชกจนฟันหัก
ชีวิตและบทบาทในกองทัพนาซีเยอรมันแก้ไข
ในช่วงความวุ่นวายภายหลังจากความพ่ายแพ้ของเยอรมนี เขารู้สึกขัดเคืองใจต่อการที่นายทหารถูกปฏิบัติอย่างเลวร้ายจากพลเรือน เขาจึงไปทำงานเป็นนักบินพานิชย์ในเดนมาร์กและสวีเดน ต่อมาเขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ของสายการบินสวีเดน และมีโอกาสได้พบกับบารอนเนสคาริน ฟอน โรเชิน (Baroness Carin von Rosen) สตรีผู้สูงศักดิ์ชาวสวีเดนซึ่งหย่าขาดจากสามี เขาได้แต่งงานกับบารอนเนสคารินที่นครมิวนิกเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 1922 ในปีเดียวกัน เขาได้ร่วมกับพรรคนาซี และเนื่องจากมีชื่อเสียงในฐานะวีรบุรุษในสงคราม ฮิตเลอร์จึงมอบหมายให้เขาบังคับบัญชาหน่วยชตวร์มอัพไทลุง (SA) ซึ่งเป็นกองกำลังของพรรคนาซี
ในเดือนพฤศจิกายน 1923 พวกนาซีได้ก่อเหตุกบฏโรงเบียร์ ซึ่งฮิตเลอร์พยายามยึดอำนาจทั้งที่ยังไม่พร้อม การกบฏจึงล้มเหลว เขาจึงได้รับบาดเจ็บและถูกทางการสั่งจับ แต่เขาและภรรยาหนีไปออสเตรีย เขาต้องใช้มอร์ฟีนเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดจากบาดแผล เป็นผลให้เขากลายเป็นคนติดมอร์ฟีนอย่างรุนแรง จนต้องเข้ารับการบำบัดในช่วง 1925 – 1926 ที่โรงพยาบาลจิตเวชในสวีเดน ในช่วงนี้เขาไม่มีการติดต่อที่ใกล้ชิดกับฮิตเลอร์
ชีวิตทางการเมืองแก้ไข
เมื่อได้รับอภัยโทษใน 1926 เขาได้เดินทางกลับเยอรมนีใน 1927 ฮิตเลอร์เสนอให้เขาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกไรชส์ทาค (Reichstag) ในเขตที่พรรคนาซีมีฐานเสียงมั่นคง ทำให้เขาเป็น 1 ในสมาชิกไรชส์ทาคจำนวน 12 คนสังกัดพรรคนาซี เขาได้กระชับความสัมพันธ์กับนักอุตสาหกรรมและนักการเมืองอื่น ๆ
ใน 1930 เขาได้รับเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง และเป็นผู้นำในสภาล่าง ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 1932 เมื่อพรรคนาซีชนะการเลือกตั้งถึง 230 ที่นั่ง เขาได้รับเลือกเป็นประธานไรชส์ทาค ความตั้งใจของเขาคือล้มล้างระบบประชาธิปไตย เขาใช้เล่ห์เหลี่ยมและตำแหน่งหน้าที่เอาชนะนายกรัฐมนตรี ควร์ท ฟ็อน ชไลเชอร์ (Kurt von Schleicher) และฟรันทซ์ ฟ็อน พาเพิน (Franz von Papen) พร้อมทั้งโน้มน้าวให้ประธานาธิบดีเพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค เชิญฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 1933 เมื่อพรรคนาซีเถลิงอำนาจ เขาได้รับแต่งตั้งเป็นทั้งมุขมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของรัฐปรัสเซีย เป็นผู้นำอันดับสองของพรรคนาซี และคาดหมายว่าจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากฮิตเลอร์ เขาทำงานหนักเพื่อผลักดันให้บทกฎหมายที่ให้อำนาจ (Enabling Acts) ผ่านการพิจารณาของไรชส์ทาค เขามุ่งสร้างเสริมอำนาจเผด็จการด้วยทำให้ปรัสเซียเป็นรัฐนาซีจัดตั้งตำรวจลับหรือเกสตาโพ และให้สร้างค่ายกักกันสำหรับคุมขังศัตรู นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2476 เขายังได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการบิน ซึ่งจัดตั้งขึ้นใหม่และเป็นผู้บัญชาการกองทัพอากาศ หน้าที่ของเขาคือสร้างเสริมกำลังทางอากาศซึ่งเป็นการขัดต่อสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เขาได้สร้างเครื่องบินและฝึกนักบินอย่างลับ ๆ
บทบาทในกองทัพอากาศแก้ไข
ในปี 1938 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นจอมพลแห่งกองทัพอากาศเยอรมนีและก่อนบุกโปแลนด์เขาได้รับแต่งตั้งเป็นประธานสภาเศรษฐกิจสงคราม และเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาก้เป็นผู้อำนวยการนโยบายเศรษฐกิจสงครามของประเทศ
กองทัพอากาศภายใต้การบังคับบัญชาของเขาก็ทำสงครามสายฟ้าแลบ ซึ่งสามารถทำลายการต่อต้านของโปแลนด์ และขยายการโจมตีไปยังประเทศต่างๆในยุโรป หลังจากชัยชนะในยุทธการที่ฝรั่งเศส ใน 1940 ฮิตเลอร์ก็แต่งตั้งให้เขาเป็นจอมพลไรช์ และเป็นผู้สืบตำแหน่งของฮิตเลอร์อย่างเป็นทางการ
ในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสถานการณ์ของฝ่ายเยอรมันอยู่ในขั้นวิกฤติ ในเดือนเมษายน 1945 เกอริงซึ่งอยู่ในออสเตรียพยายามรวบอำนาจขึ้นเป็นผู้นำเยอรมัน เพราะเขาเชื่อว่าฮิตเลอร์ถูกปิดล้อมอยู่ที่กรุงเบอร์ลินและหมดหนทางที่จะเข้าไปช่วยเหลือ เขาเสนอให้มีการเจรจาสงบศึกกับฝ่ายพันธมิตร แต่การกระทำดังกล่าวทำให้ฮิตเลอร์ออกคำสั่งจับเขาในฐานะผู้ทรยศ ขี้ขลาดและยอมแพ้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเยอรมนีแพ้สงครามเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 1945 เขาก็ยอมจำนนต่อกองทัพที่ 7 ของสหรัฐอเมริกาในอีก 2 วันต่อมา
การจบชีวิตแก้ไข
ในการไต่สวนคดีอาชญากรสงครามของศาลพิเศษพิจารณาคดีอาชญากรรมสงครามแห่งนูเนมเบิร์ก เขาได้รับการบำบัดการติดยาเสพติดและสามารถโต้แย้งข้อกล่าวหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาปฏิเสธว่าไม่มีส่วนพัวพันใดๆ กับการกระทำที่เหี้ยมโหดของระบอบนาซี โดยอ้างว่าเป็นงานลับของฮิมม์เลอร์ อย่างไรก็ตามเขาก็ถูกตัดสินประหารชีวิตในวันที่ 15 ตุลาคม 1946 แต่เขาก็กินยาพิษตายในห้องขังไม่กี่ชั่วโมงก่อนกำหนดการประหาร เกอริงถึงแก่กรรมขณะอายุ 53 ปี
เครื่องอิสริยาภรณ์แก้ไข
- เครื่องอิสริยาภรณ์เยอรมัน
- กางเขนเหล็ก, ชั้นที่ 1 และ ชั้นที่ 2
- กางเขนเหล็กกางเขนอัศวิน
- Grand Cross of the Iron Cross for "the victories of the Luftwaffe in 1940 during the French campaign" (the only award of this decoration – 19 July 1940)
- Golden Party Badge
- Pour le Mérite (พฤษภาคม ค.ศ. 1918)
- Knight of the House Order of Hohenzollern
- Knight of the Military Order of Karl Friedrich
- เครื่องอิสริยาภรณ์โลหิต (Commemorative Medal of 9 พฤศจิกายน 1923)
- กางเขนแดนซิก, ชั้นที่ 1 และ ชั้นที่ 2
- เครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัย ชั้นสูงสุด ( ญี่ปุ่น)
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไมเคิลผู้กล้าหาญ ชั้นที่ 1 ( โรมาเนีย)
- Supreme Order of the Most Holy Annunciation ( อิตาลี) (ค.ศ. 1940)
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์มอรีสแอนด์ลัสรัส ( อิตาลี) (ค.ศ. 1940)
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎแห่งอิตาลี ( อิตาลี) (ค.ศ. 1940)
- เครื่องรัฐอิสริยาภรณ์ดาบ ชั้นสูงสุด ( สวีเดน) (ค.ศ. 1939)
อ้างอิงแก้ไข
- ↑ Manvell 2011, p. 110.
- ↑ Manvell 2011, p. 21.
- ↑ Kershaw 2008, p. 964.
- ↑ เพื่อนเกลอ[ลิงก์เสีย] กันยายน 2548
- ชาคริต ชุ่มวัฒนะ สารานุกรมประวัติศาสตร์ยุโรปฉบับราชบัณฑิตยสถานเล่ม G-H
แหล่งข้อมูลอื่นแก้ไข
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ แฮร์มัน เกอริง
- TRIAL: Göring trial
- "The Iron Knight" เก็บถาวร 2009-04-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Germany Reborn by Hermann Göring
- Hermann Göring ที่อินเทอร์เน็ตมูวีเดตาเบส
- Nuremberg Trial Proceedings Vol. 9 Transcript of Goering's testimony at the trial
- Göring's last prison interview he gave to US Army Intelligence before the Nuremberg Trials เก็บถาวร 2008-11-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน published by World War II Magazine
- การให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายในเรือนจำของเกอริงแกหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ก่อนการสอบสวนที่เนือร์นแบร์ค เก็บถาวร 2008-11-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน